ลูกา 15:1-32
ผมเชื่อว่าแต่ละท่านมีประสบการณ์ของมีค่าสูญหาย แล้วลงทุนลงแรงหาจนพบ
แม้บางครั้งจะต้องหาแบบพลิกพื้นคว่ำแผ่นดินก็ตาม แต่เมื่อพบแล้วย่อมดีใจ ชื่นชมยินดี
และสมหวัง
ยิ่งถ้าคนใดมีประสบการณ์ “ลูกหาย”
จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม
แต่ในที่สุดกลับได้พบลูกอีก
การกลับมาพบอักครั้งหนึ่งนำความชื่นชมยินดีอย่างล้นพ้นเกินกว่าที่จะบรรยายได้
ในพระกิตติคุณลูกา 15:1-32
พระเยซูคริสต์ได้เล่าเรื่องอุปมา 3 เรื่องติดต่อกัน
ทั้งสามเรื่องเล่าถึงการที่มีบางอย่างที่หายไปแต่เจ้าของได้หาจนพบอีกครั้งหนึ่ง แล้วทำการเฉลิมฉลองด้วยความชื่นชมยินดี ถ้าเราอ่านอย่างผิวเผินเรามักเข้าใจว่า
“การกลับมาพบอีกครั้งหนึ่ง” ของทั้งสามเรื่อง
เป็นการ “ค้นพบอีกครั้ง” ที่มีสาระเหมือนกัน
แต่เมื่อมีการอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกและเจาะลึกลงในรายละเอียดกลับพบว่า เรื่องแรกวัตถุสิ่งของทรัพย์สมบัติที่หายไป (ในที่นี้เป็นแกะ) เรื่องที่สอง เงินทองที่มีอยู่ได้หายไป แต่ในเรื่องที่สามแตกต่างออกไปคือ “คนหาย” ในที่นี้คนที่หายมิใช่คนทั่วไปแต่เป็นลูกของตนเอง น้องของตนเองที่หายไป
เราท่านคงยอมรับกันว่า พระธรรมตอนนี้เป็นเรื่องอุปมาที่คริสตชนส่วนใหญ่ได้ยินได้ฟัง
และ จดจำได้อย่างดี
และเมื่อแต่ละท่านอ่านอุปมาทั้งสามเรื่อง (โดยเฉพาะในเรื่องที่สาม)
ก็จะตีความโดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการตีความและทำความเข้าใจอุปมาเรื่องนี้
พ่อแม่ที่มีลูกที่แสนดื้อเวลาอ่านก็มักจะอ่านบนความคิดความเข้าใจเหมือนกับพ่อในเรื่อง
ที่ต้องพบและทุกข์ยากกับลูกที่แสนดื้อคนนี้ เวลาอ่านก็จะหาความหมายที่ปลอบใจ หรือ
หาทางออกจากความทุกข์ยากที่พบและความเจ็บปวดในชีวิตที่ได้รับ
สำหรับผู้อ่านบางท่านที่ได้กระทำความบาปผิดมาก็จะอ่านในฐานะเหมือนลูกคนเล็กที่ดื้อดึง และการที่ได้รับการอภัยการยกโทษจากพ่อ
น้อยคนนักในพวกเราที่จะอ่านแล้วสมมติตนเองว่าเป็นลูกคนโต แต่อย่างไรก็ตามลูกคนโต หรือพี่ชาย เป็นตัวละครที่มีความสำคัญมากในอุปมาเรื่องนี้
ในท้องเรื่องได้เจียรนัยถึงความผิดบาปของเขาชัดเจน และปฏิกิริยาตอบสนองของเขาต่อการกลับใจ และ
การกลับมาบ้านของน้อง
พระเยซูคริสต์ได้อธิบายอย่างละเอียด
เพราะพระเยซูคริสต์ต้องการตอบคำกล่าวหาต่อว่าด้วยความไม่พอใจของฟาริสี
และธรรมมาจารย์
ที่พระเยซูคริสต์ไปมีปฏิสัมพันธ์กินอยู่กับพวก “คนบาป” ในสายตาของพวกเขา
ในตอนนี้ขอให้เราเอาความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของอุปมาเรื่องนี้ที่เราเคยมีเก็บไว้ก่อน และในเวลาเดียวกันให้เราเอาประสบการณ์ และ
ความต้องการของเราที่มักสมมติตนเองเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งในอุปมาที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของตนเองกองไว้ข้างๆ
แต่ให้เราศึกษาและแสวงหาความหมายของอุปมาตอนนี้ตามบริบทในเวลานั้น
ให้เราค้นหาดูว่าตามบริบทของอุปมานี้พี่ชายคนโตผิดในเรื่องอะไร และเรียนรู้ว่าทัศนคติ และท่าทีที่แสดงออกของพี่ชาย ได้ช่วยสะท้อนให้เราเรียนรู้ถึงบุคลิกลักษณะ
และตราบาปที่มีในชีวิตของเรา
ให้เราแสวงหาความสว่างจากพระวิญญาณของพระเจ้าเมื่อเราศึกษาถึงพระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้
เพื่อที่เราจะเรียนรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้ฟังขอพระองค์เข้าใจเรื่องราวในตอนนี้อย่างไร
โครงสร้างของพระธรรมตอนนี้
พระธรรมลูกาบทที่ 15
เป็นเรื่องราวเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
แม้จะเป็นอุปมาสามเรื่องที่พระเยซูคริสต์ทรงเล่า
แต่อุปมาสามเรื่องมีความต่อเนื่องเกี่ยวพันและส่งผลกระทบต่ออุปมาเรื่องสุดท้าย
(บุตรผู้ล้างผลาญ) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ข้อ 1-2
ที่กล่าวถึงสาเหตุที่พระเยซูคริสต์เล่าอุปมาทั้งสามเรื่อง และคำอุปมาสองเรื่องแรก (ข้อ 3-7 และ 8-10)
ซึ่งสามารถแบ่งเป็นโครงสร้างของพระธรรมบทนี้ได้ดังนี้
(1)
ปฏิกิริยาของพวกฟาริสีต่อการที่พระเยซูคริสต์มีปฏิสัมพันธ์กับพวกคนบาป (ข้อ
1-2)
สถานการณ์:
คนเก็บภาษีและคนบาปมาฟังพระเยซู
พวกฟาริสีต่อว่าพระเยซูที่ต้อนรับและรับประทานอาหารร่วมกับคนบาปเหล่านี้
(2) มนุษย์ตอบสนองต่อสิ่งที่หายไป และเปรียบเทียบกับการตอบสนองในสวรรค์ (ข้อ 3-10)
อุปมาเรื่องแกะหาย (ข้อ 3-7)
อุปมาเรื่องเหรียญหาย (ข้อ 8-10)
(3) ปฏิกิริยาของพี่ชายต่อการกลับมาของน้องชายผู้บาปหนา (ข้อ 11-32)
บริบทของพระธรรมตอนนี้ (ลูกา 15:1-2)
ในเวลานั้นคนเก็บภาษีและพวกคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระองค์ พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ก็บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา
(ฉบับมาตรฐาน)
เรื่องราวในบทนี้เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากบทที่
14
ที่พระเยซูคริสต์ตรัสอย่างชัดเจนแก่ผู้คนจำนวนมากที่มาฟังคำสอนของพระองค์ว่า
“ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” (ลูกา 14:34)
ซึ่งแตกต่างกับพวกฟาริสีและธรรมาจารย์
พวกเขากลับบ่นว่าพระเยซูอย่างไม่พอใจที่ต้อนรับพวกคนบาป
คนเก็บภาษีและร่วมรับประทานอาหารกับคนบาปพวกนั้น (ข้อ 2) อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ไม่พอใจจนต้องมาบ่นว่ากล่าวโทษพระเยซูในครั้งนี้? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ที่พระเยซูคริสต์เลือกที่จะคบหาติดต่อกับคนบาปพวกนี้?
บทแรกๆ ของพระธรรมลูกา
พวกฟาริสีได้ตำหนิบ่นว่าที่พระเยซูติดต่อสัมพันธ์กับพวกคนบาป อีกทั้งยังร่วมสังสรรค์กับคนพวกนั้น (ลูกา 5:29
เป็นต้นไป)
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือว่า พวกฟาริสีไม่ชื่นชมยินดีเลยเมื่อคนบาปกลับใจ แล้วอะไรที่จะทำให้พวกเขาชื่นชมยินดี? และอะไรที่ทำให้พวกฟาริสีรู้สึกเจ็บปวดเมื่อพระเยซูติดต่อคบหากับพวกคนบาปและมีความชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขากลับใจ? คำอธิบายที่ชัดเจนพบได้ในพระกิตติคุณมัทธิวบทที่
23
ในพระธรรมบทดังกล่าวพระเยซูได้เปิดหน้ากากการสำคัญตนว่าเป็นคนชอบธรรมของพวกฟาริสี
และชีวิตจิตวิญญาณของพวกเขา
พระเยซูได้ต่อว่าและเปลือยเปิดพวกเขาออกอย่างหมดเปลือกล่อนจ้อน สิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ถึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นคนบาปยกโขยงติดตามพระเยซู?
(1) พวกฟาริสีชอบที่จะได้รับเกียรติในงานเลี้ยง และ
นั่งในที่โดดเด่นในธรรมศาลา (มัทธิว 23:5) คนพวกนี้ชอบที่จะเป็นจุดสนใจของผู้คน
พวกเขาเห็นว่างานเลี้ยงเป็นที่ที่จะทำตัวให้คนอื่นสนใจ
เป็นจุดเด่นในสายตาของประชาชน
จึงไม่แปลกที่งานเลี้ยงที่มีพระเยซูอยู่ด้วยย่อมสร้างความไม่สบายใจแก่พวกเขา
เพราะเจ้าภาพจะให้เกียรติแก่พระเยซูมิใช่พวกฟาริสี
(2) พวกฟาริสีจำกัดให้มีผู้ที่ได้
“ความรอด” ให้เหลือกลุ่มเล็กที่สุด และให้เป็นกลุ่มชั้นสูงของคนในศาสนายิว(มัทธิว
23:13)
กลุ่มคนยิวมักรู้สึกว่าตนเองเป็นคนเหนือกว่าคนต่างชาติ
แต่พวกฟาริสีรู้สึกว่ากลุ่มของตนเองนั้นเหนือกว่าคนยิวทั่วไป (ยอห์น 7:45-49)
พวกเขาต้องการจำกัดให้กลุ่มคนที่ได้รับความรอดให้เป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด
คัดกลุ่มคนที่ไม่พึงประสงค์ออกจากกลุ่มคนที่รอด การที่พระเยซูคริสต์ติดต่อคนหากับประชาชนคนบาปก็เป็นการกระทำตนที่สะอาดเคร่งครัดต้องแปดเปื้อนเพราะคลุกอยู่กับปุถุชนคนบาปเหล่านั้น
(3) พวกฟาริสีตั้งกฏระเบียบปฏิบัติที่หยุมหยิมให้คนอื่นปฏิบัติ (มัทธิว 23:16-24)
พวกฟาริสีตั้งตนให้อยู่เหนือคนอื่น
แล้วจงใจกระทำให้กฏระเบียบเหล่านั้นลำบากซับซ้อนในการปฏิบัติ
พระเยซูคริสต์บริภาษพวกฟาริสีเรื่องนี้ในพระธรรมมัทธิว
ซึ่งเราพบว่าคำสอนของพระเยซูคริสต์เป็นที่ชื่นชมสำหรับประชาชนเพราะเข้าใจง่าย ด้วยคำสอนที่ธรรมดา
(เช่นสอนด้วยเรื่องอุปมา)
และไม่จุกจิกยุ่งยากและซับซ้อนอย่างคำสอนกฏระเบียบของพวกฟาริสี
ด้วยวิธีการสอนของพระเยซูคริสต์ที่น่าสนใจสำหรับประชาชน
ย่อมกระทบกระเทือนต่อการสอนของพวกฟาริสีที่ซับซ้อนยากในการปฏิบัติตาม ดังนั้น
พวกฟาริสีจึงต่อต้านขัดขวางการสอนของพระเยซูคริสต์
(4) พวกฟาริสีต้องการปกป้องและส่งเสริมความเชื่อแบบหน้าซื่อใจคดของพวกเขา ด้วยการเน้น “ความบาป”
ที่เห็นได้จากภายนอกมากกว่าความบาปผิดภายในชีวิต เช่น มุมมอง ทัศนคติ
และสิ่งกระตุ้นเร้าภายใน (มัทธิว 23:13-14,
25-36)
พวกฟาริสีมองความบาปเป็นเรื่องภายนอก
มากกว่าเป็นเรื่องของความคิดจิตใจภายใน
คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูคริสต์
พระองค์ทรงเน้นถึงความบาปที่อยู่ภายในของชีวิต (เช่น มัทธิว บทที่ 5-7) ยิ่งกว่านั้น
พระองค์ยังเชื่อมโยงให้ทุกคนเห็นชัดว่า
เพราะความบาปที่ออกฤทธิ์ภายในชีวิตนี้เองที่ทำให้การคิด
การตัดสินใจและการกระทำของมนุษย์จึงเป็นแต่เรื่องร้าย อย่างไรก็ตาม
พระเยซูยังเปิดโปงให้เห็นชัดว่า
กฎระเบียบปฏิบัติมากมายของพวกฟาริสีที่กำหนดขึ้นอย่างหยุมหยิมซับซ้อนนั้น
แสดงออกถึงธาตุแท้ที่แฝงเบื้องหลังของการกระทำชั่ว เช่น การหย่าภรรยาด้วยจงใจ
ทั้งสิ้นนี้ฟาริสีกำหนดกฏระเบียบเพื่อเข้มงวดกับประชาชน แต่ก็มิได้ช่วยให้ประชาชนลดการกระทำความบาปผิด
และบางครั้งก็เพื่อประโยชน์แห่งตนของฟาริสี
คำสอนเช่นนี้ของพระเยซูคริสต์ทำให้พวกฟาริสีเคืองแค้นพระองค์อย่างมาก
ที่พระองค์มาเปิดโปงธาตุแท้ของความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา
พระเยซูคริสต์รู้ว่าทำไมพวกฟาริสีถึงไม่พอใจพระองค์ อุปมาทั้งสามเรื่องในพระธรรมตอนนี้เป็นเรื่องราวที่พาดพิงถึงพวกฟาริสีและธรรมาจารย์โดยตรง
(ดู ลูกา 15:2-3)
เรื่องอุปมาสองเรื่องแรกชี้ชัดว่าพวกฟาริสีเอาใจใส่ค้นหาบางอย่างที่สูญหาย และมีความชื่นชมยินดีเมื่อเขาเสาะหาพบ อุปมาเรื่องที่สามเรื่องบุตรผู้ล้างผลาญ ที่ชี้ชัดถึงความไม่พอใจและขุ่นเคืองของฟาริสีแทนที่จะชื่นชมยินดีเพราะคนบาปได้รับความรอด
ในครั้งต่อไปเราจะร่วมกันค้นหาความหมายของอุปมาเรื่องแกะหาย
และ เหรียญหายว่า
พระเยซูคริสต์เล่าเรื่องอุปมาทั้งสองเรื่องเพื่อประเด็นกล่าวหาของฟาริสีอย่างไร และเมื่อพระองค์เล่าอุปมาทั้งสองเรื่องนั้น
คนเลี้ยงแกะในเรื่องแกะหายนั้นพระเยซูคริสต์หมายถึงใคร และ
หญิงที่เสาะหาเหรียญเงินที่หายไปนั้นอย่างเอาเป็นเอาตายพระองค์หมายถึงใคร
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
เรียบเรียงจากการข้อมูลในบทความเรื่อง
Lost and Found ของ Deffinbaugh
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น