20 กรกฎาคม 2555

ทำไมคริสตจักรไม่เติบโต?


คนที่แข็งแรงย่อมเติบโต  สัตว์ที่แข็งแรงก็เติบโต   ต้นไม้ที่แข็งแรงก็จะเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาด้วยเช่นกัน   ในทำนองเดียวกันคริสตจักรที่แข็งแรงก็จะเติบโตด้วย   การเติบโตและเกิดผลในชีวิตของสรรพชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นเป็นทั้งพระประสงค์และเป็นพระพรจากพระเจ้าพระผู้ทรงสร้าง   และคริสตจักรซึ่งเป็นพระวรกายของพระคริสต์ ก็มีชีวิตที่พระคริสต์ทรงสถาปนาขึ้น(มัทธิว 16:18)

ดังนั้น  เมื่อคริสตจักรไม่เติบโต  ก็คงจำเป็นต้องถามว่า  “ทำไมคริสตจักรถึงไม่เติบโต?”

ข้างล่างนี้เป็นอุปสรรค 5 ประการที่ขัดขวางการเติบโตของคริสตจักร   ถ้าเรายอมรับว่าคริสตจักรไม่เติบโต ก็คงเป็นการง่ายขึ้นที่เราจะวินิจฉัยถึงสาเหตุของการชะงักงันในชีวิตของคริสตจักร  และหาทางเยียวยา รักษา และเสริมสร้างให้แข็งแรงต่อไป

อุปสรรคประการแรกที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ  ศิษยาภิบาล

ซึ่งมีสี่สาเหตุที่ “ศิษยาภิบาล” เป็นอุปสรรคขัดขวางการเจริญเติบโตของคริสตจักร คือ

1) เมื่อศิษยาภิบาลไม่มีเป้าหมายอันดับแรกที่จะทำให้คริสตจักรเติบโตขึ้น   ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้มุ่งเน้นทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบศาสนพิธีและเทศนาในศาสนพิธี  ดังนั้น จึงเน้นถึงความ “ศักดิ์สิทธิ์” และ ความสำคัญของฐานะตำแหน่งมากกว่าการเติบโตของคริสตจักร

2) เมื่อศิษยาภิบาลไม่ได้เน้นให้ชีวิตสมาชิกมีความเข้มแข็งในความเชื่อและการดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า  และเผชิญหน้าทุกสถานการณ์ชีวิตด้วยพระวจนะและการทรงนำของพระองค์

3) เมื่อศิษยาภิบาลไม่มี “นิมิต” ที่จะเสริมสร้างให้สมาชิกในคริสตจักรที่จะอภิบาลซึ่งกันและกัน เสริมหนุนให้คริสตจักรเป็นชุมชนแห่งการอภิบาล บ่มเพาะ ฟูมฟักกันและกัน   แล้วเสริมสร้างพัฒนาให้สมาชิกคริสตจักรมุ่งหน้าออกไปอภิบาลชุมชนสังคม ในนามของพระเยซูคริสต์

4) เมื่อศิษยาภิบาลมิได้สอนถึงเป้าหมายพันธกิจแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์แก่สมาชิก  เพื่อสมาชิกจะออกไปเชิญชวนผู้คนให้เข้ามามีชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า  หรือมีชีวิตที่อยู่ภายใต้การครอบครองของพระองค์

อุปสรรคประการที่สองที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ สมาชิกคริสตจักร

บ่อยครั้งเราจะพบศิษยาภิบาลที่มีสมรรถนะและทักษะในการทำหน้าที่ “พระ” หรือ “ปุโรหิต” ในคริสตจักรที่ไม่เติบโต   ปัญหาก็คือ สมาชิกมาคริสตจักรมาโบสถ์ในฐานะ “ผู้รับบริการ”  “ผู้ชม”  “ผู้ฟัง” หรือ “นักสังเกตการณ์”  แล้วก็จ่ายค่าบริการ(ถวายทรัพย์)   ลักษณะของสมาชิกที่เป็นอุปสรรขัดขวางการเติบโตของชีวิตคริสตจักรคือ
1. สมาชิกมาโบสถ์เพื่อตักตวงความสบายใจ เป็นการมาโบสถ์เพื่อหาประโยชน์สำหรับตนเอง   แล้วมีฐานคิดว่าหน้าที่ของศิษยาภิบาลจะต้อง “เลี้ยงลูกแกะของพระเจ้า” สมาชิกพวกนี้ต้องการให้คริสตจักรเป็น “ชุมชนปิด” คือเป็นชุมชนอย่างที่พวกตนต้องการเท่านั้น   ไม่ต้องการคนที่ “ผิดกลิ่นผิดสี” เข้ามาร่วมด้วย

2. ดังนั้น  สมาชิกกลุ่มนี้จึงไม่มีความคิดที่จะต้องออกไปพบหาผู้คนและเชิญชวนผู้คนมาร่วมในชุมชนคริสตจักรของตน   ยิ่งกว่านั้น สมาชิกประเภทนี้มักพยายามควบคุมความคิด พฤติกรรมของศิษยาภิบาลตามที่ตนคาดหวัง

3. สมาชิกกลุ่มนี้จะใช้มาตรฐานชีวิตคริสเตียนเลียนแบบตามมาตรฐานชีวิตกระแสสังคม  เช่น  นับถือคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ  มีหน้าที่การงานดี   พูดเก่ง  และมองการจัดการตามแบบองค์กร หรือ บริษัททั่วไป   แต่มิได้มองว่าคริสตจักรคือชุมชนที่มีชีวิต   ที่จะต้องแข็งแรง  และเติบโตขึ้น  และสิ่งที่เข้มแข็งและเติบโตมิใช่ขนาดของอาคารสถานที่  หรือกิจกรรมที่ทำมากมาย   แต่คริสตจักรแข็งแรงคือการเข้มแข็งในชีวิตของสมาชิกแต่ละคนแต่ละครอบครัว

อุปสรรคประการที่สามที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ  มุมมองที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน

การมีมุมมองเป้าหมายของการนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เพื่อคนในสังคมจะเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน  แต่คริสตจักรที่เข้มแข็งและเติบโตจะมีมุมมองว่า   การนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในชุมชนเริ่มต้นจากการสำแดงความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์แก่คนในชุมชน  ด้วยความรักและห่วงใย  ด้วยการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้คนในชุมชนนั้นๆ   การนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แก่คนในชุมชนเพื่อคนเหล่านั้นจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น   อีกทั้งเป็นชีวิตที่หลุดรอดออกจากการครอบงำของอำนาจชั่วที่มาในลักษณะต่างๆ  ทั้งอำนาจชั่วที่ครอบงำเกี่ยวกับเศรษฐกิจ  ความสัมพันธ์  การเมืองและการใช้อำนาจ   และวัฒนธรรมเงินนิยม  บริโภคนิยม  และวัตถุนิยม   แต่กลับยอมตนอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าในแผ่นดินของพระองค์

อุปสรรคประการที่สี่ที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ เน้นการประกาศแต่เมินการสร้างสาวก

หลายคริสตจักรที่สนใจและทุ่มเทประกาศพระกิตติคุณจนคนมารับบัพติศมา  หลังจากนั้นกลับไม่มีการเลี้ยงดูฟูมฟัก และบ่มเพาะผู้เชื่อใหม่ให้มีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน   และเมื่อผู้เชื่อคนนั้นมิได้รับการบ่มเพาะและฟูมฟักชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้องเหมาะสม   เขากลับรู้สึกว่าการเป็นคริสเตียนก็ไม่ต่างจากชีวิตเดิมของเขา   ชีวิตคนในคริสตจักรก็ไม่ต่างจากชุมชนความเชื่อเดิมของเขา เขารู้สึกว่าถูกหลอกให้มาเป็นคริสเตียน   สิ่งเหล่านี้เริ่มทำให้เกิดการต่อต้านพระกิตติคุณขึ้นในผู้เชื่อใหม่คนนั้น

อุปสรรคประการที่ห้าที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ  คริสตจักรถุงก้นรั่ว

คริสตจักรกลายเป็นที่ที่คริสเตียนมาแสวงหาบริการเพื่อความสุขบันเทิงใจ  จึงเป็นชุมชนที่ไม่สนใจที่จะอภิบาลคนอื่น  แต่กลับแสวงหาคนที่จะรับใช้ตนเอง   ชุมชนคริสตจักรมิได้เป็นชุมชนที่เอาใจใส่เลี้ยงดูฟูมฟักชีวิตคริสเตียนของกันและกัน   แต่กลับเป็นเพียงที่ที่คนมาร่วมประกอบศาสนพิธีเท่านั้น   เมื่อผู้เชื่อใหม่มิได้รับการเอาใจใส่ เลี้ยงดู  เมื่ออยู่ไปสักพักหนึ่งเขาก็แสวงหาชุมชนที่มีคุณค่าความหมายสำหรับเขาในที่อื่นๆ ต่อไป   คริสตจักรจึงไม่เข้มแข็งและเติบโตขึ้น  เพราะคริสตจักรเป็นถุงก้นรั่ว

คริสตจักรที่จะเติบโตได้ต้องเป็นคริสตจักรที่เข้มแข็งเท่านั้น    คริสตจักรที่เข้มแข็งเป็นคริสตจักรที่มุ่งและเสริมสร้างชีวิตของสมาชิกแต่ละคนให้หยั่งรากลงในพระวจนะของพระเจ้า   เป็นคริสตจักรที่เอาใจใส่ บ่มเพาะ ฟูมฟักและเลี้ยงดูให้สมาชิกมีชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน   คริสตจักรที่เข้มแข็งเป็นคริสตจักรที่สมาชิกอภิบาลซึ่งกันและกัน   ศิษยาภิบาลคือผู้ที่เสริมสร้างให้สมาชิกแต่ละคนเป็นผู้อภิบาลในคริสตจักร   คริสตจักรที่เข้มแข็งเป็นคริสตจักรที่ชีวิตสมาชิกแต่ละคนสำแดงความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์ผ่านการดำเนินชีวิตประจำวัน  แก่ผู้คนในครอบครัว  ในที่ทำงาน  ในชุมชน  และในคริสตจักร  คริสตจักรที่เข้มแข็งคือคริสตจักรที่ส่งสมาชิกของตนออกไปทำพระราชกิจของพระเจ้าในครอบครัว  สำนักงาน  และชุมชน  ด้วยการดำเนินชีวิตที่สำแดงความรักของพระคริสต์  ด้วยการรับใช้และบริการในพระนามของพระคริสต์ และที่สำคัญชีวิตที่สำแดงพระคริสต์คือชีวิตที่ประกาศถึงพระกิตติคุณของพระองค์  และเชิญชวนผู้คนให้เข้ามามีชีวิตภายใต้การครอบครองของพระคริสต์  เมื่อคริสตจักรเข้มแข็งดังที่กล่าว  คริสตจักรที่เติบโตที่เป็นพระพรของจากพระเจ้าก็จะบังเกิดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรม


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น