คนที่แข็งแรงย่อมเติบโต สัตว์ที่แข็งแรงก็เติบโต
ต้นไม้ที่แข็งแรงก็จะเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาด้วยเช่นกัน ในทำนองเดียวกันคริสตจักรที่แข็งแรงก็จะเติบโตด้วย
การเติบโตและเกิดผลในชีวิตของสรรพชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นเป็นทั้งพระประสงค์และเป็นพระพรจากพระเจ้าพระผู้ทรงสร้าง และคริสตจักรซึ่งเป็นพระวรกายของพระคริสต์
ก็มีชีวิตที่พระคริสต์ทรงสถาปนาขึ้น(มัทธิว 16:18)
ดังนั้น เมื่อคริสตจักรไม่เติบโต ก็คงจำเป็นต้องถามว่า “ทำไมคริสตจักรถึงไม่เติบโต?”
ข้างล่างนี้เป็นอุปสรรค
5 ประการที่ขัดขวางการเติบโตของคริสตจักร ถ้าเรายอมรับว่าคริสตจักรไม่เติบโต
ก็คงเป็นการง่ายขึ้นที่เราจะวินิจฉัยถึงสาเหตุของการชะงักงันในชีวิตของคริสตจักร และหาทางเยียวยา รักษา
และเสริมสร้างให้แข็งแรงต่อไป
อุปสรรคประการแรกที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ ศิษยาภิบาล
ซึ่งมีสี่สาเหตุที่
“ศิษยาภิบาล” เป็นอุปสรรคขัดขวางการเจริญเติบโตของคริสตจักร คือ
1) เมื่อศิษยาภิบาลไม่มีเป้าหมายอันดับแรกที่จะทำให้คริสตจักรเติบโตขึ้น
ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้มุ่งเน้นทำหน้าที่เป็นผู้ประกอบศาสนพิธีและเทศนาในศาสนพิธี ดังนั้น จึงเน้นถึงความ “ศักดิ์สิทธิ์” และ
ความสำคัญของฐานะตำแหน่งมากกว่าการเติบโตของคริสตจักร
2) เมื่อศิษยาภิบาลไม่ได้เน้นให้ชีวิตสมาชิกมีความเข้มแข็งในความเชื่อและการดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า
และเผชิญหน้าทุกสถานการณ์ชีวิตด้วยพระวจนะและการทรงนำของพระองค์
3) เมื่อศิษยาภิบาลไม่มี “นิมิต” ที่จะเสริมสร้างให้สมาชิกในคริสตจักรที่จะอภิบาลซึ่งกันและกัน
เสริมหนุนให้คริสตจักรเป็นชุมชนแห่งการอภิบาล บ่มเพาะ ฟูมฟักกันและกัน
แล้วเสริมสร้างพัฒนาให้สมาชิกคริสตจักรมุ่งหน้าออกไปอภิบาลชุมชนสังคม
ในนามของพระเยซูคริสต์
4) เมื่อศิษยาภิบาลมิได้สอนถึงเป้าหมายพันธกิจแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์แก่สมาชิก
เพื่อสมาชิกจะออกไปเชิญชวนผู้คนให้เข้ามามีชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า หรือมีชีวิตที่อยู่ภายใต้การครอบครองของพระองค์
อุปสรรคประการที่สองที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ
สมาชิกคริสตจักร
บ่อยครั้งเราจะพบศิษยาภิบาลที่มีสมรรถนะและทักษะในการทำหน้าที่
“พระ” หรือ “ปุโรหิต” ในคริสตจักรที่ไม่เติบโต
ปัญหาก็คือ สมาชิกมาคริสตจักรมาโบสถ์ในฐานะ “ผู้รับบริการ” “ผู้ชม”
“ผู้ฟัง” หรือ “นักสังเกตการณ์”
แล้วก็จ่ายค่าบริการ(ถวายทรัพย์) ลักษณะของสมาชิกที่เป็นอุปสรรขัดขวางการเติบโตของชีวิตคริสตจักรคือ
1. สมาชิกมาโบสถ์เพื่อตักตวงความสบายใจ
เป็นการมาโบสถ์เพื่อหาประโยชน์สำหรับตนเอง
แล้วมีฐานคิดว่าหน้าที่ของศิษยาภิบาลจะต้อง “เลี้ยงลูกแกะของพระเจ้า”
สมาชิกพวกนี้ต้องการให้คริสตจักรเป็น “ชุมชนปิด” คือเป็นชุมชนอย่างที่พวกตนต้องการเท่านั้น ไม่ต้องการคนที่ “ผิดกลิ่นผิดสี”
เข้ามาร่วมด้วย
2. ดังนั้น
สมาชิกกลุ่มนี้จึงไม่มีความคิดที่จะต้องออกไปพบหาผู้คนและเชิญชวนผู้คนมาร่วมในชุมชนคริสตจักรของตน ยิ่งกว่านั้น
สมาชิกประเภทนี้มักพยายามควบคุมความคิด พฤติกรรมของศิษยาภิบาลตามที่ตนคาดหวัง
3. สมาชิกกลุ่มนี้จะใช้มาตรฐานชีวิตคริสเตียนเลียนแบบตามมาตรฐานชีวิตกระแสสังคม เช่น
นับถือคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ
มีหน้าที่การงานดี พูดเก่ง และมองการจัดการตามแบบองค์กร หรือ
บริษัททั่วไป
แต่มิได้มองว่าคริสตจักรคือชุมชนที่มีชีวิต ที่จะต้องแข็งแรง และเติบโตขึ้น
และสิ่งที่เข้มแข็งและเติบโตมิใช่ขนาดของอาคารสถานที่ หรือกิจกรรมที่ทำมากมาย แต่คริสตจักรแข็งแรงคือการเข้มแข็งในชีวิตของสมาชิกแต่ละคนแต่ละครอบครัว
อุปสรรคประการที่สามที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ มุมมองที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
การมีมุมมองเป้าหมายของการนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เพื่อคนในสังคมจะเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน แต่คริสตจักรที่เข้มแข็งและเติบโตจะมีมุมมองว่า
การนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในชุมชนเริ่มต้นจากการสำแดงความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์แก่คนในชุมชน ด้วยความรักและห่วงใย
ด้วยการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้คนในชุมชนนั้นๆ
การนำเสนอพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แก่คนในชุมชนเพื่อคนเหล่านั้นจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อีกทั้งเป็นชีวิตที่หลุดรอดออกจากการครอบงำของอำนาจชั่วที่มาในลักษณะต่างๆ ทั้งอำนาจชั่วที่ครอบงำเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์
การเมืองและการใช้อำนาจ
และวัฒนธรรมเงินนิยม
บริโภคนิยม และวัตถุนิยม แต่กลับยอมตนอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าในแผ่นดินของพระองค์
อุปสรรคประการที่สี่ที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ
เน้นการประกาศแต่เมินการสร้างสาวก
หลายคริสตจักรที่สนใจและทุ่มเทประกาศพระกิตติคุณจนคนมารับบัพติศมา หลังจากนั้นกลับไม่มีการเลี้ยงดูฟูมฟัก
และบ่มเพาะผู้เชื่อใหม่ให้มีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
และเมื่อผู้เชื่อคนนั้นมิได้รับการบ่มเพาะและฟูมฟักชีวิตคริสเตียนที่ถูกต้องเหมาะสม เขากลับรู้สึกว่าการเป็นคริสเตียนก็ไม่ต่างจากชีวิตเดิมของเขา
ชีวิตคนในคริสตจักรก็ไม่ต่างจากชุมชนความเชื่อเดิมของเขา เขารู้สึกว่าถูกหลอกให้มาเป็นคริสเตียน สิ่งเหล่านี้เริ่มทำให้เกิดการต่อต้านพระกิตติคุณขึ้นในผู้เชื่อใหม่คนนั้น
อุปสรรคประการที่ห้าที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตคือ คริสตจักรถุงก้นรั่ว
คริสตจักรกลายเป็นที่ที่คริสเตียนมาแสวงหาบริการเพื่อความสุขบันเทิงใจ จึงเป็นชุมชนที่ไม่สนใจที่จะอภิบาลคนอื่น แต่กลับแสวงหาคนที่จะรับใช้ตนเอง
ชุมชนคริสตจักรมิได้เป็นชุมชนที่เอาใจใส่เลี้ยงดูฟูมฟักชีวิตคริสเตียนของกันและกัน
แต่กลับเป็นเพียงที่ที่คนมาร่วมประกอบศาสนพิธีเท่านั้น เมื่อผู้เชื่อใหม่มิได้รับการเอาใจใส่
เลี้ยงดู
เมื่ออยู่ไปสักพักหนึ่งเขาก็แสวงหาชุมชนที่มีคุณค่าความหมายสำหรับเขาในที่อื่นๆ
ต่อไป คริสตจักรจึงไม่เข้มแข็งและเติบโตขึ้น เพราะคริสตจักรเป็นถุงก้นรั่ว
คริสตจักรที่จะเติบโตได้ต้องเป็นคริสตจักรที่เข้มแข็งเท่านั้น
คริสตจักรที่เข้มแข็งเป็นคริสตจักรที่มุ่งและเสริมสร้างชีวิตของสมาชิกแต่ละคนให้หยั่งรากลงในพระวจนะของพระเจ้า เป็นคริสตจักรที่เอาใจใส่ บ่มเพาะ
ฟูมฟักและเลี้ยงดูให้สมาชิกมีชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
คริสตจักรที่เข้มแข็งเป็นคริสตจักรที่สมาชิกอภิบาลซึ่งกันและกัน
ศิษยาภิบาลคือผู้ที่เสริมสร้างให้สมาชิกแต่ละคนเป็นผู้อภิบาลในคริสตจักร
คริสตจักรที่เข้มแข็งเป็นคริสตจักรที่ชีวิตสมาชิกแต่ละคนสำแดงความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์ผ่านการดำเนินชีวิตประจำวัน แก่ผู้คนในครอบครัว ในที่ทำงาน
ในชุมชน และในคริสตจักร
คริสตจักรที่เข้มแข็งคือคริสตจักรที่ส่งสมาชิกของตนออกไปทำพระราชกิจของพระเจ้าในครอบครัว สำนักงาน
และชุมชน
ด้วยการดำเนินชีวิตที่สำแดงความรักของพระคริสต์ ด้วยการรับใช้และบริการในพระนามของพระคริสต์ และที่สำคัญชีวิตที่สำแดงพระคริสต์คือชีวิตที่ประกาศถึงพระกิตติคุณของพระองค์
และเชิญชวนผู้คนให้เข้ามามีชีวิตภายใต้การครอบครองของพระคริสต์ เมื่อคริสตจักรเข้มแข็งดังที่กล่าว คริสตจักรที่เติบโตที่เป็นพระพรของจากพระเจ้าก็จะบังเกิดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรม
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น