จะทำให้คนที่อยู่ในมุมสบายคุ้นชินในคริสตจักรออกไปสู่การติดตามพระคริสต์ได้อย่างไร
ริชาร์ด
สเติร์นส์ ได้ขอให้เราลองหลับตาและจิตนาการถึงภาพของประเทศอัฟริกา
ในช่วงกลางทศวรรษ 1990
ที่ต้องเผชิญกับมหันตภัยจากการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
ประชากรผู้ใหญ่ต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์นั้น คุณจะทำอย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น
ในทุกวันดูเหมือนว่าในชุมชนที่ท่านอยู่นั้นมีจำนวนเด็กกำพร้าเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
แน่นอนครับคริสตจักรของท่านต้องลุกขึ้นเพื่อจัดการวิกฤติชีวิตที่ทวีความรุนแรง ท่านจะต้องหาทางทำอะไรสักอย่างหนึ่งเมื่อผู้คนจำนวนล้านกำลังเสียชีวิต สร้างผลกระทบให้ครอบครัวต้องแตกฉีกขาด ธุรกิจโลงศพกำลังเฟื่องฟู
ท่านจะไม่ลุกขึ้นทำอะไรเลยหรือ?
ครั้งเมื่อผม(ผู้เรียบเรียง)ทำงานพันธกิจเอดส์ในประเทศไทย ผมมีโอกาสไปเยี่ยมประเทศอูกานดาในช่วงเวลากำลังมีวิกฤตการณ์เกี่ยวกับเอดส์กับทีมแพทย์พยาบาลจากประเทศไทย
ผมกลับพบเห็นว่าผู้คนที่นั่นมิได้กระตือรือร้นที่จะต้องลงแรงจัดการเกี่ยวกับปัญหาเอดส์มากเท่าที่คาดคิดในใจ และเท่าที่ควรจะต้องทำ
ผมและทีมดูงานจากประเทศไทยได้เข้าเยี่ยมหมูบ้านแห่งหนึ่งบ้านส่วนใหญ่ปิดร้าง ในแต่ละวันจะมีคนมานำเด็กกำพร้าที่พ่อแม่เพิ่งตายจากเอดส์ไปที่บ้านสงเคราะห์เด็กกำพร้า
ทุกคนรู้ว่าเป็นความเลวร้ายที่โรคนี้แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว
แต่การตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูไม่เพียงพอ
ผมมีโอกาสไปพบกับศิษยาภิบาล ผู้นำคริสตจักรในอูกานดา ต่างแสดงความคิดเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า
“คริสตจักรเทศนาเรื่องการพิพากษาของพระเจ้า”
เพราะการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ถูกมองว่าเกิดจากการที่ผู้คนประพฤติไร้ศีลธรรมไร้จริยธรรม
มีการพูดถึงเรื่องความรักเมตตาในสถานการณ์นี้เพียงน้อยนิด ซึ่งเช่นเดียวกับที่ สเติร์นส์ได้คำตอบจากการสัมภาษณ์ศิษยาภิบาล
โจเซฟ เซนโยกา
จำนวนผู้เข้าร่วมนมัสการในคริสตจักรของโจเซฟลดน้อยลงเพราะผู้คนในชุมชนเสียชีวิต แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
โจเซฟบอกกับสเติร์นส์ว่า “ในฐานะศิษยาภิบาล เรากังวลอย่างมากพร้อมกับความกลัว”
ในหม้อต้มน้ำที่สบายๆ
สเติร์นส์
เล่าว่า องค์กรของเราได้เริ่มต้นให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
แต่ก็เหมือนกับองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือและคริสตจักรทั่วไป เราตอบสนองอย่างเชื่องช้า ทั้ง
ศิษยาภิบาลในคริสตจักรท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่คนทำงานขององค์กรของเราต่างซึมซับกับสถานการณ์ที่ค่อยๆ
เพิ่มความรุนแรงขึ้นของการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในช่วงทศวรรษ 1980 และช่วงต้นของทศวรรษ 1990
มีคนต้องเจ็บป่วยด้วยโรคนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจบลงด้วยการเสียชีวิต จนรู้สึกคุ้นชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
เราท่านคงเคยได้ยินเรื่องกบในหม้อต้มน้ำ น้ำในหม้อค่อยๆ มีอุณหภูมิร้อนเพิ่มขึ้นไปสู่จุดเดือด แต่เราเป็นเหมือนกบตัวนั้นรู้สึกอุ่นสบายในหม้อต้มน้ำนั้น ไม่คิดจะกระโดดออกจากหม้อ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเรามิได้สนใจอีกทั้งเมินเฉยต่อสถานการณ์ภายนอกหม้อ(ว่าไฟในเตาที่หม้อตั้งอยู่กำลังโหมแรงขึ้น)
เราจึงไม่ทุ่มตัวเข้าไปตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ ในขณะที่ความร้อนกำลังเพิ่มมากขึ้น ผมเอง(สเติร์นส์)ก่อนหน้านี้มิได้ทำงานองค์กรการกุศล แต่เมื่อเข้ามามีส่วนในองค์กรที่รับผิดชอบปัจจุบัน และก็ไม่รู้สถานการณ์นี้ดี
แต่สังเกตเห็นการแพร่ระบาดของโรคเอดส์จึงถามว่า แล้วองค์กรของเรากับคริสตจักรคู่มิตรในท้องถิ่นได้ช่วยอะไรบ้าง ต้องมีคนจากข้างนอกองค์กรการกุศลนานาชาติที่รู้สึกการเพิ่มขึ้นของความร้อนในหม้อ หรือการเพิ่มความร้อนแรงขึ้นของประเด็นนั้นๆ มาถาม
มากระตุ้น
สำหรับคริสตจักรปัจจุบันของเรา
เราเป็นเหมือนกบที่อยู่ในหม้อต้มน้ำ(ในคริสตจักรและชุมชน)ที่มีอุณหภูมิค่อยๆ
เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับความยากจน
ผู้คนใช้สารเสพติด แรงงานข้ามชาติ การค้ามนุษย์
และประเด็นสำคัญอื่นๆ ซึ่งผู้นำคริสตจักรก็เผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน
เราจะเอาชนะความรู้สึกคุ้นชิน(น่าจะชาชิน)ต่อสถานการณ์ปัญหาที่ประสบของผู้นำเหล่านี้อย่างไร? ทำอย่างไรที่คริสตจักรจะเทศนาถึงพระกิตติคุณที่ครบถ้วนสมบูรณ์
หรือ ที่มีคนเรียกว่าพระกิตติคุณอย่างเป็นองค์รวม? แล้วเราจะสร้างสาวกได้อย่างไรในเมื่อสมาชิกคริสตจักรรู้ถึงสบายและอบอุ่นคุ้นชินในที่นั่งของตนในคริสตจักร?
สเติร์นส์กล่าวว่า สำหรับผมมองว่านี่คืองานที่ยากลำบากที่สุดในโลกนี้สำหรับศิษยาภิบาล เป็นภาระงานที่ “เขี้ยวที่สุด” แต่เป็นงานที่ผมชื่นชอบในองค์กรที่ผมมีส่วนร่วมงาน
เพราะในงานนี้เป็นการนำผู้คนที่มีชีวิตคริสเตียนที่สัตย์ซื่อสัมผัสกับชีวิตจริงในชุมชน และเป็นการเสริมสร้างอภิบาลชีวิตสมาชิกให้สำแดงความเป็นสาวกของพระคริสต์ตามความเชื่อที่เขาประกาศ และเราจะต้องยืนหยัดชีวิตตามพระกิตติคุณ ครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่า
เราต้องต่อสู้กับความรู้สึกอบอุ่นสบายมั่นคงทั้งของเพื่อนสมาชิกในคริสตจักรและตัวเราเอง
ต่อไปนี้เป็นแผนกลยุทธ์บางประการที่สเติร์นส์ได้พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้คริสเตียนดำเนินชีวิตตามที่ตนเชื่อศรัทธาและตามระบบคุณค่าและคุณธรรมของพระกิตติคุณ
อาณาจักรแห่งความมหัศจรรย์
หรือ ดินแดนมหาสลดกันแน่
เมื่อสเติร์นส์
พูดกับเจ้าหน้าที่ในองค์กร และเมื่อไปพูดคุยกับคริสตจักร เขาพยายามที่จะให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองของคริสตจักรเกี่ยวกับโลก
สภาพคริสตจักรในเมืองใหญ่
เป็นเหมือนเราอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์
หรือเหมือนกับอยู่ในดิสนีย์แลนด์
คุณเริ่มจากซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้
และเมื่อท่านผ่านเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์นี้แล้ว ทุกอย่างที่ท่านเห็น ท่านชม
ท่านเล่น เป็นเรื่องที่ทางสวนสนุกควบคุมหรือตั้งโปรแกรมไว้ทั้งสิ้น ไม่วาจะเป็นการขับขี่ การเล่นน้ำ
หรือการชมการแสดงต่างๆ
ทั้งหมดถูกควบคุมเพื่อให้คุณได้รับความเพลิดเพลิน สนุกสนาน และพึงพอใจ สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือ
คุณต้องไปอยู่ในนั้นในฐานะผู้ชม
ผู้สังเกตการณ์
และเป็นผู้รับบริการ
แต่นอกกำแพงสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ กลับถูกห้อมล้อมด้วยโลกแห่งความเป็นจริง และเป็นโลกที่มีปัญหาแท้จริงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งเสื่อมโทรม สลัมแออัด
เป็นแหล่งเสพและขายสารเสพติด เป็นที่ที่มีแต่ความรุนแรง มาพบความจริงว่า
ดินแดนแสนสนุกที่ดึงดูดใจลูกค้ากลับถูกล้อมด้วยเพื่อนบ้านสลัม ดินแดนแออัด ภายในกำแพงเป็นดินแดนแสนมหัศจรรย์ แต่ภายนอกกำแพงกลับเป็นชีวิตที่น่าสลด
ในฐานะคริสเตียน
เรามักถูกหล่อหลอมและเย้ายวนให้มองสังคมโลกด้วยสายตาแบบนี้คือ เรามักเริ่มคิดว่า
ภารกิจของเราคือการเชื้อเชิญผู้โชคดีบางคนเข้ามาสัมผัสกับสวนสนุกที่น่ารื่นรมย์
ที่อยู่ต่างหากแยกตัวจากความทุกข์ยากนอกดินแดนอัศจรรย์นี้ แต่งานของเราในฐานะคริสเตียนต้องตระหนักชัดว่า
มิใช่เพิ่มจำนวนคนที่เข้ามาชมและซื้อบริการในดิสนีย์แลนด์
แต่ภารกิจของเราคือรื้อกำแพงของดินแดนมหัศจรรย์นี้และเปลี่ยนแปลงโลกที่อยู่นอกกำแพงของดินแดนอันรื่นรมย์นี้
จากประสบการณ์ของสเติร์นส์ การที่จะให้ใครคนใดคนหนึ่งให้มีความคิดและสนใจสภาพชีวิตของชุมชนล้อมรอบนอกกำแพงดินแดนมหัศจรรย์คือการที่จะนำคนเหล่านี้เข้าไปพบเห็นและสัมผัสกับชีวิตชุมชนที่เราทำงานพัฒนา และคงไม่มีอะไรที่จะก่อกวนความคิดความรู้สึกที่เมตตากรุณามากไปกว่าการที่เข้าไปสัมผัสกับงานชีวิตของเด็กและครอบครัวที่กำลังมีความจำเป็นต้องการอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้
บ่อยครั้ง แทนที่จะคิดถึงแต่ความจำเป็นต้องการของตนเอง
แต่เมื่อเขาไปเห็นถึงความใจกว้างของคนยากคนจนที่เห็นใจและช่วยเหลือกัน ทำให้ผู้ที่ไปเยี่ยมที่พวกเขามีสิ่งของสมบัติมากมายเกิดความรู้สึกอายต่อความใจกว้างของคนยากคนจนเหล่านี้
ศิษยาภิบาลอาวุโสท่านหนึ่งจากคริสตจักรแห่งหนึ่งในเมืองดาลัส ได้เดินทางไปกับทีมดูงานขององค์กรที่สเติร์นส์ร่วมงานด้วย
ที่ไนโรบีเมืองหลวงของประเทศเคนยา
ประสบการณ์ชีวิตครั้งนี้ได้ทะลุกำแพง “ดินแดนมหัศจรรย์” ของเขา เขาได้พบเห็นเด็กชายกำพร้าวัย 18 ปี เรียนรู้ที่จะเปิดร้านขายโทรศัพท์มือถือเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ
แล้วเขาได้เอารุ่นน้องที่เป็นเด็กกำพร้าอีกคนหนึ่งมาร่วมในการค้าขายของเขา แล้วแบ่งกำไรให้กับเด็กคนนั้น แล้วสอนเด็กชายคนนั้นในการทำธุรกิจขายโทรศัพท์ นี่เป็นภาพของความใจกว้างของเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่มีต่อเด็กกำพร้าอีกคนหนึ่ง ภาพนี้เปลี่ยนชีวิตของศิษยาภิบาลอาวุโสจากดาลัสท่านนั้น
เมื่อเราเดินข้ามกำแพงดินแดนมหัศจรรย์ เราพบกับความจริงใหม่ ความจริงในดินแดนที่แสนสลดที่รอการเปลี่ยนแปลงจากพระกิตติคุณ
ดินแดนที่จะทำให้เราต้องลุกจากความรู้สึกสบายคุ้นชิน
ในดินแดนแห่งความสลด ผู้คนที่นั่นจำนวนพันจำนวนล้านคนที่ต้องเข้าหลับนอนกลางคืนด้วยท้องที่ว่างเปล่า ในดินแดนแห่งนั้นผู้คนจำนวนมากมายไม่มีน้ำสะอาดสำหรับดื่ม และในโลกที่เป็นจริงแห่งนี้ คนส่วนใหญ่ที่มีชีวิตด้วยรายได้วันละน้อยกว่าสองเหรียญอเมริกัน ในดินแดนแห่งความน่าสลดมีเด็กกำพร้าอัฟริกา 59 ล้านคน และมีเด็กทั่วโลกที่ตายเพราะโรคที่สามารถป้องกันได้ในแต่ละปี และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอีกในวันพรุ่งนี้
วิธีหนึ่งที่เราจะช่วยให้หนุ่มสาวลุกออกจากที่สบายคุ้นชินในดินแดนมหัศจรรย์ได้ โดยให้พวกเขาอดอาหาร 30
ชั่วโมง
พวกเขาจะได้เรียนรู้ถึงวินัยจิตวิญญาณของการอดอาหาร พวกเขาจะสัมผัสประสบการณ์ของความหิว ความเจ็บปวดของผู้คนนับพันล้านคนในโลกนี้ที่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยในแต่ละวันและแต่ละคืน
ประสบการณ์จากการอดอาหารจะช่วยให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ได้เห็นถึงชีวิตของตนผ่านชีวิตของเพื่อนมนุษย์ทั่วโลก
หลายต่อหลายที่ในโลกนี้ไม่จำเป็นจะต้องตกเป็นดินแดนแห่งความสลด
เพราะเรื่องความหิวโหยเป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้ หลายโรคเป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้ และสาเหตุความตายหลายประการก็เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้เช่นกัน สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ยังเกิดขึ้นก็เพราะเราไม่ใส่ใจพอที่จะป้องกันมิให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น
ถ้าผมเป็นแพทย์ที่จะต้องเซ็นใบมรณบัตรของคนที่ต้องเสียชีวิตอย่างไม่จำเป็นจะต้องตาย ผมคงไม่ขอเขียนว่าเขาตายเพราะ “โรคหัด”
หรือ “มาลาเรีย” “วัณโรค” หรือ “เอดส์” แต่ผมขอเขียนว่าเขาตายเพราะ
“ความไม่ใส่ใจ” และนี่คือโรคร้ายที่สุดในบรรดาเชื้อโรคทั้งหลาย
ยึดมั่นในสัจจะของพระเจ้า
อะไรที่จะนำประชาชนในคริสตจักรออกไปจากดินแดนมหัศจรรย์?
ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
ยึดมั่นสัจจะของพระเจ้าเป็นมาตรฐานต่อหน้าประชากรของพระองค์ ผู้เผยพระวจนะกล่าวอย่างชัดแจ้งว่า
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไร
พระเจ้าทรงคาดหวังอะไรจากพวกเขา
และบ่งชี้ให้ประชาชนว่าได้กระทำผิดอะไรด้วย
พระเจ้าตรัสกับผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า
“จงร้องดังๆ อย่าออมเสียงไว้
จงเปล่งเสียงของเจ้าอย่างเป่าเขาสัตว์
จงแจ้งให้ชนชาติของเรารู้ตัวถึงการทรยศของเขา ให้เชื้อสายยาโคบรู้ตัวในเรื่องบาปของเขา”
(อิสยาห์ 58:1)
ในข้อต่อไปได้อธิบายถึง
วิถีทางที่อิสราเอลเชื่อว่าเป็นหนทางที่กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
“ราวกับว่า...พวกเขายินดีจะเข้าใกล้พระเจ้า” (ข้อ 2) แต่ความจริงหาใช่เป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขาอดอาหาร แต่เขา “บีบบังคับคนงานทั้งหมดของเจ้า” (ข้อ 3) เขาอธิษฐานต่อพระเจ้า “เพื่อวิวาทต่อสู้ และเพื่อต่อยด้วยหมัดอธรรม” (ข้อ 4)
ผู้เผยพระวจนะในอิสราเอลประกาศถึงสัจจะของพระเจ้าว่า พิธีการอดอาหารที่พวกอิสราเอลทำกันมิใช่ การอดอาหารที่พระเจ้าพึงพอใจ แต่การอดอาหารที่พระเจ้าประสงค์ต้องการคือการแบ่งปันอาหารแก่ผู้หิวโหย ให้ที่พักคุ้มกายแก่คนยากไร้ และการอดอาหารที่แท้จริงคือการแก้พันธนะอธรรม แก้สายรัดแอก
ปลดปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ (ข้อ 5-7)
อิสราเอลเป็นตัวอย่างที่เยี่ยมยอดสำหรับผู้นำคริสตจักรในสมัยนี้ เราจำเป็นที่จะต้องท้าทายสมาชิกในชุมชนคริสตจักรของเราด้วยสัจจะของพระเจ้า
แล้วเปรียบเทียบกับแนวทางการดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบัน
เราต้องหนุนช่วยผู้คนให้สามารถมองเห็นถึงชีวิตของตนเองจากการสะท้อนคิดไตร่ตรองสัจจะของพระเจ้า และนี่คือจุดเริ่มต้นในการเป็นสาวกของพระองค์
เมื่อไม่นานมานี้
คุณแม่ที่อยู่แถบชานเมืองได้บอกเราถึงการที่เธอทำกิจกรรมจากห้องครัวของเธออย่างไร
นักศาสนศาสตร์จะพูดถึงอัตลักษณ์ของคริสเตียนและกิจกรรมต่างๆ
อาจจะดูแตกต่างกันในที่ต่างๆ ทั่วโลก
ขึ้นอยู่กับว่าท้องถิ่นนั้นๆ มีความจำเป็นต้อการอะไร และ มีวัฒนธรรมแบบไหน
ผู้นำอาสาสมัครคริสตจักรบอกกับเราถึงการที่เธอไปทำงานกับเด็กในโรงเรียนโดยการใช้หลักสูตรหลังเลิกเรียนของเธอ
หัวเรื่องอาจจะแตกต่างกันไป
แต่สาระแก่นสารอันเดียวกัน
เราอยู่เพื่อที่จะช่วยเด็กๆ ครอบครัวของเขา และชุมชนของเขาให้ได้มีประสบการณ์กับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์
ทั้งเจ้าหน้าที่ทำงานและผู้สนับสนุนองค์กร เราเสนอโอกาสในการบริการ ทั้งในการนมัสการและเทศนา การเดินทางไปยังภาคสนามงาน โปรแกรมสำหรับคริสตจักรที่จะบอกถึงสัจจะความจริงของพระเจ้า เพื่อผู้คนสมาชิกคริสตจักรจะได้รับสัจจะความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเข้าไปแทนที่ความเฉื่อยชาคุ้นชินด้วยความกระตือรือร้น
เราต้องสื่อสารสัจจะความจริงของพระเจ้า อย่างไม่ลดละ
อย่างต่อเนื่อง
เราต้องไม่ขลาดกลัวที่จะเผชิญหน้ากับผู้คนบนรากฐานพระวจนะ
และพร้อมที่จะยอมรับค่าราคาที่ต้องจ่ายของการติดตามเป็นสาวกพระคริสต์
เป้าหมายของเราคือการรวมตัวของผู้ติดตามพระเยซูคริสต์อย่างเต็มใจและทุ่มเท
นำการปฏิวัติคริสตจักร
การนำผู้คนออกจากดินแดนมหัศจรรย์ การสื่อสารสัจจะของพระเจ้าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นและสำคัญ เพื่อผลักดันคนให้ออกไปจากที่สบายพึงพอใจ แต่ในฐานะผู้นำ
เราต้องก้าวไปล่วงหน้าอีกก้าวหนึ่ง
เราได้รับการทรงเรียกให้ปฏิวัติ
ทุกปี
ศิษยาภิบาล Bruxy Cavey จะเทศนาที่เรียกว่า
“วันอาทิตย์ฟอกล้าง”
เขาจะขึ้นไปข้างหน้าและให้สัจจะความจริงแก่สมาชิกในคริสตจักรว่า “ถ้าคุณไม่ถวาย ก็ออกจากคริสตจักรแห่งนี้ ถ้าคุณไม่รับใช้คนยากจน ก็ไปจากคริสตจักรนี้ ถ้าคุณไม่ถวายตัวอย่างเต็มที่ และไม่อุทิศทั้งสิ้นติดตามพระคริสต์ คุณควรหาคริสตจักรอื่น”
จำเป็นอย่างยิ่งครับที่เราต้องเรียกร้องให้สมาชิกคริสตจักรแต่ละคนอุทิศถวายตัวอย่างจริงจัง
ด้วยวิธีการของ
Cavey เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เขาบอกว่า
“ในทุกปี
เมื่อผมทำอย่างที่เล่าจะมีคนประมาณ 10-15% ออกไปจากคริสตจักร อาทิตย์ต่อมาจะมีคนร่วมจำนวนน้อยลง แต่หลังจากนั้นหนึ่งปี ชุมชนเราเติบใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งมีบางคนที่ออกจากคริสตจักรของเรา กลับมาร่วมกับเราใหม่อีก”
บ่อยครั้ง
เราให้ความสำคัญอันดับแรกๆ กับการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันหรือองค์กรมากกว่าการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงชีวิตคริสตจักร แต่คริสตจักรปัจจุบันต้องการปฏิวัติชีวิต พระเยซูคริสต์ประสงค์ให้เรานำการสร้างคนด้วยการติดอาวุธแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ แล้วส่งคนเหล่านี้เข้าไปในสังคมโลก แต่เรามักพบกับการทดลองให้เปลี่ยนค่ายสร้างคนเป็นอุทยานพักผ่อน เป็นงานของผู้นำคริสตจักรที่จะต้องเป็นหัวหน้านำในการปฏิวัติชีวิตคริสเตียนของสมาชิกในคริสตจักร
เมื่อองค์กรของเราทำงานเป็นคู่มิตรกับคริสตจักรท้องถิ่น สิ่งแรกที่เราทำมักจัดโอกาส
ให้ศิษยาภิบาลอาวุโสของคริสตจักรได้ออกไปเรียนรู้ในพื้นที่งานของเรา เราเรียนรู้ว่า ถ้าศิษยาภิบาลอาวุโสไม่ยอมรับนิมิต คริสตจักรจะไม่ตอบสนอง ตรงกันข้าม
เมื่อศิษยาภิบาลเกิดนิมิตและแบ่งปันนิมิตนั้นกับสมาชิกในคริสตจักร ชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลง งานนี้เริ่มต้นจากผู้นำ
ผู้นำคริสตจักรบางท่านอาจจะให้ความสำคัญกับการสร้างและรักษาสถาบันหรือองค์กรคริสตจักรไว้
เราจะไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกอบอุ่นคุ้นชินสบายของสมาชิก
เป้าหมายของเราคือต้องการปฏิวัติในส่วนของการขับเคลื่อนพันธกิจของเรา
คริสเตียนปัจจุบันต้องการการปฏิวัติ
เขาต้องการผู้นำที่เต็มใจและกล้าหาญพอที่จะนำพวกเขาไปรับใช้คนยากคนจน เลี้ยงดูผู้หิวโหยในพระนามของพระเยซูคริสต์
และนี่คือการแพร่ขยายข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ซึมซับและเรียบเรียง จากข้อเขียน
เรื่อง Shedding Lethargy ของ Richard Stearns
ประธานกรรมการองค์การศุภนิมิตแห่งสหรัฐอเมริกา และ ผู้เขียนหนังสือ The Hole in Our Gospel
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น