16 กรกฎาคม 2555

หายไปแล้ว...แต่ได้พบอีก (4)


ลูกา 15:1-32

บทเรียนจากอุปมาทั้งสามเรื่อง

สาระสัจจะจากอุปมาทั้งสามเรื่องนี้ฟาริสีและธรรมมาจารย์ต้องนำกลับบ้านไปขบคิดอย่างเจ็บปวด   เขาเป็นคนที่ใส่ใจกับทรัพย์สมบัติสิ่งของเงินทองของตนที่สูญหายไปมากกว่าการสูญหายหลงทางชีวิตของผู้คน   นี่คือสาเหตุที่เขาไม่สามารถร่วมในความชื่นชมยินดีเมื่อคนบาปกลับใจใหม่   แต่มากกว่านี้   มิเพียงแต่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์พบสิ่งที่ตนเองไม่สามารถร่วมแสดงความชื่นชมยินดีแล้ว  แต่พวกเขากลายเป็นผู้ต่อต้านความชื่นชมยินดีดังกล่าว  แล้วพวกเขาก็บ่นว่าตำหนิผู้อื่น   ก้นบึ้งของความคิดที่ผิดพลาดของฟาริสีคือ  เขาเข้าใจผิดว่าการทำดีทำงานหนักก็เพื่อที่จะสร้างและเรียกร้องการยอมรับและการตอบแทนจากพระเจ้า   มากกว่าพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อคนบาป   ลูกคนโตโกรธพ่อเพราะ เขาไม่ได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับ (ในที่นี้คือการที่พ่อฆ่าวัวอ้วนพีและจัดงานเลี้ยงฉลองแก่เขา)  และในเวลาเดียวกันน้องชายได้รับสิ่งที่เขาไม่ควรได้รับจากพระเจ้า (งานเลี้ยงฉลอง)   สิ่งที่ลูกคนโตพยายามทำกลับไม่เกิดผลอย่างที่เขาคาดคิดและคาดหวัง   ในขณะที่น้องชายกลับใจใหม่แต่ได้รับสิ่งที่พี่คาดหวังอยากได้ทั้งหมด   และนี่คือเส้นทางพระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า    ทั้งสิ้นนี้เป็นพระคุณของพระเจ้า

นี่คือคำอธิบายว่าทำไมพวกฟาริสีจึงปฏิเสธและต่อต้านพระเยซู   เพราะพระองค์มาเพื่อนำความรอดมาถึงคนบาป  โดยทางพระคุณของพระองค์  ผ่านความเชื่อศรัทธา   แต่มิใช่เพราะความพยายามทำดีของมนุษย์เอง

แต่บัดนี้ความชอบธรรมจากพระเจ้าซึ่งอยู่นอกเหนือบทบัญญัตินั้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว   เป็นความชอบธรรมที่หนังสือบทบัญญัติ และ หนังสือผู้เผยพระวจนะได้เป็นพยานถึง   ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ  ไม่มีข้อแตกต่างกัน   เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า   และโดยพระคุณของพระเจ้า  พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า  ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา (โรม 3:21-24 อมตธรรม)

เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ   ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง  แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า   ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ  เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ (เอเฟซัส 2:8-9)

ปัญหาของพวกฟาริสีคือ  มองว่าตนเองเป็นคนดี และมองคนอื่นว่าเป็นบาปหนา  แต่ตนเองไม่เป็นคนบาป   พวกเขาเชื่อว่า ถ้าพวกเขารักษาบทบัญญัติ พระเจ้าจะทรงพอใจและโปรดปรานพวกเขา   ส่วนคนบาปจะต้องถูกกล่าวโทษและลงโทษในบึงไฟนรก   เขามิได้มองว่าตนเองเป็นคนบาปที่ไร้ค่า (อย่างบุตรผู้ล้างผลาญ)   ดังนั้น มิเพียงแต่ที่เขาปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นแต่ดูถูกพระคุณของพระเจ้าอีกด้วย

ท่านครับ... คงไม่สำคัญสักเท่าใดนักว่าเราจะเป็นคนบาปที่ได้รับการยอมรับยกย่องโดยสังคมอย่างเช่น  ฟาริสี   หรือเราจะเป็นคนบาปที่สังคมไม่ยอมรับและประณาม เหมือนกับลูกคนเล็กผู้ล้างผลาญ  เพราะไม่ว่าเราจะเป็นคนในกลุ่มไหนเราต่างก็เป็นบาปเหมือนกัน   แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ  เรารู้เท่าทันตนเองว่าเป็นคนบาป  ไม่เหมาะสมและไม่เป็นที่โปรดปรานสำหรับพระเจ้า   และพระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเราบนกางเขนที่ภูเขากะโหลกศีรษะ  เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงประทานแก่เรา   และเราจะต้องสารภาพและกลับใจใหม่   ยอมรับในความผิดบาปของตนเอง  และยอมรับเอาความรอดนิรันดร์จากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ในที่นี้เราได้รับบทเรียนชีวิตหลายประการในฐานะคริสตชน (คนบาปที่ได้รับความรอด)...  ความชื่นชมยินดีเป็นบุคลิกลักษณะหนึ่งในชีวิตของคริสต์ชน   ความชื่นชมยินดีดังกล่าวหยั่งรากลึกลงในพระคุณของพระเจ้า   เราสามารถชื่นชมยินดีในความรอดที่เราได้รับ  และในเวลาเดียวกันเราจึงสามารถที่ร่วมความชื่นชมยินดีเมื่อคนอื่นกลับใจเชื่อในพระเจ้าด้วย   ปัจจุบันดูเหมือนว่าคริสตชนเป็นเหมือน “ถุงแห่งความทุกข์” ที่ปราศจากความชื่นชมยินดี   เพราะเขาไม่สามารถเห็นความรอดของเขาที่ได้รับโดยพระคุณ  ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการนำคนอื่นเข้ามาร่วมในความรอดโดยพระคุณของพระเจ้า   เราจะเห็นว่าเปาโลได้รับความรอดโดยพระคุณของพระเจ้าเพราะฉะนั้นเขาจึงเกิดความชื่นชมยินดีในชีวิต  ไม่ว่าชีวิตของท่านจะตกอยู่ในสภาพเช่นใด  ต้องประสบกับความทุกข์ยิ่งใหญ่  ตกในอันตราย  ถูกคุมขัง  หรือความข้นแค้นทุกข์ยากลำบากในชีวิต   ท่านชื่นชมยินในทุกสถานการณ์   และยิ่งกว่านั้นเปาโลพบกับความชื่นชมยินดีเมื่อมีผู้คนได้รับความรอดโดยพระคุณและเห็นถึงชีวิตคริสตชนที่เติบโตขึ้น

เพราะอะไรเล่าเป็นความหวังของเรา   อะไรเล่าเป็นความชื่นชมยินดีของเรา  หรือเป็นมงกุฎซึ่งเราจะภาคภูมิใจต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมา   ไม่ใช่พวกท่านหรอกหรือ  เพราะท่านเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความชื่นชมยินดีของเราอย่างแท้จริง (1เธสะโลนิกา 2:19-20) 

ผมเกรงว่า เรามักจะพลาดโอกาสที่จะมีประสบการณ์ในความชื่นชมยินดีที่พระเจ้ามีสำหรับเรา  เพราะเราไม่เข้าร่วมในพระคุณของพระเจ้าที่ทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของคนอื่น  เฉกเช่นที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา

พระคัมภีร์ในเรื่องที่เราศึกษานี้ได้ย้ำเตือนตัวผมเองด้วย ถึงความเข้าใจเกี่ยวกับการสูญหายหรือหลงหายของมนุษย์เป็นเรื่องใหญ่มาก  และเตือนผมถึงการเข้ามีส่วนร่วมในการแสวงหาผู้ที่หลงหาย  และการเข้าร่วมในความชื่นชมยินดีเมื่อคนเหล่านั้นกลับใจมาหาพระเจ้า   การที่คริสตชนจำนวนมากล้มเหลวในการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์  มิใช่เพราะขาดการอบรมวิธีการประกาศฯ หรือ เราไม่มีวิธีการประกาศฯ  แต่เราขาดความตระหนักรู้และสำนึกถึงสาเหตุการหลงหายของมนุษย์  วิกฤติที่แท้จริงในชีวิตที่เขาต้องเผชิญอยู่   และความชื่นชมยินแห่งความรอดที่มีพร้อมอยู่ในพระคริสต์สำหรับมนุษย์

ผมคิดว่าคริสตชนมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมายในเรื่องการแยกออกเฉพาะและความบริสุทธิ์  เราเป็นเหมือน ฟาริสี  มักจะคิดว่า  ความบริสุทธิ์ของเราสามารถวัดได้จากการมีชีวิตที่ห่างไกลจาก “คนบาป” มากน้อยแค่ไหน   แต่ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องความบริสุทธิ์ในความหมายที่ว่าชีวิตของเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระคริสต์มากน้อยแค่ไหน   ถ้าในพระคัมภีร์เราพบว่าพระเยซูคริสต์สัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนบาป   ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะใกล้ชิดติดสนิทกับพระคริสต์และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนบาปด้วยในเวลาเดียวกัน   ความคิดในการแยกตนเองออกเป็นพิเศษเพื่อเป็นคนบริสุทธิ์นี้ทำให้เราแยกตัวออกจากคนบาปดึงเราให้ออกห่างจากการนำพระกิตติคุณไปถึงคนที่หลงหาย   และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนบาปเกลียดชังเรา   คริสตชนจำเป็นที่จะต้องเอาจริงเอาจังในความเข้าใจถึงชีวิตที่แยกออกต่างหาก   เพราะการมีชีวิตที่บริสุทธิ์เพราะแยกออกจากคนอื่น  นั่นเป็นชีวิตบริสุทธิ์ที่จอมปลอมหรือไม่?

จิม ปีเตอร์สัน (Jim Peterson) เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ดีมากชื่อว่า Evangelism as a Lifestyle (การประกาศพระกิตติคุณเป็นวิถีการดำเนินชีวิต) ได้ชี้ถึงความล้มเหลวของคริสตจักรในการเข้าถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า  ทั้งผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องและเกี่ยวข้องกับพวกคริสตชนเลย   คนเช่นนี้มีจำนวนมากมายที่อยู่ล้อมรอบชุมชนที่เราอาศัยอยู่  บางครั้งก็เป็นคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับเรา   บ่อยครั้งคริสตจักรมักจะหาพื้นที่ประกาศพระกิตติคุณที่ห่างไกลจากโบสถ์จากบ้านของตนเอง    บางครั้งไปประกาศถึงต่างประเทศต่างแดน   แท้ที่จริงคนที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้ามีมากมายล้อมรอบชีวิตประจำวันของเรา   การที่คริสตจักรปัจจุบันล้มเหลวในการนำพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เข้าถึงชีวิตของคนที่ยังไม่เชื่อ   เพื่อนำพวกเขาเข้าร่วมชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้านั้น   อาจจะเพราะความคิดความเข้าใจที่บิดเบือนหรือบิดเบี้ยวเกี่ยวกับความคิดเรื่องชีวิตจิตวิญญาณ   ประเด็นนี้คริสตชนจำเป็นต้องเข้าใจชัดเจนถูกต้องเพื่อที่จะก้าวข้ามสังคมเข้าสู่วัฒนธรรมวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน

ตามที่กล่าวในตอนต้นแล้วว่า คำจำกัดความของคำว่า “ความบาป” และ “คนบาป” มีความหมายเหมือนกับ  ฟาริสีและธรรมาจารย์  มักเข้าใจตามความหมายตามกระแสคิดทางสังคมมากกว่าตามพระคัมภีร์   “คนบาป” ในความคิดความเข้าใจของเราคือ  ท่าที บุคลิก และ การกระทำทั้งหลายที่สังคมยอมรับไม่ได้   แต่ “ความบาป” ตามความหมายของพระคัมภีร์นั้นบ่อยครั้งเน้นและให้ความสำคัญที่มุมมองและทัศนคติ   แต่นี่มิได้หมายความว่าการกระทำหลายประการมิใช่สิ่งชั่วร้าย ตัวอย่างเช่น  การล่วงประเวณีเป็นความชั่วร้ายแน่นอน   แต่ในเวลาเดียวกันการกระทำที่ดูเหมือนชอบธรรมและเป็นกิจกรรมด้านจิตวิญญาณ เช่นการอธิษฐานอาจจะเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายได้ด้วย   ถ้าทัศนคติของการกระทำนั้นชั่วร้าย   “คนบาป” ในความหมายของฟาริสีส่วนใหญ่แล้วเป็นประเด็นทางสังคมมากกว่าด้านอื่น   พระคัมภีร์บอกกับเราว่าคนบาปมิใช่เป็นเพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคมชุมชนเท่านั้น  แต่หมายถึงคนเหล่านั้นที่มีทัศนคติ และ การกระทำที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า   ให้เราคิดพิจารณาเกี่ยวกับคำจำกัดความของความบาปอย่างระมัดระวังมากขึ้น

จากอุปมาเรื่องบุตรผู้ล้างผลาญ หรือ บุตรคนเล็ก   พี่ชายผู้ภาคภูมิใจได้สอนเราเกี่ยวกับเรื่องการนมัสการพระเจ้า   ลูกทั้งสองคนไม่ได้รู้สึกชื่นชมในพ่อที่เป็นอยู่ (แม้ว่าภายหลังลูกคนเล็กจะชื่นชมมากขึ้นก็ตาม)  ลูกทั้งสองคนต่างมองว่าพ่อเป็นผู้ที่จะให้ “ของดี และ โอกาสที่ดี” แก่ตน   สำหรับลูกคนเล็กมองว่าพ่อคือผู้ที่สามารถให้ทรัพย์สินส่วนมรดกแก่ตน  เพื่อตนจะสามารถใช้มรดกเหล่านั้นตามใจปรารถนา   ส่วนลูกคนโต  มองว่าพ่อเป็นเจ้าของฝูงแกะและวัวที่อ้วนพี   และถ้าตนสามารถทำให้พ่อพอใจ   พ่อก็จะให้จัดงานเลี้ยงสำหรับเขาและเพื่อนๆ   แต่ลูกทั้งสองไม่มีคนใดเลยที่เข้าใจว่าพ่อปรารถนาที่จะมีความชื่นชมยินดีในชีวิตของเขา

เราก็มีชีวิตที่สัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ต่างอะไรที่กล่าวมานี้   แนวโน้มส่วนมากเรามักจะคิดว่าพระเจ้าคือผู้ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้แก่เรา   มากกว่าที่พระองค์คือของประทานสำหรับมนุษย์เรา   เราเข้าหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน  มิใช่เพื่อที่จะมีสามัคคีธรรมสัมพันธภาพกับพระองค์   แต่เรากลับขอสิ่งที่เราคิดว่าพระองค์จะประทานให้แก่เราเพื่อเราจะมีความชื่นชมยินดีในชีวิต   การนมัสการพระเจ้าคือการที่เราชื่นชมยินดีในพระเจ้าตามที่พระองค์ทรงเป็น   แต่มิใช่เพราะว่าพระเจ้าให้อะไรกับเรา   ลูกชายคนโตไม่สามารถเห็นตัวพ่อเป็นของประทานที่เป็นพระพรยิ่งใหญ่ในชีวิตของตน   ทั้งๆ ที่เขาอยู่กับพ่อตลอดเวลา   ในขณะที่ลูกคนเล็กได้ละจากพ่อและครอบครัวไปหาความชื่นชมยินดีนอกบ้าน   ให้เราแสวงหาและชื่นชมยินดีในพระบิดาของเราในสวรรค์ตามที่พระองค์ทรงเป็น

ประการสุดท้าย   พระคัมภีร์ในตอนที่เราศึกษานี้ตั้งประเด็นถามเราในฐานะคริสตจักรว่า เราต้อนรับคนบาป หรือ เราเป็นเหมือนฟาริสี   ที่บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาไม่ต้องการคบค้ากับคนบาป  คนบาปเป็นพวกที่เขาไม่ต้องการ   แต่ถ้าเราเข้าใจพระคุณของพระเจ้า เราจะยินดีต้อนรับคนบาปที่เหมือนเราท่านที่เป็นคนที่มิได้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า   และชีวิตประสบกับความชื่นชมยินดีเมื่อมีประสบการณ์กับพระคุณของพระเจ้าอย่างที่เราเคยมีประสบการณ์   แต่เราจะไม่นำความรอดไปถึงคนที่เราไม่ต้องการคบค้าสมาคมด้วยอย่างแน่นอน   ให้เราแสวงหาน้ำพระทัยแบบพระคริสต์ที่ให้การต้อนรับคนบาปอย่างอบอุ่น  เฉกเช่นเราคนบาปที่ได้รับการต้อนรับจากพระองค์มาก่อนด้วยเช่นกัน


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
เรียบเรียงจากการข้อมูลในบทความเรื่อง Lost and Found ของ Deffinbaugh

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น