ลูกา 15:1-32
บทเรียนจากอุปมาทั้งสามเรื่อง
สาระสัจจะจากอุปมาทั้งสามเรื่องนี้ฟาริสีและธรรมมาจารย์ต้องนำกลับบ้านไปขบคิดอย่างเจ็บปวด
เขาเป็นคนที่ใส่ใจกับทรัพย์สมบัติสิ่งของเงินทองของตนที่สูญหายไปมากกว่าการสูญหายหลงทางชีวิตของผู้คน
นี่คือสาเหตุที่เขาไม่สามารถร่วมในความชื่นชมยินดีเมื่อคนบาปกลับใจใหม่ แต่มากกว่านี้ มิเพียงแต่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์พบสิ่งที่ตนเองไม่สามารถร่วมแสดงความชื่นชมยินดีแล้ว
แต่พวกเขากลายเป็นผู้ต่อต้านความชื่นชมยินดีดังกล่าว แล้วพวกเขาก็บ่นว่าตำหนิผู้อื่น ก้นบึ้งของความคิดที่ผิดพลาดของฟาริสีคือ
เขาเข้าใจผิดว่าการทำดีทำงานหนักก็เพื่อที่จะสร้างและเรียกร้องการยอมรับและการตอบแทนจากพระเจ้า มากกว่าพระคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อคนบาป ลูกคนโตโกรธพ่อเพราะ
เขาไม่ได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับ (ในที่นี้คือการที่พ่อฆ่าวัวอ้วนพีและจัดงานเลี้ยงฉลองแก่เขา)
และในเวลาเดียวกันน้องชายได้รับสิ่งที่เขาไม่ควรได้รับจากพระเจ้า
(งานเลี้ยงฉลอง)
สิ่งที่ลูกคนโตพยายามทำกลับไม่เกิดผลอย่างที่เขาคาดคิดและคาดหวัง
ในขณะที่น้องชายกลับใจใหม่แต่ได้รับสิ่งที่พี่คาดหวังอยากได้ทั้งหมด และนี่คือเส้นทางพระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า ทั้งสิ้นนี้เป็นพระคุณของพระเจ้า
นี่คือคำอธิบายว่าทำไมพวกฟาริสีจึงปฏิเสธและต่อต้านพระเยซู เพราะพระองค์มาเพื่อนำความรอดมาถึงคนบาป โดยทางพระคุณของพระองค์ ผ่านความเชื่อศรัทธา แต่มิใช่เพราะความพยายามทำดีของมนุษย์เอง
แต่บัดนี้ความชอบธรรมจากพระเจ้าซึ่งอยู่นอกเหนือบทบัญญัตินั้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว เป็นความชอบธรรมที่หนังสือบทบัญญัติ และ
หนังสือผู้เผยพระวจนะได้เป็นพยานถึง
ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน
เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา (โรม 3:21-24 อมตธรรม)
เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ (เอเฟซัส 2:8-9)
ปัญหาของพวกฟาริสีคือ มองว่าตนเองเป็นคนดี
และมองคนอื่นว่าเป็นบาปหนา
แต่ตนเองไม่เป็นคนบาป
พวกเขาเชื่อว่า ถ้าพวกเขารักษาบทบัญญัติ พระเจ้าจะทรงพอใจและโปรดปรานพวกเขา
ส่วนคนบาปจะต้องถูกกล่าวโทษและลงโทษในบึงไฟนรก เขามิได้มองว่าตนเองเป็นคนบาปที่ไร้ค่า
(อย่างบุตรผู้ล้างผลาญ) ดังนั้น
มิเพียงแต่ที่เขาปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นแต่ดูถูกพระคุณของพระเจ้าอีกด้วย
ท่านครับ...
คงไม่สำคัญสักเท่าใดนักว่าเราจะเป็นคนบาปที่ได้รับการยอมรับยกย่องโดยสังคมอย่างเช่น ฟาริสี
หรือเราจะเป็นคนบาปที่สังคมไม่ยอมรับและประณาม
เหมือนกับลูกคนเล็กผู้ล้างผลาญ
เพราะไม่ว่าเราจะเป็นคนในกลุ่มไหนเราต่างก็เป็นบาปเหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ เรารู้เท่าทันตนเองว่าเป็นคนบาป ไม่เหมาะสมและไม่เป็นที่โปรดปรานสำหรับพระเจ้า และพระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเราบนกางเขนที่ภูเขากะโหลกศีรษะ เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงประทานแก่เรา และเราจะต้องสารภาพและกลับใจใหม่ ยอมรับในความผิดบาปของตนเอง และยอมรับเอาความรอดนิรันดร์จากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในที่นี้เราได้รับบทเรียนชีวิตหลายประการในฐานะคริสตชน
(คนบาปที่ได้รับความรอด)...
ความชื่นชมยินดีเป็นบุคลิกลักษณะหนึ่งในชีวิตของคริสต์ชน
ความชื่นชมยินดีดังกล่าวหยั่งรากลึกลงในพระคุณของพระเจ้า เราสามารถชื่นชมยินดีในความรอดที่เราได้รับ
และในเวลาเดียวกันเราจึงสามารถที่ร่วมความชื่นชมยินดีเมื่อคนอื่นกลับใจเชื่อในพระเจ้าด้วย ปัจจุบันดูเหมือนว่าคริสตชนเป็นเหมือน
“ถุงแห่งความทุกข์” ที่ปราศจากความชื่นชมยินดี
เพราะเขาไม่สามารถเห็นความรอดของเขาที่ได้รับโดยพระคุณ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการนำคนอื่นเข้ามาร่วมในความรอดโดยพระคุณของพระเจ้า
เราจะเห็นว่าเปาโลได้รับความรอดโดยพระคุณของพระเจ้าเพราะฉะนั้นเขาจึงเกิดความชื่นชมยินดีในชีวิต ไม่ว่าชีวิตของท่านจะตกอยู่ในสภาพเช่นใด ต้องประสบกับความทุกข์ยิ่งใหญ่ ตกในอันตราย
ถูกคุมขัง
หรือความข้นแค้นทุกข์ยากลำบากในชีวิต
ท่านชื่นชมยินในทุกสถานการณ์
และยิ่งกว่านั้นเปาโลพบกับความชื่นชมยินดีเมื่อมีผู้คนได้รับความรอดโดยพระคุณและเห็นถึงชีวิตคริสตชนที่เติบโตขึ้น
เพราะอะไรเล่าเป็นความหวังของเรา อะไรเล่าเป็นความชื่นชมยินดีของเรา
หรือเป็นมงกุฎซึ่งเราจะภาคภูมิใจต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมา ไม่ใช่พวกท่านหรอกหรือ เพราะท่านเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความชื่นชมยินดีของเราอย่างแท้จริง
(1เธสะโลนิกา 2:19-20)
ผมเกรงว่า
เรามักจะพลาดโอกาสที่จะมีประสบการณ์ในความชื่นชมยินดีที่พระเจ้ามีสำหรับเรา
เพราะเราไม่เข้าร่วมในพระคุณของพระเจ้าที่ทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของคนอื่น เฉกเช่นที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา
พระคัมภีร์ในเรื่องที่เราศึกษานี้ได้ย้ำเตือนตัวผมเองด้วย
ถึงความเข้าใจเกี่ยวกับการสูญหายหรือหลงหายของมนุษย์เป็นเรื่องใหญ่มาก
และเตือนผมถึงการเข้ามีส่วนร่วมในการแสวงหาผู้ที่หลงหาย
และการเข้าร่วมในความชื่นชมยินดีเมื่อคนเหล่านั้นกลับใจมาหาพระเจ้า การที่คริสตชนจำนวนมากล้มเหลวในการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ มิใช่เพราะขาดการอบรมวิธีการประกาศฯ หรือ
เราไม่มีวิธีการประกาศฯ
แต่เราขาดความตระหนักรู้และสำนึกถึงสาเหตุการหลงหายของมนุษย์ วิกฤติที่แท้จริงในชีวิตที่เขาต้องเผชิญอยู่ และความชื่นชมยินแห่งความรอดที่มีพร้อมอยู่ในพระคริสต์สำหรับมนุษย์
ผมคิดว่าคริสตชนมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมายในเรื่องการแยกออกเฉพาะและความบริสุทธิ์ เราเป็นเหมือน ฟาริสี มักจะคิดว่า
ความบริสุทธิ์ของเราสามารถวัดได้จากการมีชีวิตที่ห่างไกลจาก “คนบาป”
มากน้อยแค่ไหน
แต่ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องความบริสุทธิ์ในความหมายที่ว่าชีวิตของเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระคริสต์มากน้อยแค่ไหน ถ้าในพระคัมภีร์เราพบว่าพระเยซูคริสต์สัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนบาป
ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะใกล้ชิดติดสนิทกับพระคริสต์และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนบาปด้วยในเวลาเดียวกัน ความคิดในการแยกตนเองออกเป็นพิเศษเพื่อเป็นคนบริสุทธิ์นี้ทำให้เราแยกตัวออกจากคนบาปดึงเราให้ออกห่างจากการนำพระกิตติคุณไปถึงคนที่หลงหาย
และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนบาปเกลียดชังเรา คริสตชนจำเป็นที่จะต้องเอาจริงเอาจังในความเข้าใจถึงชีวิตที่แยกออกต่างหาก
เพราะการมีชีวิตที่บริสุทธิ์เพราะแยกออกจากคนอื่น นั่นเป็นชีวิตบริสุทธิ์ที่จอมปลอมหรือไม่?
จิม ปีเตอร์สัน (Jim Peterson) เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ดีมากชื่อว่า Evangelism as a Lifestyle (การประกาศพระกิตติคุณเป็นวิถีการดำเนินชีวิต)
ได้ชี้ถึงความล้มเหลวของคริสตจักรในการเข้าถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ทั้งผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องและเกี่ยวข้องกับพวกคริสตชนเลย คนเช่นนี้มีจำนวนมากมายที่อยู่ล้อมรอบชุมชนที่เราอาศัยอยู่
บางครั้งก็เป็นคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับเรา บ่อยครั้งคริสตจักรมักจะหาพื้นที่ประกาศพระกิตติคุณที่ห่างไกลจากโบสถ์จากบ้านของตนเอง บางครั้งไปประกาศถึงต่างประเทศต่างแดน แท้ที่จริงคนที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้ามีมากมายล้อมรอบชีวิตประจำวันของเรา
การที่คริสตจักรปัจจุบันล้มเหลวในการนำพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เข้าถึงชีวิตของคนที่ยังไม่เชื่อ เพื่อนำพวกเขาเข้าร่วมชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้านั้น
อาจจะเพราะความคิดความเข้าใจที่บิดเบือนหรือบิดเบี้ยวเกี่ยวกับความคิดเรื่องชีวิตจิตวิญญาณ ประเด็นนี้คริสตชนจำเป็นต้องเข้าใจชัดเจนถูกต้องเพื่อที่จะก้าวข้ามสังคมเข้าสู่วัฒนธรรมวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน
ตามที่กล่าวในตอนต้นแล้วว่า คำจำกัดความของคำว่า
“ความบาป” และ “คนบาป” มีความหมายเหมือนกับ
ฟาริสีและธรรมาจารย์
มักเข้าใจตามความหมายตามกระแสคิดทางสังคมมากกว่าตามพระคัมภีร์ “คนบาป” ในความคิดความเข้าใจของเราคือ ท่าที บุคลิก และ การกระทำทั้งหลายที่สังคมยอมรับไม่ได้ แต่ “ความบาป”
ตามความหมายของพระคัมภีร์นั้นบ่อยครั้งเน้นและให้ความสำคัญที่มุมมองและทัศนคติ แต่นี่มิได้หมายความว่าการกระทำหลายประการมิใช่สิ่งชั่วร้าย
ตัวอย่างเช่น
การล่วงประเวณีเป็นความชั่วร้ายแน่นอน
แต่ในเวลาเดียวกันการกระทำที่ดูเหมือนชอบธรรมและเป็นกิจกรรมด้านจิตวิญญาณ
เช่นการอธิษฐานอาจจะเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายได้ด้วย
ถ้าทัศนคติของการกระทำนั้นชั่วร้าย
“คนบาป” ในความหมายของฟาริสีส่วนใหญ่แล้วเป็นประเด็นทางสังคมมากกว่าด้านอื่น
พระคัมภีร์บอกกับเราว่าคนบาปมิใช่เป็นเพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคมชุมชนเท่านั้น แต่หมายถึงคนเหล่านั้นที่มีทัศนคติ และ
การกระทำที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า
ให้เราคิดพิจารณาเกี่ยวกับคำจำกัดความของความบาปอย่างระมัดระวังมากขึ้น
จากอุปมาเรื่องบุตรผู้ล้างผลาญ หรือ
บุตรคนเล็ก
พี่ชายผู้ภาคภูมิใจได้สอนเราเกี่ยวกับเรื่องการนมัสการพระเจ้า
ลูกทั้งสองคนไม่ได้รู้สึกชื่นชมในพ่อที่เป็นอยู่ (แม้ว่าภายหลังลูกคนเล็กจะชื่นชมมากขึ้นก็ตาม) ลูกทั้งสองคนต่างมองว่าพ่อเป็นผู้ที่จะให้
“ของดี และ โอกาสที่ดี” แก่ตน
สำหรับลูกคนเล็กมองว่าพ่อคือผู้ที่สามารถให้ทรัพย์สินส่วนมรดกแก่ตน
เพื่อตนจะสามารถใช้มรดกเหล่านั้นตามใจปรารถนา ส่วนลูกคนโต
มองว่าพ่อเป็นเจ้าของฝูงแกะและวัวที่อ้วนพี และถ้าตนสามารถทำให้พ่อพอใจ พ่อก็จะให้จัดงานเลี้ยงสำหรับเขาและเพื่อนๆ
แต่ลูกทั้งสองไม่มีคนใดเลยที่เข้าใจว่าพ่อปรารถนาที่จะมีความชื่นชมยินดีในชีวิตของเขา
เราก็มีชีวิตที่สัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ต่างอะไรที่กล่าวมานี้ แนวโน้มส่วนมากเรามักจะคิดว่าพระเจ้าคือผู้ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้แก่เรา
มากกว่าที่พระองค์คือของประทานสำหรับมนุษย์เรา เราเข้าหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน มิใช่เพื่อที่จะมีสามัคคีธรรมสัมพันธภาพกับพระองค์
แต่เรากลับขอสิ่งที่เราคิดว่าพระองค์จะประทานให้แก่เราเพื่อเราจะมีความชื่นชมยินดีในชีวิต การนมัสการพระเจ้าคือการที่เราชื่นชมยินดีในพระเจ้าตามที่พระองค์ทรงเป็น แต่มิใช่เพราะว่าพระเจ้าให้อะไรกับเรา
ลูกชายคนโตไม่สามารถเห็นตัวพ่อเป็นของประทานที่เป็นพระพรยิ่งใหญ่ในชีวิตของตน ทั้งๆ ที่เขาอยู่กับพ่อตลอดเวลา ในขณะที่ลูกคนเล็กได้ละจากพ่อและครอบครัวไปหาความชื่นชมยินดีนอกบ้าน
ให้เราแสวงหาและชื่นชมยินดีในพระบิดาของเราในสวรรค์ตามที่พระองค์ทรงเป็น
ประการสุดท้าย
พระคัมภีร์ในตอนที่เราศึกษานี้ตั้งประเด็นถามเราในฐานะคริสตจักรว่า
เราต้อนรับคนบาป หรือ เราเป็นเหมือนฟาริสี
ที่บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาไม่ต้องการคบค้ากับคนบาป คนบาปเป็นพวกที่เขาไม่ต้องการ แต่ถ้าเราเข้าใจพระคุณของพระเจ้า
เราจะยินดีต้อนรับคนบาปที่เหมือนเราท่านที่เป็นคนที่มิได้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
และชีวิตประสบกับความชื่นชมยินดีเมื่อมีประสบการณ์กับพระคุณของพระเจ้าอย่างที่เราเคยมีประสบการณ์
แต่เราจะไม่นำความรอดไปถึงคนที่เราไม่ต้องการคบค้าสมาคมด้วยอย่างแน่นอน
ให้เราแสวงหาน้ำพระทัยแบบพระคริสต์ที่ให้การต้อนรับคนบาปอย่างอบอุ่น เฉกเช่นเราคนบาปที่ได้รับการต้อนรับจากพระองค์มาก่อนด้วยเช่นกัน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
เรียบเรียงจากการข้อมูลในบทความเรื่อง
Lost and Found ของ Deffinbaugh
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น