ลูกา 15:1-32
อุปมาเรื่องบุตรสองคน
(หรือที่รู้จักในชื่อเรื่อง บุตรคนเล็ก, หรือ บุตรผู้ล้างผลาญ) ลูกา 15:11-32
พระเยซูตรัสว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน
บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อ
ขอแบ่งทรัพย์สินส่วนที่ตกเป็นของลูกให้ลูกด้วย’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง ต่อมาไม่กี่วัน
บุตรคนเล็กก็รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเดินทางไปยังเมืองไกล
และผลาญทรัพย์สินของตนที่นั่นด้วยการใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย
เมื่อใช้จ่ายจนหมดสิ้นทุกอย่างแล้วก็เกิดกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขาดแคลน เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขาเลย
เมื่อเขาสำนึกตัวได้จึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของพ่อไม่ว่าจะมีมากสักแค่ไหนก็ยังมีอาหารเหลือเฟือ แต่ข้ากลับต้องมาอดตายที่นี่ ข้าน่าจะลุกขึ้นไปหาพ่อ และพูดกับท่านว่า “พ่อ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป
ขอโปรดให้ลูกอยู่ในฐานะลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด”
แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดา
แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาก็เห็นเขาและมีใจสงสารจึงวิ่งออกไปกอดคอและจูบแก้มของเขา บุตรคนนั้นจึงกล่าวกับบิดาว่า ‘พ่อ
ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย
ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’ แต่บิดาสั่งบ่าวของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้อที่ดีที่สุดออกมาสวมให้เขา เอาแหวนมาสวมที่นิ้วมือ และเอารองเท้ามาสวมให้ด้วย
และจงไปเอาลูกวัวตัวที่อ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกันเพื่อความรื่นเริง
เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ พวกเขาต่างก็มีความรื่นเริง
ส่วนบุตรคนโตนั้นอยู่ที่ทุ่งนา
เมื่อเขากลับมาใกล้จะถึงบ้าน
ก็ได้ยินเสียงดนตรีและการเต้นรำ
เขาจึงเรียกบ่าวคนหนึ่งมาถามว่า ‘นี่มันอะไรกัน’
บ่าวจึงตอบว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว
และพ่อของท่านให้ฆ่าลูกวัวตัวที่อ้วนพีเพราะท่านได้ลูกกลับมาอย่างปลอดภัย’ พี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป บิดาจึงออกมาชวนเขา แต่เขาบอกบิดาว่า ‘พ่อดูซิ ลูกรับใช้พ่อมากี่ปีแล้ว และไม่เคยละเมิดคำบัญชาของพ่อสักข้อหนึ่ง
แต่พ่อก็ไม่เคยให้แม้แต่ลูกแพะสักตัวหนึ่งแก่ลูก เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนฝูง
แต่กับลูกคนนี้ของพ่อซึ่งผลาญสมบัติของพ่อด้วยการคบกับพวกหญิงโสเภณี พ่อกลับฆ่าลูกวัวอ้วนพีเพื่อเลี้ยงมัน’
บิดาจึงตอบว่า ‘ลูกเอ๋ยลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา
สิ่งของทั้งหมดของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว
แต่นี่เป็นเรื่องสมควรที่เราจะชื่นชมยินดีและรื่นเริง เพราะน้องคนนี้ของลูกตายไปแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ยังได้พบกันอีก” (ฉบับมาตรฐาน)
สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจว่า อุปมาเรื่องบุตรคนเล็กนี้มิใช่คำสอนสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกหนีออกจากบ้าน
อุปมาเรื่องนี้ของพระเยซูเล่าเพื่อที่จะตอบต่อเสียงบ่นและตำหนิของพวกฟาริสีที่ต่อว่าพระองค์ที่ต้อนรับคนบาปที่กลับใจด้วยความชื่นชมยินดี
ถ้าอุปมาสองเรื่องแรกเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่พวกฟาริสีสนใจอย่างมากเกี่ยวกับ
“ทรัพย์สินสมบัติที่สูญหายไป”
อุปมาเรื่องที่สามนี้ก็เป็นการเปิดเผยให้เห็นชัดว่าทำไมพวกฟาริสีถึงมิได้สนใจและเอาใจใส่เกี่ยวกับชีวิตคน ในอุปมาเรื่องที่สามนี้
เป็นการตอบที่ทรงพลังของพระเยซูคริสต์ต่อคำตำหนิของฟาริสีที่พระองค์คบค้าสัมพันธ์กับคนบาป
ในอุปมาเรื่องที่สามนี้มีบุคคลสำคัญมิใช่เพียงคนเดียว
แต่มีสามคนด้วยกัน บุตรคนเล็ก พ่อ
และบุตรคนโต เพื่อเราจะเข้าใจและตีความอุปมานี้อย่างถูกต้อง จะขอเจาะลึกลงแต่ละบุคคล
แต่เราจะไม่ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของเราเข้าไปตีความอุปมาในเรื่องนี้ สำหรับเราเมื่ออ่านอุปมาเรื่องนี้เราอาจจะรู้สึกถึงจิตใจเมตตาของผู้เป็นพ่อ
แต่รู้สึกไม่สบายใจกับลูกคนโตที่โกรธจนไม่ยอมเข้าบ้าน
แต่เราต้องคิดถึงบริบทตามเหตุการณ์ที่พระเยซูเล่าอุปมาเรื่องนี้ เพราะสำหรับฟาริสีแล้ว เมื่อได้ยินเรื่องอุปมานี้ รู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่งที่พระเยซูมาลูบคมทำให้พวกเขาได้รับความอาย
เขารู้และเข้าใจอย่างดีว่าสิ่งที่พระเยซูกำลังพูดนั้นหมายถึงอะไร ดังนั้น
ให้เราศึกษาโดยมุ่งย้ำสนใจลงใน 3
บุคคลที่สำคัญในท้องเรื่องอุปมานี้
ลูกคนเล็ก
วันหนึ่งลูกคนเล็กเข้าไปหาพ่อ
และขอทรัพย์สมบัติในส่วนที่เป็นของตน
ซึ่งเป็นการขอสมบัติก่อนเวลาอันควรตามวัฒนธรรมในตอนนั้น ถึงแม้จะไม่เป็นประเด็นในอุปมานี้ก็ตาม
การที่จะรับสมบัติตามพินัยกรรมก็ต่อเมื่อผู้ทำพินัยกรรมได้เสียชีวิตแล้ว
(ฮีบรู 9:16)
บุตรหัวปีจะได้รับสองในสามส่วนของทรัพย์สมบัติทั้งหมด (เฉลยธรรมบัญญัติ 21:17)
เจ้าของทรัพย์สมบัติอาจจะแบ่งสมบัติก่อนที่ตนจะเสียชีวิต
แต่ผู้รับมรดกยังไม่สามารถนำทรัพย์สินส่วนมรดกไปเป็นของตนเอง
ยกเว้นดอกเบี้ยหรือรายได้จากมรดก
คนที่ได้รับมรดกอาจจะขายมรดกดังกล่าวก่อนได้
แต่ผู้ซื้อมรดกยังไม่สามารถนำทรัพย์สินออกไปก่อนเจ้าของมรดกจะตาย
ผู้เป็นพ่อในอุปมาได้แบ่งส่วนมรดกให้กับลูกคนเล็กตามที่ขอ และในเวลาไม่นานจากนั้นลูกคนเล็กได้ไปจากพ่อเดินทางไปยังเมืองไกล
ที่นั่นเขาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยผลาญทรัพย์สมบัติที่ได้จนหมด พอดีเกิดการกันดารอาหาร ลูกคนเล็กตกอับ
เขาขายตนเองให้เป็นทาส เขาต้องทำงานที่ตนไม่ชอบและตกต่ำที่สุดด้วยการเป็นคนเลี้ยงหมู
และเขาเห็นว่าหมูยังได้รับอาหารที่ดีกว่าตน ในความทุกข์ยากนั้นเองทำให้ลูกคนเล็กคิดได้ว่า
แม้แต่ทาสในบ้านของพ่อยังมีชีวิตที่ดีกว่านี้หลายเท่า
เขาคิดว่าเขาจำเป็นที่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อ เขาจึงฝึกซ้อมคำพูดสารภาพผิดของเขา
ลูกคนเล็กรู้เท่าทันถึงความงี่เง่าของตนเอง และเดินทางกลับบ้านไปเผชิญหน้ากับพ่อ
เขาคาดหวังเพียงขอพ่อยอมรับเขาเป็นทาสคนหนึ่งในบ้าน แต่พ่อต้อนรับเขาในฐานะลูก เขาคาดหวังว่าจะได้ขนมปังเพื่อประทังชีวิต แต่พ่อของเขาจัดเลี้ยงใหญ่
ลูกคนเล็กไม่ได้รับทรัพย์สมบัติที่สูญเสียไปกลับคืนมา
แต่เขากลับได้รับความชื่นชมยินดีและสิทธิการเป็นลูกของพ่อกลับคืนมา
ในที่นี้ขอเน้นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับลูกคนเล็ก
ประการแรก
ไม่มีความพยายามที่จะขอลดหย่อนความผิดบาปจากการคิด ตัดสินใจ และการกระทำที่ผิดอย่างรุนแรงและโฉดเขลา
พระเยซูต้อนรับคนบาปและร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา
แต่พระองค์ไม่เคยทำให้ความบาปที่คนบาปกระทำให้เบาลง เป็นความหนักหนาสาหัสในความบาปของลูกคนเล็กที่ได้กระทำในฐานะคนอิสราเอลคนหนึ่ง
แทนที่ลูกคนเล็กในฐานะที่เขาเป็นคนอิสราเอล เขาจะได้รับพระพรจากพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อประชากรที่ทรงเลือกสรรของพระองค์
พระเจ้าทรงอวยพระพรในแผ่นดินแห่งพระสัญญา
ลูกคนเล็กออกจากแผ่นดินพระสัญญาไปยังเมืองไกล
พระเจ้าทรงอวยพระพรประชากรที่เชื่อฟังและกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ ในที่นี้รวมถึงการมีชีวิตที่บริสุทธิ์ มีชีวิตที่แยกออกเฉพาะจากคนต่างชาติ
แต่ลูกคนเล็กกลับออกจากแผ่นดินพระสัญญาไปอยู่ในแผ่นดินของคนต่างชาติ และมีชีวิตท่ามกลางคนนอกศาสนา
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมมีบทบัญญัติที่จะให้ทรัพย์สมบัติของแต่ละครอบครัวถูกเก็บรักษาไว้ในครอบครัวนั้นๆ และเพื่อให้ลูกๆ ดูแลพ่อแม่ของตนเอง แต่ลูกคนเล็กทิ้งครอบครัวของตน แล้วสูญเสียส่วนมรดกของตน
สำหรับอิสราเอลแล้วไม่มีชีวิตใดที่ตกต่ำไปกว่าการที่ต้องตกเป็นทาสของคนต่างชาติ
ยิ่งกว่านั้นไม่มีงานใดต่ำสกปรกเท่ากับที่ต้องเป็นคนเลี้ยงหมู ลูกคนเล็กได้กระทำในสิ่งที่เลวทรามบาปหนาและโง่เขลา
ผู้ฟังของพระเยซูเมื่อได้ฟังเรื่องนี้คงเกิดความขยะแขยง และ
ตกใจในสิ่งที่ลูกคนเล็กทำ
พวกฟาริสีฟังด้วยดวงตาโต หน้าแดง และรู้สึกโกรธในความบาปผิดที่ลูกคนเล็กได้กระทำ
พระเยซูคริสต์มิได้ลดหย่อนความบาปผิดที่ลูกคนเล็กได้กระทำลงไปแม้แต่น้อย
ถ้าความบาปผิดของลูกคนเล็กมีอย่างหนักหนาสาหัส การกลับใจสารภาพของเขาก็จริงใจสุดๆ
ประการที่สอง
ท่าทีการยอมรับผิดและการกลับใจของลูกคนเล็ก
การที่ลูกคนเล็กได้กระทำผิดอย่างมหันต์ตามที่กล่าวข้างต้น สิ่งที่ทำให้เขาสำนึกถึงความบาปผิดที่เขาได้กระทำลงไปก็ต่อเมื่อชีวิตของลูกคนเล็กต้องตกอับ หมดเงิน
หมดเพื่อน
เมื่อเขาต้องเผชิญกับความหิวโหย
ความทุกข์ยากลำบากในชีวิต ทำให้เขา
“สำนึกได้” “คิดขึ้นได้”
การกลับใจเกิดขึ้นได้เมื่อเขาสามารถมองเห็นและรู้เท่าทันความจริงในชีวิต และมองเห็นการกระทำของตนเองนั้นผิดบาปอย่างมาก
ประการแรกเป็นการกระทำผิดในสายพระเนตรของพระเจ้า และเป็นการกระทำผิดต่อมนุษย์ ดังนั้น
คำกล่าวสารภาพของลูกคนเล็กที่มีต่อพ่อที่ว่า “ลูกได้ทำผิดต่อสวรรค์ และ
ต่อพ่อด้วย” การสารภาพผิดของลูกคนเล็กได้นำตัวเขาเข้าไปใกล้พ่อผู้ที่เขาได้ทำให้เกิดความเสียใจ
และพ่อผู้ที่ยอมรับความรู้สึกผิดของเขาและความเสียใจของเขาที่ได้กระทำผิดลงไป
จิตวิญญาณแห่งการยอมรับผิดเป็นการสะท้อนออกถึงส่วนลึกแห่งความสำนึกถึงความไร้ค่าของตนเอง
ลูกคนเล็กมิได้อ้างสิทธิหรือเรียกร้องสิทธิใดๆ เขาหวังเพียงจะได้รับความเมตตากรุณา เขาไม่ได้เรียกร้องใดๆ
การยอมรับผิดของลูกได้สัมผัสจิตใจของผู้เป็นพ่อ และก่อให้เกิดการคืนดีและความชื่นชมยินดี
พ่อ
เมื่ออุปมาสองเรื่องแรกพูดถึงเจ้าของแกะและแม่บ้าน
เป็นการบ่งชี้ถึงพวกฟาริสีที่สนใจเรื่องทรัพย์สินเงินทอง เมื่อพูดถึงพ่อที่เปี่ยมด้วยความรักในอุปมาเรื่องนี้เป็นการพรรณนาถึงความรักของพระบิดาในสวรรค์ พระองค์ทรงรอคอยการกลับมาของคนบาป พ่อผู้เต็มใจที่จะให้อภัย และชื่นชมยินในการกลับมาของคนบาปที่เคยเอาแต่ใจตนเอง พ่อคนนี้ยอมให้สิ่งที่ลูกขอ
ยอมให้ลูกเดินไปในทางที่ตนเองตัดสินใจเลือก ทั้งๆ ที่พ่อมีทางที่จะป้องกันได้
(อย่างน้อยที่สุดผู้เป็นพ่อสามารถที่จะปฏิเสธที่จะให้ทรัพย์สินเงินทองแก่ลูกในการที่จะเดินทางไปเมืองไกล)
จิตใจของผู้เป็นพ่อไม่เคยที่จะลืมลูกที่ดื้อดั้นและเอาแต่ใจตนเอง “เมื่อลูกอยู่แต่ไกลพ่อก็เห็นเขา” (ข้อ 20) นั่นมิใช่เหตุบังเอิญ
ผู้เป็นพ่อวิ่งไปหาลูก
พ่อมิได้นั่งรอให้ลูกคลานเข้ามากราบกราน
ลูกสารภาพยังไม่จบผู้เป็นพ่อได้คืนสถานภาพความเป็นลูกให้กับเขา
เมื่อลูกคนโตปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในงานเฉลิมฉลอง
ผู้เป็นพ่อออกไปหาลูกคนโตและขอร้องเขาให้เข้ามาร่วมในงานเลี้ยง และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเฉลิมฉลองครั้งนี้
ผู้เป็นพ่อมีความเมตตากรุณาต่อลูกคนโตเฉกเช่นที่เมตตากรุณาต่อลูกคนเล็ก พ่อคนนี้มีความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่เหมือนกับความรักของพระบิดาในสวรรค์
ลูกคนโต
เราท่านรู้ว่า
ลูกคนโตนี้หมายถึงฟาริสีและธรรมมาจารย์ที่บ่นว่าพระเยซูต้อนรับคนบาป น่าสังเกตว่าขณะที่ลูกคนเล็กกลับมาบ้าน
ลูกคนโตออกไปทำงานในทุ่งนา
ส่วนผู้เป็นพ่อรอคอยการกลับมาของลูกคนเล็ก ลูกคนโตจึงไม่รู้ว่าน้องของตนกลับมาบ้านแล้ว
จนกระทั่งมาได้มียินเสียงดนตรีเฉลิมฉลองจากที่บ้าน เขารู้จากทาสในบ้านว่าน้องชายกลับบ้าน พ่อรับเขาเข้าบ้านและจัดงานเลี้ยงให้ การได้ยินว่าพ่อให้ทาสฆ่าวัวที่อ้วนพีเพื่อเลี้ยงฉลองเป็นเหมือน
“ฟางเส้นสุดท้าย” ของลูกคนโต เขาโกรธจัดและปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในงานเฉลิมฉลอง ทั้งๆ ที่ผู้เป็นพ่อเป็นคนที่จัดงานเลี้ยงนี้
เมื่อพ่อออกมาหาลูกคนโต
เพื่อขอร้องให้เขาเข้าไปร่วมในงานเลี้ยง ลูกคนโตปฏิเสธ
คำปฏิเสธของลูกคนโตทำให้เราเข้าใจถึงทัศนคติและความปรารถนาในใจของเขา ให้เราสนใจในสิ่งที่ลูกคนโตพูดกับพ่อของเขา
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นคือที่มาของปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกด้วยความโกรธและต่อต้าน
1. ฉันทำงานหนักแต่พ่อไม่เคยจัดงานเลี้ยงให้
ผู้เป็นพี่กำลังทำงานในทุ่งนาขณะที่น้องชายกลับบ้าน
ลูกคนโตมีความเข้าใจว่าถ้าจะเป็นที่พอใจและเป็นที่ชื่นชอบของพ่อคือการที่เขาทำงานหนัก แต่คำตอบของผู้เป็นพ่อกลับตรงกันข้าม ในฐานะที่เขาเป็นลูกคนโต
ทรัพย์สินสมบัติทั้งสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของเขา
เขาไม่จำเป็นที่จะทำงานเพื่อที่จะชนะใจของพ่อ หรือ ได้พรจากพ่อ
สิ่งที่จำเป็นเพียงสิ่งเดียวคือการเป็นลูกของพ่อ และนี่แสดงถึงความผิดพลาดของพวกฟาริสีที่
“ทำงานหนัก” ด้วยการรักษากฎบัญญัติต่างๆ
ตามที่เขาเข้าใจเองว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้ตนเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าและได้รับพระพรจากพระองค์
2. ลูกคนนี้ของพ่อที่กระทำบาป
แต่ท่านกลับฆ่าวัวอ้วนพีจัดงานเลี้ยงให้ นี่คือสาเหตุแรกที่ทำให้ลูกคนโตต่อต้านพ่อ
เพราะลูกคนโตคาดหวังว่าเขาควรได้รับรางวัลจากพ่อในเมื่อเขาทำงานหนัก
ส่วนน้องชายได้สูญเสียทุกสิ่งเพราะการทำบาปของเขา แต่ลูกคนโตมิได้เข้าใจว่า
ที่พ่อจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองให้ลูกคนเล็กนั้นมิใช่เพราะเขาทำบาปพ่อจึงจัดงานเลี้ยงให้ แต่เพราะเขาสารภาพ กลับใจ และ
กลับมาหาพ่อต่างหากที่พ่อทำเช่นนั้น
นอกจากการที่พี่ชายไม่เข้าใจถึง “พระคุณ”
ของพ่อแล้วยังขุ่นเคืองใจที่พ่อเป็นผู้ที่มีพระคุณเสียอีก
3. ลูกไม่เคยละเมิดคำบัญชาของพ่อสักข้อ
มิเพียงแต่ลูกคนโตคิดว่าตนได้ทำงานหนักที่พ่อควรจะต้องแสดงออกถึงการยอมรับและยกย่องให้เห็นคุณค่า(หรือตอบแทนในการกระทำดีของเขา) ยิ่งกว่านั้น เขายโส อวดตัว
ถือดีว่าตนไม่เคยกระทำบาป
เขาจะพูดได้อย่างไรว่าเขาไม่เคยขัดคำสั่งของพ่อเลย เพราะไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้พ่อเป็นคนสั่งให้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง แต่ลูกคนโตเพิ่งปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในงานเลี้ยงนั้นหยกๆ? นี่มิใช่การขัดขืน ละเมิด
หรือไม่เชื่อฟังหรือ?
พวกฟาริสีก็คิดเช่นเดียวกับลูกคนโตว่าตนเป็นผู้ที่ผู้รักษาคำบัญชาของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ปัญหา หรือ จุดผิดพลาดของลูกคนโตคือ
การคิดว่าตนเป็นคนถูกต้องชอบธรรมเหนือคนอื่น
การสำคัญตนผิดและคิดว่าตนชอบธรรมเหนือผู้อื่นทำให้เขาเรียกร้องการยอมรับจากพระเจ้า
และ คิดว่าพระเจ้าต้องอวยพระพรพวกเขาที่ทำตามพระบัญญัติอย่างครบถ้วน
เพราะการสำคัญตนผิดคิดว่าตนเป็นคนชอบธรรมนี้เองทำให้เขาขุ่นเคืองและไม่พอใจ
“พระคุณ” ของพระเจ้าและปฏิเสธที่จะร่วมในการเฉลิมฉลองในงานที่ชื่นชมยินดีของพ่อ ลูกคนโตมองไม่เห็นว่าตนเป็นคนบาป ดังนั้น
เขาจึงไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงความรอดที่พระเจ้าทรงประทานแก่คนบาปทั้งหลายที่กลับใจอย่างจริงใจ เมื่อลูกคนโตไม่คิดว่าตนต้องการการกลับใจใหม่และความรอด และในเวลาเดียวกันก็ไม่พอใจและต่อต้านที่คนอื่นที่จะกลับใจใหม่และรับความรอด ดังนั้น
เขาจึงไม่ยอมและไม่สามารถเข้าร่วมในการเฉลิมฉลองด้วยความชื่นชมยินดี
คำกล่าวของพ่อที่มีต่อลูกคนโตมีความสำคัญอย่างยิ่ง
พ่อได้ย้ำเตือนให้ลูกคนโตระลึกถึงพระพรที่เขาได้รับเมื่ออยู่ในบ้าน
พ่อให้ลูกคนโตระลึกถึงสัมพันธภาพระหว่างเขากับพ่อในช่วงเวลาที่ลูกคนเล็กใช้ชีวิตกับคนต่างแดนและตกต่ำจนต้องเลี้ยงหมู พ่อกล่าวกับลูกคนโตว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา...(ข้อ 32
ก) แต่สิ่งนี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกคนโต เขาต้องการอยู่กับเพื่อนด้วย (ข้อ 29) ประโยคที่สองของพ่อที่เตือนความจำของลูกคนโตคือ “...สิ่งของทั้งหมดของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว”
(ข้อ 32 ข)
และประการนี้ด้วยที่ดูเหมือนไม่เป็นที่พอใจและเพียงพอสำหรับลูกคนโต
ประเด็นแตกต่างระหว่างลูกสองคน
ทั้งสองมีประเด็นความแตกต่างบางประการดังนี้
1. ลูกคนเล็กออกไปจากบ้าน ลูกคนโตอยู่บ้าน
2. ลูกคนเล็กล้างผลาญสมบัติ ลูกคนโตทำงาน(เกิดผล)
3. ลูกคนเล็กสูญเสียสมบัติส่วนที่เป็นของเขาทั้งหมด แต่ลูกคนโตมิได้สูญเสีย
4. ลูกคนเล็กรู้สึกว่าตนไม่สมควรที่จะได้รับพระพรจากพ่อ แต่ลูกคนโตคิดว่าตนต้องได้รับ
5. ลูกคนเล็กสำนึกในความบาปผิดของตน ลูกคนโตรู้สึกว่าตนเป็นคนชอบธรรม
6. ลูกคนเล็กกลับใจใหม่ ลูกคนโตขุ่นเคือง ไม่พอใจ
ประเด็นที่คล้ายกันในลูกทั้งสอง
ที่ผ่านมาผมมักคิดแต่สิ่งที่แตกต่างกันในลูกทั้งสองคน
แต่จากการศึกษาพระธรรมตอนนี้ทำให้ผมเห็นสิ่งที่คล้ายและเหมือนกันหลายประการในลูกทั้งสองคน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสังเกตดังนี้
1. ลูกทั้งสองคนต้องการงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง
ลูกคนเล็กออกไปเลี้ยงฉลองกับคนในต่างแดน
ส่วนลูกคนโตต่อว่าพ่อที่ไม่เคยจัดงานเลี้ยงให้แก่ตนเลย
2. ลูกทั้งสองคนต้องการงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ไม่ต้องมีพ่ออยู่ด้วย ลูกคนเล็กจัดงานเลี้ยงฉลองในต่างแดนร่วมกับเพื่อนที่ไม่เหมาะสม
ส่วนลูกคนโตปฏิเสธที่จะร่วมในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกับพ่อ(และน้องของตน)
แต่เขาได้แสดงออกถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ต้องการมีงานเลี้ยงฉลองกับเพื่อนของเขา
3. ลูกทั้งสองต่างรู้สึกว่า
การเลี้ยงฉลองที่จะมีความชื่นชมยินดีอย่างเต็มที่ไม่สามารถที่จะมีพ่ออยู่ด้วย ลูกคนเล็กทิ้งพ่อ
ทิ้งครอบครัว ทิ้งถิ่นที่บ้านเกิดของตนเพื่อที่จะมีโอกาสมีความสุข ยินดี
กับเพื่อนฝูงที่อยู่นอกกรอบความเชื่อศรัทธาและกติกาในครอบครัวของตน ลูกคนเล็ก(และคนโตด้วย)รู้สึกว่า
การที่จะฉลองอย่างมีความสุขสุดๆ ไม่สมควรมีพ่ออยู่ด้วย ดังนั้น
เขาจึงต้องการที่จะเลี้ยงฉลองกับเพื่อนของเขาเท่านั้น
มิใช่กับพ่อของตน
เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตนกับพ่อเป็นความสัมพันธ์แบบคนใช้กับนายงาน แต่มิใช่ความสัมพันธ์แบบชื่นชมยินดี “วัวอ้วนพี”
ในที่นี้น่าจะเป็นสัญลักษณ์ถึงการฉลองด้วยความยินดี คำพูดของพ่อที่มีต่อลูกคนโตกำลังบอกว่า
“วัวอ้วนพี” (การเลี้ยงฉลองด้วยความชื่นชมยินดี) เกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่ลูกคนโตมิได้คิดเช่นนั้น พวกฟาริสีก็มิได้คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
ดั่งเช่นการที่พวกเขาต่อต้านพระเยซูที่เข้าไปร่วมในงานเลี้ยง (ดู ลูกา 5:25… ทำไมพวกท่านมากินดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาป)
4. ดูเหมือนว่าลูกทั้งสองต่างมิได้ชื่นชมและรักพ่อของตน แต่พ่อรักเขาทั้งสอง
ลูกคนเล็กรู้สึกว่าอยู่กับพ่อแล้วไม่มีความสุขเลยตัดสินใจออกจากบ้านไปยังแดนไกล ส่วนลูกคนโตมิได้ไปจากผู้เป็นพ่อ แต่ก็ไม่มีความสุขในการอยู่กับพ่อเช่นกัน พ่อได้ตอบคำบ่นว่าต่อต้านของลูกคนโตว่า “ลูกเอ๋ยลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา” ลูกคนโตคงสวนกลับพ่อในใจว่า “แล้วทำไม”
“มีอะไรดีหรือ?”
5. ลูกทั้งสองมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นทาส
ลูกคนเล็กในช่วงแรกตกเป็นทาสของวัตถุสิ่งของทรัพย์สมบัติ (ความบาป) แล้วก็ตัดสินใจยอมเป็นทาสเมื่อหมดทรัพย์สิน เขาตัดสินใจกลับบ้านมาหาพ่อ แล้วขอพ่อเพียงยอมรับให้เขาเป็นทาสในบ้าน แต่ไม่กล้าที่จะฝันกลับมาเป็นลูกของพ่ออีกครั้งหนึ่ง
ส่วนลูกคนโตมีจิตวิญญาณของความเป็นทาสอย่างชัดเจน ลองพิจารณาคำกล่าวของเขาที่มีต่อพ่อว่า...
“พ่อดูซิ ลูกรับใช้พ่อมากี่ปีแล้ว และไม่เคยละเมิดคำบัญชาของพ่อสักข้อหนึ่ง...”(15:29)
เพราะลูกคนโตคิดว่างานที่เขาทำเป็นการทำให้แก่พ่อ เพื่อพ่อจะยอมรับและให้สิ่งตอบแทนแก่ตน
ลูกคนโตมีจิตวิญญาณของความเป็นทาสไม่น้อยกว่าลูกคนเล็ก
6. ลูกทั้งสองต่างตกอยู่ในกรอบคิดแบบวัตถุนิยม ลูกคนเล็กหลงรักหลงชอบวัตถุทรัพย์สมบัติ
สิ่งของ เงินทอง
มากกว่าที่จะรักพ่อและครอบครัวของเขา
ลูกคนเล็กต้องการใช้มรดกส่วนของตนด้วยตนเอง
ลูกคนโตก็ตกใต้อิทธิพลวัตถุนิยมไม่ต่างจากน้องเลย
ลูกคนโตรู้สึกโกรธน้องของตนและไม่ต้องการหรือเต็มใจยอมรับน้องกลับเข้ามาในบ้าน
ทั้งนี้เพราะน้องได้ทำลายล้างผลาญทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของพ่อ
ถ้าลูกคนเล็กต้องการใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือย ลูกคนโตก็ต้องการที่จะเก็บเงินทองสมบัติไว้เพื่อ(ทำให้รูสึกดูเหมือน)ความมั่นคงของชีวิต ลูกทั้งสองต่างรักเงินทองทรัพย์สมบัติ สิ่งเดียวที่แตกต่างคือ
เขาจะทำอย่างไรกับทรัพย์สินเงินทองและสมบัติที่มี
และจะทำเมื่อใดเท่านั้น
7. ลูกทั้งสองคนต่างเป็นคนบาป ในตอนต้นของพระธรรมบทนี้(ลูกา บทที่ 15)
พวกฟาริสีจะมองคนอื่นว่าเป็นคนบาป และมองว่าตนเองเป็นคนชอบธรรม แต่ในตอนท้ายของอุปมาเรื่องที่สามนี้แสดงและชี้ชัดว่าความคิดของฟาริสีผิด
ดูภายนอกแล้วความบาปของลูกสองคนนี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก
แต่รากแห่งความบาปที่หยั่งลงลึกในชีวิตนั้นมาจากรากแห่งความบาปรากเดียวกัน
เราจะพบว่า
โดยทั่วไปแล้วเราจะมองความบาป (และคนบาป) จากมาตรฐานภายนอกเท่านั้น แต่สำหรับพระคริสต์แล้วพระองค์มองลึกลงในความคิดและจิตใจของคน เรามักด่วนรีบฟันธงลงไปว่า การขโมย
การฆาตกรรม การข่มขืน
และการกระทำความรุนแรงต่างๆ เป็นการกระทำที่ผิดบาป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการกระทำผิดต่อตัวเรา
แต่พระเยซูคริสต์ได้แสดงให้เราเห็นในพระกิตติคุณของพระองค์ว่า
การอธิษฐาน การสอน และ การเทศนา
สามารถที่เป็นการกระทำความผิดบาปได้ด้วยเช่นกัน ถ้าการกระทำเหล่านั้นถูกกระตุ้นให้มีเจตนากระทำในสิ่งที่ผิด เราเห็นได้จากคำบ่นต่อว่าของพี่คนโตว่า
ตนทำงานหนัก
และยังต้องทำตามคำบัญชาของพ่อ
เราไม่สามารถมองเห็นวิญญาณกบฏ หรือ การขัดขืนที่ลูกคนโตมีต่อพ่อ เราไม่พบเลย
นอกจากมาจนถึงเหตุการณ์งานเลี้ยงที่พ่อจัดให้น้องเท่านั้น แต่ทัศนคติและสิ่งกระตุ้นภายในของพี่ชายคนโตนั้นเป็นสิ่งที่ชั่ว
และเป็นสิ่งที่ชั่วรุนแรงเพราะมาจากแรงขับภายในที่เห็นแก่ตัวที่ปกปิดซ่อนไว้ แต่ภายนอกทำเหมือนว่าตนทำตามที่พ่อประสงค์และทำงานหนัก
ในตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนสุดท้าย
จะเป็นการรวบรวมเอาบทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากอุปมาทั้งสามเรื่องของพระเยซูคริสต์ที่มิใช่บทเรียนสำหรับฟาริสีเท่านั้นแต่เป็นบทเรียนชีวิตคริสตชนสำหรับเราด้วย
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
เรียบเรียงจากการข้อมูลในบทความเรื่อง
Lost and Found ของ Deffinbaugh
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น