ลูกา 15:1-32
อุปมาเรื่องแกะหาย (ลูกา 15:3-7)
พระเยซูจึงตรัสอุปมาต่อไปนี้ให้พวกเขาฟังว่า
“ใครในพวกท่านที่มีแกะร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงหายไป
จะไม่ทิ้งเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้าแล้วออกไปตามหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะพบหรือ? และเมื่อพบแล้ว
เขาจะยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความชื่นชมยินดี
เมื่อมาถึงบ้านเขาก็เชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกันและพูดกับพวกเขาว่า ‘มาร่วมยินดีกับข้า เพราะข้าพบแกะของข้าที่หายไปนั้นแล้ว’
เราบอกท่านทั้งหลายว่า
ในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่มากกว่าเรื่องคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจ”
(ฉบับมาตรฐาน)
พระเยซูได้เริ่มต้นการวิพากษ์ของพระองค์โดย
มุ่งชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์คิดพระองค์ทำนั้นเกี่ยวข้องกับการหลงหาย โดยอุปมาว่ามีคนหนึ่งมีฝูงแกะร้อยตัว
แล้วมีตัวหนึ่งหลงหายไป
เจ้าของจะไม่ละแกะ 99
ตัวเพื่อออกตามหาแกะตัวที่หลงหายหรือ?
เมื่อตามหาแกะที่หายอย่างจริงจัง
เมื่อพบแล้วเขาจะไม่ชื่นชมยินดีหรือ?
แล้วเขาจะไม่เอาแกะตัวนั้นใส่บ่าแบกกลับบ้านด้วยความทะนุถนอมหรือ? หรือเขาจะทำโทษแกะตัวนั้น บ่นด่าที่แหกคอกจนหลงหายหรือไม่? แล้วเขาจะไม่บอกข่าวดีนี้แก่เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านถึงความสำเร็จในการตามหาแกะตัวนั้น
และให้ร่วมกันเฉลิมฉลองที่ได้พบแกะที่หลงหายตัวนั้นหรือ?
แน่นอนว่าพวกฟาริสีและธรรมมาจารย์เห็นด้วยกับการตามหาแกะที่หลงหายจนพบอย่างเรื่องที่พระเยซูเล่า แต่พระเยซูคริสต์หักมุมอุปมาที่เล่านี้
โดยเพิ่มเติมต่อจากเรื่องเล่าว่า
ทำนองเดียวกัน
ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีมากกว่านั้นเสียอีกที่คนบาปคนหนึ่งได้กลับใจมาหาพระเจ้า
และสวรรค์ก็ชื่นชมยินดีต่อคนบาปที่กลับใจมากกว่า “คนที่คิดว่าตนชอบธรรม” 99 คน ที่ไม่ยอมกลับใจ
เมื่ออ่านอุปมาเรื่องนี้ทีไร ผมมีคำถามที่ค้างคาใจทุกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าถามตรง มันเป็นการฉลาดหรือไม่ หรือ
คุ้มค่าแค่ไหนที่ปล่อยให้แกะ 99
ตัวต้องเสี่ยงภัยกลางที่โล่งกว้าง
แล้วออกไปตามหาแกะเพียงตัวเดียวที่หลงหาย? แกะตัวนั้นอาจจะตายไปแล้วใครจะไปรู้?
หรือต่อให้ออกไปตามหาอย่างไรก็คงไม่สามารถพบแล้ว?
แต่เมื่อหาแกะหลงหายตัวนั้นพบแล้ว
กลับมาบ้านจัดเลี้ยงเฉลิมฉลองกับเพื่อนบ้าน
แล้วค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงฉลองนั้นจะหมดไปมากไหม?
แค่ได้แกะกลับมาหนึ่งตัวแล้วจัดงานเลี้ยงฉลองกับเพื่อนบ้าน แล้วจะฆ่าแกะกี่ตัวและแพะกี่ตัวในการเลี้ยงนั้น? มันคุ้มค่าหรือไม่ที่ทำอย่างงี้? คำถามข้างต้นท้าทายความคิดของเรา ถึงแม้จะมีคนบอกว่าอุปมานี้มิได้หมายความตามตัวอักษร แต่มีนัยอยู่เบื้องหลังก็ตาม ให้เราตั้งคำถามนี้ไว้เพื่อจะพิจารณาในตอนต่อๆ
ไป
อุปมาเรื่องเหรียญหาย (ลูกา 15:8-10)
หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญและเหรียญหนึ่งหายไป
จะไม่จุดตะเกียงกวาดบ้านค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ?
เมื่อพบแล้วนางจะเชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน แล้วพูดกับพวกเขาว่า ‘มาร่วมยินดีกับฉัน เพราะฉันพบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว’ ในทำนองเดียวกัน
เราบอกท่านทั้งหลายว่า
จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่” (ฉบับมาตรฐาน)
เหมือนกับเจ้าของฝูงแกะที่แกะหายไปหนึ่งตัวแล้วออกติดตาม แม่บ้านคนนี้ก็เช่นกัน เธอมีเหรียญเงินอยู่สิบเหรียญแต่หายไปหนึ่งเหรียญ
นั่นหมายความว่าเงินสำหรับค่าครองชีพของเธอได้สูญหายไปเท่ากับค่าแรงงานหนึ่งวัน
แน่นอนครับเธอจะต้องค้นหาให้พบว่าเหรียญเงินเหรียญนั้นไปตกอยู่ในซอกในมุมไหนของบ้าน
เธอค้นหาอย่างพลิกพื้นคว่ำบ้านอย่างแน่นอน เธอจุดตะเกียงเพื่อส่องดูว่า เหรียญเงินเหรียญนั้นตกอยู่มุมมืดนั้นหรือไม่ เธอจะกวาดพื้นและซอกมุมต่างๆ ดูว่ามันตกอยู่ในนั้นหรือเปล่า เธอจะไม่หยุดการค้นหาจนกว่าจะพบเหรียญนั้น
เมื่อเธอพบเหรียญเงินเหรียญนั้น เธอชื่นชมยินดีอย่างมาก
เธอจะบอกเพื่อนและเพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่า ผู้ฟังเรื่องอุปมานี้ที่พระเยซูเล่า ต่างก็คงจะแสดงท่าผงกศีรษะเห็นด้วย
เพราะถ้าเป็นพวกเขาๆก็จะทำอย่างหญิงในคำอุปมานั้นเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจ
ในสวรรค์ก็จะมีความชื่นชมยินดีด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้กล่าวถึงพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้ามีความชื่นชมยินดีเมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจ
เพราะทูตสวรรค์อยู่ในโลกนี้เพื่อดูความเป็นไปของโลก
และทูตสวรรค์รู้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้าคือการทรงช่วยมนุษย์ให้รอดโดยทางพระโลหิตของพระบุตร ดังนั้น เมื่อมีคนบาปกลับใจแม้แต่คนเดียว พวกทูตสวรรค์จึงชื่นชมยินดีเพราะเกิดความสำเร็จตามพระประสงค์
(1เปโตร 1:12;
1โครินธ์ 11:10)
การที่สวรรค์มีความชื่นชมยินดีเมื่อมีคนบาปกลับใจเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง
ในแง่หนึ่งก็เป็นเหมือนความชื่นชมยินดีของหญิงที่พบเหรียญที่หายไป
แต่เมื่อมาพิจารณาถึงความชื่นชมยินดีของหญิงที่พบเหรียญที่หายไปนั้น
เป็นความชื่นชมยินดีที่สมเหตุสมผลหรือไม่?
โดยทั่วไปเธอหาเหรียญที่หายไม่คอยพบหรือ?
ครั้งนี้เธอถึงชื่นชมยินดีถึงขนาดนี้?
การที่พบเหรียญเงินเพียงเหรียญเดียวแล้วไปบอกและชวนเพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเป็นการตื่นเต้นเกินเหตุไหม? เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านหรือเปล่า?
ทั้งเรื่องการกลับมาพบแกะและเหรียญที่หายแล้วเจ้าของแสดงความชื่นชมยินดี เป็นการแสดงความชื่นชมยินดีเกินพอดีหรือไม่?
ข้อสังเกตเกี่ยวกับอุปมาสองเรื่องแรก
อุปมาสองเรื่องแรกนี้เป็นอุปมาคู่กันเน้นย้ำสัจจะความจริงในเรื่องเดียวกัน และลักษณะเนื้อหาในอุปมาเป็นเนื้อหาที่เป็นไปในทำนองเดียวกัน
แต่อุปมาในเรื่องที่สามเนื้อหาแตกต่างฉีกแนวออกไป มีลักษณะเฉพาะ
ให้ความสนใจและความสำคัญในประเด็นที่แตกต่างกัน
ในอุปมาสองเรื่องแรกผู้ฟังสามารถเข้าใจตามเนื้อหาที่เล่า ขณะที่อุปมาที่สามผู้ฟังจะต้องตีความ
อย่างไรก็ตามขอตั้งข้อสังเกตในความเหมือนของอุปมาสองเรื่องแรกไว้ดังนี้
(1) อุปมาทั้งสองเรื่อง มิได้เน้นที่คนบาป (คนหลงทางชีวิต หลงหาย) แต่เน้นการสูญหาย
(2) อุปมาทั้งสองเรื่อง เจ้าของเป็นผู้ที่ออกไปตามหา ค้นหา
สิ่งที่สูญหาย
(3) อุปมาทั้งสองเรื่อง ตามหาอย่างแข็งขันทุ่มเท และ เพียรพยายาม
(4) อุปมาทั้งสองเรื่อง เจ้าของชื่นชมยินดีและเชิญชวนเพื่อน
โดยคาดหวังว่าเพื่อนบ้านจะร่วมในความชื่นชมยินดีของเขาด้วย
(5) อุปมาทั้งสองเรื่อง
เจ้าของมีความชื่นชมยินดีที่ได้พบสิ่งที่สูญหาย แต่ในสวรรค์จะชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง
เมื่อคนบาปได้กลับใจใหม่และพบทางรอด
(6) อุปมาทั้งสองเรื่อง ไม่ใช่คนที่สูญหาย แต่เป็นสิ่งของที่สูญหาย ส่วนมนุษย์คือผู้ที่ออกติดตามค้นหาด้วยความอุตสาหะทุ่มเทเพื่อที่ค้นให้พบในสิ่งที่สูญหาย
(7) อุปมาทั้งสองเรื่อง ผมเชื่อว่ามิใช่อุปมาที่แสดงถึงภาพการที่พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่หลงหาย
แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์ติดตามค้นหาสิ่งที่สูญหาย
ข้อสังเกตประการสุดท้ายเป็นข้อสังเกตประการที่สำคัญที่สุด
ในอดีตผมเข้าใจว่าอุปมาทั้งสองเรื่องแรกกำลังพูดถึงความเอาใจใส่ของพระเจ้าต่อคนที่หลงหาย แต่เมื่ออ่านอย่างใส่ใจพบว่าไม่น่าจะเป็นไปเช่นนั้น ประการแรกน่าสังเกตว่า
พระเยซูคริสต์เริ่มต้นเล่าคำอุปมาด้วยประโยคที่ว่า “ใครในพวกท่านที่มี...” ในอุปมาของพระเยซูสองเรื่องแรกมิได้เน้นย้ำถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำสำหรับสิ่งที่สูญหาย
แต่เจ้าของของสิ่งที่สูญหายต่างหากที่ติดตามค้นหา
ประการแรก
พวกฟาริสีย่อมเห็นด้วยกับพระเยซูอย่างแน่นอนว่า ถ้าแกะของเขาหาย หรือเงินของเขาหาย
พวกเขาจะติดตามหาอย่างพากเพียรทุ่มเทเพื่อที่จะพบและได้มันกลับคืนมา
และเมื่อเขาพบสิ่งที่หายไปนั้นพวกเขาจะดีใจอย่างมาก
ประการที่สอง
ความกระตือรือร้นและจิตใจที่จดจ่อเกินเหตุของพวกฟาริสีในการค้นหาสิ่งที่สูญหาย
หรือการแสดงความชื่นชมยินดีเมื่อพบสิ่งที่หายนั้นดูจะเกินเลยความพอดีเหมาะสม สมควรหรือไม่ที่จะทิ้งแกะ 99 ตัวให้อยู่ในที่โล่งกว้าง
ที่เสี่ยงต่อสัตว์ร้ายที่จะมากัดกิน?
เป็นอาการผิดปกติหรือไม่ที่ป่าวประกาศให้เพื่อนบ้านถึงการพบแกะหนึ่งตัวที่หาย และคาดหวังว่าเพื่อนบ้านจะต้องมาร่วมฉลองในการพบแกะครั้งนี้?
ความกระตือรือร้นเกินเหตุมิใช่พระลักษณะของพระเจ้า แต่เป็นสิ่งที่พบได้ในมนุษย์
ประการที่สาม
ความชื่นชมยินดีในสวรรค์จะชื่นชมยินดีมากกว่านั้น เพราะเป็นการชื่นชมยินดีที่คนบาปกลับใจใหม่
แต่มิใช่ความชื่นชมยินดีแค่การค้นพบสิ่งที่สูญหายเท่านั้น
ประการที่สี่
อุปมาสองเรื่องแรกกล่าวถึงความกระตือรือร้นของมนุษย์ในการติดตามค้นหาสิ่งของทรัพย์สมบัติ มิใช่ติดตามค้นหายคนที่หลงหาย อย่างที่รู้แล้วว่าพวกฟาริสีเป็นผู้นำศาสนาที่รักเงินทองหรือเห็นแก่เงิน
(ลูกา 16:14)
จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถทิ้งแกะ 99
ตัวเพียงเพื่อติดตามค้นหาแกะที่หลงหายเพียงหนึ่งตัว
หรือทุ่มเทพลิกพื้นคว่ำบ้านเพื่อค้นหาเหรียญเพียงเหรียญเดียว คนที่ตกในความคิดแบบวัตถุนิยมง่ายที่จะคิด
ตัดสินใจ และกระทำแบบนี้ แม้จะเป็นการสูญหายของแกะหนึ่งตัวจากร้อยตัว
หรือเหรียญหนึ่งเหรียญจากสิบเหรียญ
เพราะพวกที่มีกรอบคิดแบบวัตถุนิยมลึกๆ ไม่ยอมที่จะสูญเสียสิ่งของเงินทองแม้แต่น้อยนิด
และคนกลุ่มนี้จะดีใจมากเมื่อตามหาสิ่งที่สูญหายพบ
สิ่งที่เหมือนกันของฟาริสีและพระเยซูคือการให้ความสนใจในการติดตามหาสิ่งที่สูญหาย
แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างพระเยซูคริสต์กับฟาริสีคือ
พวกฟาริสีสนใจและเอาใจใส่ต่อสิ่งของทรัพย์สมบัติ ในขณะที่พระเยซูคริสต์สนใจและเอาใจใส่ชีวิตของผู้คน พวกฟาริสีเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล เป็นพวกที่หน้าซื่อใจคด พวกเขาจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่พระเยซูคริสต์ต้อนรับคนบาปให้กลับใจใหม่
และชื่นชมยินดีเมื่อคนเหล่านี้ได้รับความรอด
แต่พวกฟาริสีจะแสวงหาทรัพย์สิ่งของเงินทองด้วยความพากเพียรทุ่มเท และชื่นชมยินดีเมื่อได้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตน
ดังนั้น
อุปมาสองเรื่องแรกเปิดโปงถึงจิตใจที่อยากได้ใคร่มีในทรัพย์สินเงินทองของพวกฟาริสี
และแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อผู้คนที่หลงหาย ที่ไม่มีในจิตใจของฟาริสี
สิ่งที่เป็นอยู่ในฟาริสี “สวนทางกับ”
ที่เป็นอยู่ในสวรรค์
ทำไมพวกฟาริสีถึงไม่เต็มใจที่จะตามหาและช่วยคนบาปให้รอด
และไม่สามารถที่จะชื่นชมยินดีเมื่อคนบาปกลับใจ? ทำไมฟาริสีถึงไม่ต้องการคบค้าสัมพันธ์กับพวก
“คนบาป”? คำตอบต่อคำถามเหล่านี้มีในอุปมาเรื่องที่สาม
ในอุปมาเรื่องที่สามได้สำแดงถึงภาพของหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักเมตตาและการให้อภัยของพระเจ้า(ในภาพของผู้เป็นพ่อ) ที่มีต่อคนบาปที่กลับใจ(ลูกคนเล็ก) และฟาริสีที่โกรธจัดไร้ความยินดี(ลูกคนโต)
ในตอนต่อไปเราจะศึกษาต่อร่วมกันในอุปมาเรื่องบุตรสองคน
อุปมาสองเรื่องแรกนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับอุปมาเรื่องที่สาม
ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องเล่าอุปมาสามเรื่องติดต่อกัน อุปมาเรื่องที่สามนี้พระเยซูคริสต์ต้องการบอกอะไรกับฟาริสีและผู้ฟังของพระองค์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
เรียบเรียงจากข้อมูลในบทความเรื่อง
Lost and Found ของ Deffinbaugh
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น