09 กรกฎาคม 2555

หายไปแล้ว...แต่ได้พบอีก (2)


ลูกา 15:1-32

อุปมาเรื่องแกะหาย  (ลูกา 15:3-7)
พระเยซูจึงตรัสอุปมาต่อไปนี้ให้พวกเขาฟังว่า
“ใครในพวกท่านที่มีแกะร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงหายไป  จะไม่ทิ้งเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้าแล้วออกไปตามหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะพบหรือ?   และเมื่อพบแล้ว เขาจะยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความชื่นชมยินดี   เมื่อมาถึงบ้านเขาก็เชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกันและพูดกับพวกเขาว่า  มาร่วมยินดีกับข้า  เพราะข้าพบแกะของข้าที่หายไปนั้นแล้ว
เราบอกท่านทั้งหลายว่า  ในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่มากกว่าเรื่องคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจ” (ฉบับมาตรฐาน)

พระเยซูได้เริ่มต้นการวิพากษ์ของพระองค์โดย  มุ่งชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์คิดพระองค์ทำนั้นเกี่ยวข้องกับการหลงหาย   โดยอุปมาว่ามีคนหนึ่งมีฝูงแกะร้อยตัว แล้วมีตัวหนึ่งหลงหายไป   เจ้าของจะไม่ละแกะ 99 ตัวเพื่อออกตามหาแกะตัวที่หลงหายหรือ?  เมื่อตามหาแกะที่หายอย่างจริงจัง  เมื่อพบแล้วเขาจะไม่ชื่นชมยินดีหรือ?   แล้วเขาจะไม่เอาแกะตัวนั้นใส่บ่าแบกกลับบ้านด้วยความทะนุถนอมหรือ?   หรือเขาจะทำโทษแกะตัวนั้น  บ่นด่าที่แหกคอกจนหลงหายหรือไม่?   แล้วเขาจะไม่บอกข่าวดีนี้แก่เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านถึงความสำเร็จในการตามหาแกะตัวนั้น  และให้ร่วมกันเฉลิมฉลองที่ได้พบแกะที่หลงหายตัวนั้นหรือ?

แน่นอนว่าพวกฟาริสีและธรรมมาจารย์เห็นด้วยกับการตามหาแกะที่หลงหายจนพบอย่างเรื่องที่พระเยซูเล่า   แต่พระเยซูคริสต์หักมุมอุปมาที่เล่านี้ โดยเพิ่มเติมต่อจากเรื่องเล่าว่า  ทำนองเดียวกัน  ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีมากกว่านั้นเสียอีกที่คนบาปคนหนึ่งได้กลับใจมาหาพระเจ้า   และสวรรค์ก็ชื่นชมยินดีต่อคนบาปที่กลับใจมากกว่า “คนที่คิดว่าตนชอบธรรม” 99 คน ที่ไม่ยอมกลับใจ

เมื่ออ่านอุปมาเรื่องนี้ทีไร  ผมมีคำถามที่ค้างคาใจทุกครั้ง   แต่ก็ไม่กล้าถามตรง   มันเป็นการฉลาดหรือไม่ หรือ คุ้มค่าแค่ไหนที่ปล่อยให้แกะ 99 ตัวต้องเสี่ยงภัยกลางที่โล่งกว้าง   แล้วออกไปตามหาแกะเพียงตัวเดียวที่หลงหาย?   แกะตัวนั้นอาจจะตายไปแล้วใครจะไปรู้?   หรือต่อให้ออกไปตามหาอย่างไรก็คงไม่สามารถพบแล้ว?

แต่เมื่อหาแกะหลงหายตัวนั้นพบแล้ว กลับมาบ้านจัดเลี้ยงเฉลิมฉลองกับเพื่อนบ้าน   แล้วค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงฉลองนั้นจะหมดไปมากไหม?   แค่ได้แกะกลับมาหนึ่งตัวแล้วจัดงานเลี้ยงฉลองกับเพื่อนบ้าน   แล้วจะฆ่าแกะกี่ตัวและแพะกี่ตัวในการเลี้ยงนั้น?   มันคุ้มค่าหรือไม่ที่ทำอย่างงี้?  คำถามข้างต้นท้าทายความคิดของเรา  ถึงแม้จะมีคนบอกว่าอุปมานี้มิได้หมายความตามตัวอักษร   แต่มีนัยอยู่เบื้องหลังก็ตาม   ให้เราตั้งคำถามนี้ไว้เพื่อจะพิจารณาในตอนต่อๆ ไป

อุปมาเรื่องเหรียญหาย (ลูกา 15:8-10)
หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญและเหรียญหนึ่งหายไป  จะไม่จุดตะเกียงกวาดบ้านค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ?   เมื่อพบแล้วนางจะเชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน แล้วพูดกับพวกเขาว่า มาร่วมยินดีกับฉัน เพราะฉันพบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว  ในทำนองเดียวกัน เราบอกท่านทั้งหลายว่า จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่”  (ฉบับมาตรฐาน)

เหมือนกับเจ้าของฝูงแกะที่แกะหายไปหนึ่งตัวแล้วออกติดตาม   แม่บ้านคนนี้ก็เช่นกัน  เธอมีเหรียญเงินอยู่สิบเหรียญแต่หายไปหนึ่งเหรียญ  นั่นหมายความว่าเงินสำหรับค่าครองชีพของเธอได้สูญหายไปเท่ากับค่าแรงงานหนึ่งวัน  แน่นอนครับเธอจะต้องค้นหาให้พบว่าเหรียญเงินเหรียญนั้นไปตกอยู่ในซอกในมุมไหนของบ้าน   เธอค้นหาอย่างพลิกพื้นคว่ำบ้านอย่างแน่นอน   เธอจุดตะเกียงเพื่อส่องดูว่า เหรียญเงินเหรียญนั้นตกอยู่มุมมืดนั้นหรือไม่   เธอจะกวาดพื้นและซอกมุมต่างๆ ดูว่ามันตกอยู่ในนั้นหรือเปล่า  เธอจะไม่หยุดการค้นหาจนกว่าจะพบเหรียญนั้น

เมื่อเธอพบเหรียญเงินเหรียญนั้น  เธอชื่นชมยินดีอย่างมาก   เธอจะบอกเพื่อนและเพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความยินดีด้วย   แน่นอนว่า ผู้ฟังเรื่องอุปมานี้ที่พระเยซูเล่า  ต่างก็คงจะแสดงท่าผงกศีรษะเห็นด้วย  เพราะถ้าเป็นพวกเขาๆก็จะทำอย่างหญิงในคำอุปมานั้นเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน  เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจ   ในสวรรค์ก็จะมีความชื่นชมยินดีด้วยเช่นกัน   ในตอนนี้กล่าวถึงพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้ามีความชื่นชมยินดีเมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจ   เพราะทูตสวรรค์อยู่ในโลกนี้เพื่อดูความเป็นไปของโลก   และทูตสวรรค์รู้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้าคือการทรงช่วยมนุษย์ให้รอดโดยทางพระโลหิตของพระบุตร   ดังนั้น เมื่อมีคนบาปกลับใจแม้แต่คนเดียว  พวกทูตสวรรค์จึงชื่นชมยินดีเพราะเกิดความสำเร็จตามพระประสงค์ (1เปโตร 1:12;  1โครินธ์ 11:10)

การที่สวรรค์มีความชื่นชมยินดีเมื่อมีคนบาปกลับใจเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง ในแง่หนึ่งก็เป็นเหมือนความชื่นชมยินดีของหญิงที่พบเหรียญที่หายไป  แต่เมื่อมาพิจารณาถึงความชื่นชมยินดีของหญิงที่พบเหรียญที่หายไปนั้น เป็นความชื่นชมยินดีที่สมเหตุสมผลหรือไม่?  โดยทั่วไปเธอหาเหรียญที่หายไม่คอยพบหรือ?   ครั้งนี้เธอถึงชื่นชมยินดีถึงขนาดนี้?   การที่พบเหรียญเงินเพียงเหรียญเดียวแล้วไปบอกและชวนเพื่อนบ้านมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเป็นการตื่นเต้นเกินเหตุไหม?   เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านหรือเปล่า?   ทั้งเรื่องการกลับมาพบแกะและเหรียญที่หายแล้วเจ้าของแสดงความชื่นชมยินดี  เป็นการแสดงความชื่นชมยินดีเกินพอดีหรือไม่?

ข้อสังเกตเกี่ยวกับอุปมาสองเรื่องแรก

อุปมาสองเรื่องแรกนี้เป็นอุปมาคู่กันเน้นย้ำสัจจะความจริงในเรื่องเดียวกัน   และลักษณะเนื้อหาในอุปมาเป็นเนื้อหาที่เป็นไปในทำนองเดียวกัน   แต่อุปมาในเรื่องที่สามเนื้อหาแตกต่างฉีกแนวออกไป  มีลักษณะเฉพาะ  ให้ความสนใจและความสำคัญในประเด็นที่แตกต่างกัน   ในอุปมาสองเรื่องแรกผู้ฟังสามารถเข้าใจตามเนื้อหาที่เล่า   ขณะที่อุปมาที่สามผู้ฟังจะต้องตีความ

อย่างไรก็ตามขอตั้งข้อสังเกตในความเหมือนของอุปมาสองเรื่องแรกไว้ดังนี้
(1)  อุปมาทั้งสองเรื่อง  มิได้เน้นที่คนบาป (คนหลงทางชีวิต  หลงหาย) แต่เน้นการสูญหาย
(2)  อุปมาทั้งสองเรื่อง  เจ้าของเป็นผู้ที่ออกไปตามหา ค้นหา สิ่งที่สูญหาย
(3)  อุปมาทั้งสองเรื่อง  ตามหาอย่างแข็งขันทุ่มเท และ เพียรพยายาม
(4)  อุปมาทั้งสองเรื่อง  เจ้าของชื่นชมยินดีและเชิญชวนเพื่อน  โดยคาดหวังว่าเพื่อนบ้านจะร่วมในความชื่นชมยินดีของเขาด้วย
(5)  อุปมาทั้งสองเรื่อง  เจ้าของมีความชื่นชมยินดีที่ได้พบสิ่งที่สูญหาย  แต่ในสวรรค์จะชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อคนบาปได้กลับใจใหม่และพบทางรอด
(6)  อุปมาทั้งสองเรื่อง  ไม่ใช่คนที่สูญหาย  แต่เป็นสิ่งของที่สูญหาย  ส่วนมนุษย์คือผู้ที่ออกติดตามค้นหาด้วยความอุตสาหะทุ่มเทเพื่อที่ค้นให้พบในสิ่งที่สูญหาย
(7)  อุปมาทั้งสองเรื่อง   ผมเชื่อว่ามิใช่อุปมาที่แสดงถึงภาพการที่พระเจ้าทรงแสวงหาคนที่หลงหาย   แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์ติดตามค้นหาสิ่งที่สูญหาย

ข้อสังเกตประการสุดท้ายเป็นข้อสังเกตประการที่สำคัญที่สุด   ในอดีตผมเข้าใจว่าอุปมาทั้งสองเรื่องแรกกำลังพูดถึงความเอาใจใส่ของพระเจ้าต่อคนที่หลงหาย   แต่เมื่ออ่านอย่างใส่ใจพบว่าไม่น่าจะเป็นไปเช่นนั้น   ประการแรกน่าสังเกตว่า พระเยซูคริสต์เริ่มต้นเล่าคำอุปมาด้วยประโยคที่ว่า “ใครในพวกท่านที่มี...”   ในอุปมาของพระเยซูสองเรื่องแรกมิได้เน้นย้ำถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำสำหรับสิ่งที่สูญหาย   แต่เจ้าของของสิ่งที่สูญหายต่างหากที่ติดตามค้นหา

ประการแรก  พวกฟาริสีย่อมเห็นด้วยกับพระเยซูอย่างแน่นอนว่า  ถ้าแกะของเขาหาย หรือเงินของเขาหาย  พวกเขาจะติดตามหาอย่างพากเพียรทุ่มเทเพื่อที่จะพบและได้มันกลับคืนมา  และเมื่อเขาพบสิ่งที่หายไปนั้นพวกเขาจะดีใจอย่างมาก

ประการที่สอง  ความกระตือรือร้นและจิตใจที่จดจ่อเกินเหตุของพวกฟาริสีในการค้นหาสิ่งที่สูญหาย  หรือการแสดงความชื่นชมยินดีเมื่อพบสิ่งที่หายนั้นดูจะเกินเลยความพอดีเหมาะสม  สมควรหรือไม่ที่จะทิ้งแกะ 99 ตัวให้อยู่ในที่โล่งกว้าง  ที่เสี่ยงต่อสัตว์ร้ายที่จะมากัดกิน?  เป็นอาการผิดปกติหรือไม่ที่ป่าวประกาศให้เพื่อนบ้านถึงการพบแกะหนึ่งตัวที่หาย  และคาดหวังว่าเพื่อนบ้านจะต้องมาร่วมฉลองในการพบแกะครั้งนี้?   ความกระตือรือร้นเกินเหตุมิใช่พระลักษณะของพระเจ้า   แต่เป็นสิ่งที่พบได้ในมนุษย์

ประการที่สาม  ความชื่นชมยินดีในสวรรค์จะชื่นชมยินดีมากกว่านั้น   เพราะเป็นการชื่นชมยินดีที่คนบาปกลับใจใหม่  แต่มิใช่ความชื่นชมยินดีแค่การค้นพบสิ่งที่สูญหายเท่านั้น

ประการที่สี่   อุปมาสองเรื่องแรกกล่าวถึงความกระตือรือร้นของมนุษย์ในการติดตามค้นหาสิ่งของทรัพย์สมบัติ   มิใช่ติดตามค้นหายคนที่หลงหาย   อย่างที่รู้แล้วว่าพวกฟาริสีเป็นผู้นำศาสนาที่รักเงินทองหรือเห็นแก่เงิน (ลูกา 16:14)  จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถทิ้งแกะ 99 ตัวเพียงเพื่อติดตามค้นหาแกะที่หลงหายเพียงหนึ่งตัว   หรือทุ่มเทพลิกพื้นคว่ำบ้านเพื่อค้นหาเหรียญเพียงเหรียญเดียว   คนที่ตกในความคิดแบบวัตถุนิยมง่ายที่จะคิด ตัดสินใจ และกระทำแบบนี้   แม้จะเป็นการสูญหายของแกะหนึ่งตัวจากร้อยตัว หรือเหรียญหนึ่งเหรียญจากสิบเหรียญ   เพราะพวกที่มีกรอบคิดแบบวัตถุนิยมลึกๆ ไม่ยอมที่จะสูญเสียสิ่งของเงินทองแม้แต่น้อยนิด   และคนกลุ่มนี้จะดีใจมากเมื่อตามหาสิ่งที่สูญหายพบ

สิ่งที่เหมือนกันของฟาริสีและพระเยซูคือการให้ความสนใจในการติดตามหาสิ่งที่สูญหาย  แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างพระเยซูคริสต์กับฟาริสีคือ   พวกฟาริสีสนใจและเอาใจใส่ต่อสิ่งของทรัพย์สมบัติ   ในขณะที่พระเยซูคริสต์สนใจและเอาใจใส่ชีวิตของผู้คน   พวกฟาริสีเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล   เป็นพวกที่หน้าซื่อใจคด   พวกเขาจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่พระเยซูคริสต์ต้อนรับคนบาปให้กลับใจใหม่ และชื่นชมยินดีเมื่อคนเหล่านี้ได้รับความรอด   แต่พวกฟาริสีจะแสวงหาทรัพย์สิ่งของเงินทองด้วยความพากเพียรทุ่มเท  และชื่นชมยินดีเมื่อได้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตน

ดังนั้น  อุปมาสองเรื่องแรกเปิดโปงถึงจิตใจที่อยากได้ใคร่มีในทรัพย์สินเงินทองของพวกฟาริสี   และแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความรักเมตตาของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อผู้คนที่หลงหาย    ที่ไม่มีในจิตใจของฟาริสี

สิ่งที่เป็นอยู่ในฟาริสี “สวนทางกับ” ที่เป็นอยู่ในสวรรค์   ทำไมพวกฟาริสีถึงไม่เต็มใจที่จะตามหาและช่วยคนบาปให้รอด  และไม่สามารถที่จะชื่นชมยินดีเมื่อคนบาปกลับใจ?   ทำไมฟาริสีถึงไม่ต้องการคบค้าสัมพันธ์กับพวก “คนบาป”?   คำตอบต่อคำถามเหล่านี้มีในอุปมาเรื่องที่สาม ในอุปมาเรื่องที่สามได้สำแดงถึงภาพของหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักเมตตาและการให้อภัยของพระเจ้า(ในภาพของผู้เป็นพ่อ)  ที่มีต่อคนบาปที่กลับใจ(ลูกคนเล็ก)  และฟาริสีที่โกรธจัดไร้ความยินดี(ลูกคนโต)

ในตอนต่อไปเราจะศึกษาต่อร่วมกันในอุปมาเรื่องบุตรสองคน  อุปมาสองเรื่องแรกนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับอุปมาเรื่องที่สาม   ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องเล่าอุปมาสามเรื่องติดต่อกัน   อุปมาเรื่องที่สามนี้พระเยซูคริสต์ต้องการบอกอะไรกับฟาริสีและผู้ฟังของพระองค์


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
เรียบเรียงจากข้อมูลในบทความเรื่อง Lost and Found ของ Deffinbaugh

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น