ครั้งเมื่อผมมีโอกาสไปเอื้ออำนวยเวทีพูดคุยกับพ่อแม่วัยรุ่นในจังหวัดต่างๆ ทั้งในชุมชนหมู่บ้าน และ ในคริสตจักร คำถามยอดฮิตที่พ่อแม่กล่าวถึงคือ จะพูดคุยกับลูกวัยรุ่นอย่างไรดี? ผมถามว่าทำไมหรือ เกิดอะไรขึ้นหรือ? พ่อแม่มักบอกว่าวันๆ หนึ่งพูดกับลูกได้ไม่เกิน
5 ประโยค
เพราะมักลงเอยด้วยอารมณ์เสีย ไม่ของลูกวัยรุ่นก็ของพ่อแม่ แล้วมักลงท้ายถามว่า เมื่อไหร่อาจารย์จะเปิดหลักสูตรอบรมการเป็นพ่อแม่ของลูกวัยรุ่น?
ในฐานะพ่อแม่
เราต้องการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและไว้วางใจกับลูกวัยรุ่นของเรา
แต่เรามักประสบกับอุปสรรคไม่สามารถทำให้ไปถึงความต้องการนี้ได้สักที ส่วนหนึ่งพ่อแม่ควรเรียนรู้วิธีการสื่อสารที่เสริมสร้างการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างมีความหมายสำหรับลูกวัยรุ่น และสิ่งต่อไปนี้เป็นบทเรียนจากประสบการณ์ทั้งที่สำเร็จและล้มเหลวในการสื่อสัมพันธ์กับลูกวัยรุ่นในอดีตที่ผ่านมาครับ
1) การสื่อสารที่ดีเริ่มต้นที่การฟังอย่างใส่ใจ ฟังอย่างไว้ใจ: อย่าฟังเพียงได้ยินเสียงและคำพูดของลูกวัยรุ่น แต่ให้ฟังด้วยความใส่ใจจนได้ยินเสียงของความวิตกกังวล ความขุ่นมัวในอารมณ์ ความต้องการในชีวิตของเขา ความเจ็บปวดที่เขากำลังได้รับในจิตใจ
การฟังอย่างใส่ใจควรไปพร้อมกับการฟังอย่างไว้ใจ มิใช่ฟังเพื่อ “จับผิด” ลูก แต่ต้องฟังเพื่อ “จับถูก” ในสิ่งดีๆ ของลูกที่ต้องการจะบอกให้เรารับรู้
2) ชีวิตลูกมาก่อนสิ่งอื่น: บ่อยครั้งการสื่อสารของเรากับลูกวัยรุ่น เรามักกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว และเราก็สื่อสารกับลูกพร้อมกับการทำสิ่งอื่นๆพร้อมไปด้วย ลูกวัยรุ่นจะรู้สึกว่าเราไม่ได้ให้ความสนใจและใส่ใจว่าเรื่องของเขาเป็นสิ่งที่สำคัญ ลูกวัยรุ่นจะมองว่า พ่อแม่กำลังเห็นว่างาน
หรือ สิ่งอื่นที่กำลังทำมีความสำคัญกว่าตัวเขา
เช่น คุณแม่กำลังทำอาหารเย็น
ลูกสาววัยรุ่นเข้ามาหา
มีเรื่องที่ต้องการปรึกษากับแม่
แต่ถ้าแม่ง่วนอยู่กับการทำอาหาร
เพราะคิดว่าจะปล่อยให้อาหารไหม้ไม่ได้
ต้องการทำอาหารให้เสร็จก่อน
แล้วค่อยให้เวลาฟังเรื่องที่ลูกสาววัยรุ่นจะปรึกษา แต่คุณแม่หลายท่านมีประสบการณ์ว่า
รอจนทำอาหารเสร็จลูกสาววัยรุ่นอาจจะน้อยใจว่าแม่ไม่สนใจเขา แล้วหายหน้าไปไหนไม่รู้ ลูกสาววัยรุ่นต้องมาก่อน หยุดการทำอาหารก่อน ให้เวลา และใช้เวลากับลูกอย่างใส่ใจ แล้วหลังจากนั้น นอกจากลูกสาวจะได้คำตอบต่อประเด็นชีวิตของเขา
และคุณแม่จะได้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากลูกสาววัยรุ่นแล้ว ยังอาจจะได้ลูกมือช่วยทำอาหารเย็นอีกด้วย และที่สำคัญคือยังรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์แม่ลูกลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
3) สื่อสารแบบกระตุ้นคิด: เมื่อลูกวัยรุ่นมาหาและมีเรื่องปรึกษาผู้เป็นพ่อแม่
มิใช่ทุกครั้งที่ลูกวัยรุ่นต้องการคำตอบหรือคำแนะนำจากเราเสมอไป บางครั้งเขาต้องการปรึกษาและบอกถึงแนวทาง หรือ
วิธีการของเขาเพื่อให้พ่อแม่รู้
หรือต้องการความคิดเห็นของพ่อแม่ว่าเห็นด้วยหรือไม่ สิ่งสำคัญในสถานการณ์เช่นนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะตอบสนองลูกวัยรุ่นด้วยการชวนคิดชวนคุย หรือ ถามคำถามที่กระตุ้นให้ลูกวัยรุ่นของเราได้คิด เพื่อเขาจะคิดได้คิดเป็น และเมื่อเขาคิดได้คิดเป็น ลูกวัยรุ่นก็จะรู้สึกว่านี่เป็นความคิด แนวทาง
หรือวิธีการของเขาเอง
เกิดความภาคภูมิใจ
และคุณพ่อคุณแม่ควรหนุนใจในเวลาเช่นนี้ให้ลูกวัยรุ่นเกิดความมั่นใจในตนเอง
4) แสดงความสนใจอย่างแท้จริง: อย่ารอให้ลูกวัยรุ่นเข้ามาหาเราผู้เป็นพ่อแม่ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างความสัมพันธ์เชิงรุกด้วยการแสดงความสนใจเรื่องต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตของลูก
ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานเช่นชื่นชมในการแต่งตัวของลูก ชื่นชมในสิ่งดีๆ ที่ลูกทำ ให้กำลังใจเมื่อลูกต้องพยายามทำบางสิ่งบางอย่างที่ยากลำบาก การแสดงออกถึงความสนใจของคุณพ่อคุณแม่ต่อลูกวัยรุ่นสามารถกระทำได้ทั้งท่าทางการแสดงออกและคำพูด
ไม่จำเป็นที่พ่อแม่จะต้องบอกลูกเสมอไปว่าตนสนใจลูก แต่ท่าทาง ท่าที และการกระทำของพ่อแม่ย่อมทำให้ลูกวัยรุ่นรู้สึกได้ว่า
พ่อแม่สนใจเขาจริงแท้แค่ไหน
ทุกครั้งที่จะมีกิจกรรมใดๆ หรือจะต้องคิดและตัดสินใจเรื่องในครอบครัว ควรให้ลูกวัยรุ่นมีส่วนร่วมทั้งในการคิด การวางแผน
และในการดำเนินการ
และถ้าสิ่งใดที่ลูกวัยรุ่นมีทักษะความสามารถที่จะทำได้ให้คุณพ่อคุณแม่มอบหมายให้เขาเป็นผู้นำในเรื่องนั้นๆ และอยู่เคียงข้างคอยให้กำลังใจ โค้ช และ หนุนเสริมเขาตามที่จำเป็นหรือตามการร้องขอจากลูกวัยรุ่น นอกจากสร้างความภาคภูมิใจ และ
ความมั่นใจในตนเองของลูกแล้ว
ยังเป็นการพัฒนาเสริมสร้างภาวะผู้นำในลูกวัยรุ่นอีกด้วย
คุณพ่อคุณแม่พึงตระหนักเสมอว่า
การสนใจอย่างจริงใจของตนเป็นพลังสร้างผลกระทบต่อชีวิต จิตใจ และความสัมพันธ์ของลูกวัยรุ่น แน่นอนว่า
ความสนใจของพ่อแม่มีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของลูก ต่อมุมมองของลูกที่มีต่อพ่อแม่ มิเพียงเท่านั้นกระทบต่อมุมมองชีวิตที่เกิดขึ้นในตัวลูก
และที่สำคัญคือสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างลูกวัยรุ่นและพ่อแม่ และยังสร้างผลกระทบต่อความรู้สึกของลูกวัยรุ่นว่าตนมีคุณค่าหรือไม่อีกด้วย
1) มุ่งมองหาโอกาส:
คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นโอกาสที่เปิดออกจากคำพูดของลูกวัยรุ่น เช่น ลูกวัยรุ่นอาจจะถามพ่อแม่ว่า
“แม่ว่าใส่ชุดนี้หนูสวยไหม?” หรือ
ลูกชายวัยรุ่นอาจจะพูดว่า “ในทีมฟุตบอลไม่มีใครเหมือนผม?”
การพูดแบบนี้ของลูกวัยรุ่นเป็นโอกาสของพ่อแม่จะเข้าไปขุดลึกลงในความคิดและความรู้สึกของลูกวัยรุ่น พ่อแม่ส่วนมากจะตอบลูกว่า แน่นอนลูกสวยเฉียบเลย หรือ
แน่นอนไม่มีใครเหมือนลูกหรอก
ถ้าเราตอบสนองคำพูดของลูกเช่นนี้การสนทนาก็จบลง
นอกจากมิได้ใช้โอกาสนี้ในการขุดลึกลงในความคิดและความรู้สึกของลูกแล้ว
ยังเป็นการตอบสนองที่มิได้ให้กำลังใจ(พ่อแม่อาจจะคิดว่าตนเองให้กำลังใจ)แก่ลูก เพราะคำตอบของเราเหมือนกับกำลังบอกลูกว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกแต่งตัวสวย หรือ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นในทีมฟุตบอล
แต่คุณพ่อคุณแม่พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้เจาะลึกเข้าไปในความคิดจิตใจของลูก
เมื่อลูกเปิดโอกาสแก่พ่อแม่โดยถามพ่อแม่เช่นนี้ นอกจากชื่นชมว่าลูกสวยแล้ว
คุณพ่อคุณแม่วัยรุ่นสามารถใช้โอกาสนั้นเจาะลึกลงในความคิดความรู้สึกด้วย โดยอาจจะถามต่อไปว่า ลูกรู้สึกอย่างไร? ลูกคิดอย่างไรกับชุดที่ใส่นี้? หรืออาจจะพูดกับลูกชายว่า “ใช่
ลูกไม่เหมือนใคร และ ก็ไม่มีใครเหมือน
แล้วลูกคิดอย่างไรในเรื่องนี้?”
และอย่าลืมใช้คำถามที่เปิดให้ลูกชายได้เล่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำถามลูกได้ว่า “ลูกช่วยเล่ารายละเอียดเรื่องนี้หน่อยสิ”
และนี่คือโอกาสที่เราจะเรียนรู้และเข้าใจลูกมากขึ้น และลูกเองก็จะรู้สึกว่าพ่อแม่สนใจเขาอย่างแท้จริง
2) ทำตัวเป็นเพื่อนของลูกวัยรุ่น: การสื่อสารพูดคุยและความสัมพันธ์
หลีกเลี่ยงที่จะแสดงตนว่าพ่อแม่อยู่เหนือกว่าลูกวัยรุ่น
แสดงตนว่าตนเองเป็นพ่อแม่ที่มีอำนาจและการตัดสินใจเหนือกว่า
โดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้งในครอบครัวระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่น อย่าโต้เถียงกับลูกวัยรุ่นเมื่ออารมณ์ยังคุกรุ่น หรือสถานการณ์ยังร้อนแรง คุณพ่อคุณแม่ควรบอกตนเองว่า ให้เราคุยเรื่องนี้หลังจากที่ความร้อนแรงลดลงแล้ว และอาจจะบอกกับลูกว่า แล้วค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลังดีไหม? พระธรรมสุภาษิต 17:27 กล่าวไว้ว่า
“บุคคลที่ยับยั้งถ้อยคำของเขาเป็นคนมีความรู้
และบุคคลมีจิตใจเยือกเย็นเป็นคนมีความเข้าใจ” (มตฐ.)
3) เห็นอกเห็นใจและพยายามเข้าใจลูก:
คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยรุ่นพึงตระหนักว่า วัยรุ่นมีอารมณ์ที่อ่อนไหว มีความรู้สึกไว และมักเกิดความเจ็บปวดภายในชีวิตได้ง่าย
คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เท่าทันถึงอารมณ์ลูกวัยรุ่นในตอนนั้น ถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมลูกถึงมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้น พ่อแม่ไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นด้วยกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในลูกวัยรุ่นในเวลานั้น แต่ขอพ่อแม่รับรู้ว่าลูกวัยรุ่นของตนกำลังรู้สึกเช่นนั้น
รับรู้ถึงมุมมองความรู้สึกของลูกวัยรุ่น
อาจจะด้วยการกล่าวกับลูกว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าลูกกำลังพบกับปัญหาที่ยุ่งยากลำบาก”
แต่พ่อแม่โปรดเตรียมใจว่าลูกวัยรุ่นอาจจะไม่พูดอะไร หรือไม่ขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลือ แต่เงียบ
ในเวลาเช่นนี้ลูกต้องการเวลาที่จะค่อยๆ ผ่อนคลายความโกรธ หรือ ความเครียด ในเวลาเช่นนี้พ่อแม่ไม่ควรเซ้าซี้ แต่ปล่อยให้ลูกวัยรุ่นมีเวลาที่ค่อยๆ
ทบทวนและจัดปรับกระบวนความคิดความรู้สึกและอารมณ์ของเขา และเวลาเช่นนี้จะช่วยให้ลูกวัยรุ่นค่อยๆ เรียนรู้ชัดเจนในเหตุการณ์นั้นโดยที่พ่อแม่อาจจะไม่ต้องเข้าไปทำอะไรเลย และหลังจากนั้นเขาอาจจะพร้อมที่พูดคุยกับพ่อแม่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
ท่าทีและท่าทางของพ่อแม่ที่แสดงออกในเวลาเช่นนั้นก็มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการสื่อสารกับลูกที่ไม่ใช้คำพูด เช่น การพูดกับลูกวัยรุ่นด้วยท่าทางกอดอก
ซึ่งเป็นการแสดงถึงการมีอำนาจเหนือกว่าหรือกำลังปกป้องตนเอง หรือยืนคร่อมพูดกับลูกวัยรุ่น แทนที่จะนั่งลงให้อยู่ระดับเดียวกับลูก
4) มองในมุมมองที่สร้างสรรค์
หรือ เชิงบวก: แทนที่พ่อแม่จะมุ่งมองหาหรือชี้ในสิ่งที่ลูกวัยรุ่นทำผิดไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำก็ตาม นั่นจะสร้างความรู้สึกแก่ลูกวัยรุ่นว่า “พ่อแม่มีแต่จะ “จับผิดฉัน” แต่ให้พ่อแม่วัยรุ่น “จับถูก”
ของลูกดีกว่า
คือมองในส่วนดีของลูกวัยรุ่น
แล้วพูดกับลูกด้วยถ้อยคำที่ให้กำลังใจ
และรับรู้ถึงสิ่งที่ลูกได้พยายามกระทำแล้ว มากกว่ามุ่งชี้ถึงสิ่งที่ลูกยังไม่ได้ทำ ดั่งคำกล่าวในสุภาษิต 25:11 ที่ว่า “ถ้อยคำที่พูดถูกกาลเทศะ
เหมือนผลแอปเปิลทองคำล้อมด้วยเงิน” (มตฐ.)
5) ให้เกียรติแก่ลูก:
วัฒนธรรมของเราคาดหวังให้ลูกแสดงความเคารพนับถือ และ
ให้เกียรติแก่พ่อแม่
แต่พ่อแม่ได้ให้เกียรติและนับถือเห็นคุณค่าในตัวลูกวัยรุ่นหรือไม่? การที่เรานับถือและให้เกียรติแก่ลูกวัยรุ่นของเราด้วยความจริงใจย่อมสร้างผลกระทบต่อการการพูดการกระทำของเราต่อลูกวัยรุ่น
และยังมีผลต่อวิธีการและท่าทีการเสริมสร้างวินัยชีวิตแก่ลูก ที่จะกระทำด้วยความรักเมตตาและพระคุณแบบพระคริสต์ และจะเห็นอาการของพ่อแม่ชัดเจนในเวลาที่กำลังไม่พอใจไม่สมหวังในตัวลูกวัยรุ่นของตน โคโลสี 3:21
กล่าวไว้ว่า “บิดาทั้งหลายก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ
เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ท้อใจ” (มตฐ.)
พระคัมภีร์ตอนนี้เตือนสติผู้เป็นพ่อโดยตรง
แต่ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้เป็นแม่ด้วย
เมื่อลูกกำลังบอกเรื่องที่เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
ผู้เป็นพ่อแม่ลูกวัยรุ่นจะไม่สร้างบรรยากาศด้วยการทำเป็นเรื่องตลกขบขัน
เพื่อหวังทำให้ความตึงเครียดผ่อนคลาย
เพราะนั่นจะทำให้ลูกวัยรุ่นรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เห็นความสำคัญของเรื่องสำคัญสุดๆในชีวิตของเขา หรือไม่ก็มองว่าพ่อแม่นี่
(งี่เง่า)ไม่เข้าใจเอาเลย
หรือไม่ก็จะเข้าใจว่าพ่อแม่กำลังมองว่าเขาเป็นฝ่ายผิด
รับฟังและยอมรับข้อเท็จจริงในสิ่งที่ลูกเล่าให้ฟังถึงแม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมดก็ตาม แต่เคียงข้างลูกวัยรุ่นที่จะค่อยๆ เรียนรู้ และรับรู้ว่าบางสิ่งบางเรื่องจะต้องการเวลา และในบางเรื่องต้องปล่อยให้มันค่อยๆ ผ่านไป
สิ่งที่เล่าสู่กันฟังนี้เป็นการสกัดจากประสบการณ์
ผู้เขียนเองตระหนักชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ แต่ต้องให้เวลา ต้องฝึกฝนปฏิบัติ
แล้วประสบการณ์ในแต่ละครั้งจะทำให้เราเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เราจะได้คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกจะเหนียวแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ “ความอดทน”
ของพ่อแม่ แน่นอนครับ
การสื่อสารที่สร้างสรรค์ระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่นไม่สามารถเกิดขึ้นชั่วข้ามคืนครับ แต่ถ้าพยายามอย่างต่อเนื่องไม่ยอมแพ้ความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ดังกล่าวย่อมเกิดขึ้นได้ครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น