อ่านสดุดี87:1-7
เราจะเอ่ยถึงราหับ
และ บาบิโลน ในหมู่ผู้ที่เรารู้จัก
จะเอ่ยถึงฟีลิสเตียและไทระพร้อมกับคูช
และกล่าวว่าคนนี้เกิดในศิโยน
(สดุดี 87:4
อมตธรรม)
...พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์
ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา
และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ
เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์
โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายผ่านทางเรา
เราจึงวิงวอนท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า
(2โครินธ์ 5:19-20 มตฐ.)
เนื้อหาในสดุดีบทที่ 87
คงสร้างความแปลกประหลาดใจกับผู้อ่านโดยเฉพาะพวกยิวอย่างมาก เริ่มต้นด้วยการกล่าวยกย่องศิโยน ที่ตั้งอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการกล่าวถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า เป็นเมืองที่พระเจ้าทรงรัก เป็นนครของพระเจ้า (ที่มีความหมายถึงการครอบครองของพระองค์) และเป็นเมืองที่ได้รับการกล่าวยกย่อง(ข้อ 1-3)
แต่พอเริ่มข้อที่ 4
ผู้ประพันธ์สดุดีบทนี้ประพันธ์ไว้ดังนี้
พระเจ้าตรัสว่า เราจะเอ่ยถึง(นับว่า)
ราหับ ซึ่งหมายถึงอียิปต์ในหมู่ผู้ที่เรารู้จัก จะเอ่ย (นับว่า) ฟีลิสเตีย และ ไทระ
พร้อมกับคูช ว่า
คนนี้เกิดในศิโยน(คนนี้เป็นประชากรของศิโยนหรือเยรูซาเล็ม)
ผู้ประพันธ์สดุดีบทนี้กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร?
เพราะชื่อเมืองทั้งหมดที่เอ่ยถึงนั้นไม่ใช่เป็นคนต่างชาติเท่านั้น แต่เป็นศัตรูในประวัติศาสตร์ของยิวด้วย! แล้วจู่ๆ ผู้ประพันธ์สดุดีบทนี้เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
ชนชาติที่กล่าวถึงนี้เป็นประชากรในแผ่นดินของพระเจ้าได้อย่างไร?
แท้จริงแล้วไม่ควรเอ่ยถึงชนชาติปรปักษ์สกปรกเหล่านี้ในบทเพลงสดุดีให้เปื้อนเปรอะบทเพลงเสียด้วยซ้ำ
ถ้าจะกล่าวถึงน่าจะกล่าวถึงชนชาติเหล่านี้ถูกเหยียบย่ำใต้อุ้งตีนของยิวต่างหาก พูดได้อย่างไรว่า พระเจ้าเอ่ยว่าชนชาติเหล่านี้รู้จักพระองค์อย่างยิวรู้จักพระองค์ ไม่บังควรกล่าวอ้างว่าคนพวกนี้เป็นประชากรในแผ่นดินศิโยนของพระเจ้า
สดุดีบทที่ 87
เป็นพระธรรมตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่กล่าวอ้างล่วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในพระราชกิจของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ที่มองพระราชกิจของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางกว่าการที่ทรงมาช่วยพวกยิวให้รอดเท่านั้น เราได้เห็นพระกิตติคุณ และ
พระราชกิจของพระคริสต์ที่ทรงกระทำทะลุกำแพงแห่งการแบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ระหว่างคนยิว
กับ คนต่างชาติในสมัยคริสตจักรเริ่มแรก
ดังที่จะศึกษาได้ใน เอเฟซัส 2:11-22 ที่เน้นการทำพันธกิจแห่งการคืนดี ที่เริ่มให้คืนดีระหว่างเผ่าพันธุ์และชนชาติ เป็นพันธกิจการให้อภัย
แล้วทั้งยิวและต่างชาติต่างจูงมือเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อมีชีวิตที่คืนดีกับพระองค์ด้วยกัน ภาพในสดุดีบทที่ 87
สำเร็จเป็นจริงในพระราชกิจแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นรูปธรรมในแผ่นดินของพระเจ้า และจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในพระธรรมวิวรณ์ 21:24-26 ที่ว่า
“ประชาชาติต่างๆ
จะเดินโดยอาศัยแสงสว่างของนครนั้น
และกษัตริย์ทั้งหลายในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้ามาในนครนั้น
ประตูต่างๆ ของนครจะไม่ปิดในเวลากลางวัน
และจะไม่มีเวลากลางคืนในนั้น
คนทั้งหลายจะนำศักดิ์ศรีและเกียรติของประชาชาติต่างๆ เข้ามา”
เมื่อคริสตชนระลึกถึงพระราชกิจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่ทรงกระทำในโลกนี้ คริสตชนจำเป็นที่จะต้องมองข้ามการแบ่งแยกคนต่างชาติอย่างมุมมองของคนยิว มองเลยผ่านกำแพงที่กั้นระหว่างคนที่เป็นคริสตชนกับคนที่เชื่อในต่างศาสนา
มองข้ามหรือดูถูกเหยียดหยามระหว่างคนต่างชาติพันธุ์ เพราะพระคริสต์มิได้มองอย่างที่พวกยิวมอง
แต่พระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างและประทานมุมมองใหม่ให้แก่สาวกและโลกนี้ คือมองว่าเราต่างเป็นประชากรของพระเจ้า ภายใต้การครอบครองในแผ่นดินของพระองค์
และทรงมอบหมายให้สาวกทุกคนของพระองค์สืบสานพระราชกิจการคืนดีนี้ต่อจากพระองค์ และนี่คือพันธกิจที่คริสตจักรได้รับเป็นมรดกจากพระคริสต์ที่ต้องกระทำต่อ
เลิกเถิดครับ
ที่แบ่งแยกตนเองว่าต้องสนับสนุนยิว หรือ ไม่ใช่ยิว! เพราะคริสตชนข้ามเลยความคิดความเชื่อแบบนั้นแล้วครับ
แต่พระคริสต์ทรงมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีให้เราประกาศครับ
คริสตชนไทยต้องกลับมามองอีกครั้งหนึ่งว่า แท้จริงแล้วพระคริสต์ประสงค์ให้เราทำการสานต่ออะไรบ้างจากพระราชกิจแห่งการคืนดีที่พระองค์ทรงเริ่มต้นไว้ มิใช่ความรับผิดชอบของคริสตชนไทยที่จะมา
“ถือหาง” ยิว หรือ อาหรับ
แต่หน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายคือเป็นสะพานสานต่อพระราชกิจแห่งการคืนดีระหว่างตัวเรา คริสตจักร
และเพื่อนบ้านล้อมรอบชีวิตของเรา
และให้เราจูงมือกันเข้าเฝ้าพระคริสต์เพื่อขอพระเมตตารับการคืนดีกับพระองค์
ให้เราเลิกที่จะมองคนในคริสตจักรว่าต่างขั้ว ต่างความคิด
ต่างความเชื่อ ต่างคณะนิกาย ต่างศาสนศาสตร์ แต่ให้เรามองให้เห็นพระคริสต์ในผู้คนเหล่านั้น คริสตชนไทยต้องเลือกแต่มิใช่ขั้วเหลือง ขั้วแดง
ขั้วสีฟ้า หรือขั้วสีชมพู
ในช่วงเวลาวิกฤติความขัดแย้งของประเทศไทย คริสตชนต้องเลือกที่จะรับใช้พระราชกิจแห่งการคืนดีที่พระคริสต์ทรงมอบหมายให้เราทำ
หรือ ไม่ก็ปฏิเสธที่จะทำพระราชกิจนี้ไปเลย
สังคมไทยต้องการการให้อภัยด้วยจิตใจที่รักเมตตาที่ยอมเสียสละตนเองแบบพระคริสต์ เพื่อสร้างการคืนดีให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และ
กับองค์พระผู้เป็นเจ้า และคริสตชนคือสะพานที่นำคนให้เข้าอาศัยในแผ่นดินของพระเจ้า ภายใต้การครอบครองของพระองค์ในประเทศไทยครับ!
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น