จากตอนก่อนเราได้แบ่งปันกันถึงขั้นตอนที่ 1-4
ในการรับมือกับผลที่เกิดขึ้นที่มีการกระทำผิด
(1) ให้เราเป็นคนแรกที่บอกถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (2) ระบุถึงความร้ายแรงของปัญหาทั้งหมด
(3) ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถึงแม้ว่าท่านมิใช่ต้นเหตุหลักก็ตาม และ (4)
สร้างโอกาสที่ทีมงานจะร่วมกันวิเคราะห์เจาะลึกให้รู้เท่าทันปัญหา ในตอนนี้จะเป็นสามขั้นตอนสุดท้าย
5.
ต้องการความช่วยเหลือ
โดยธรรมชาติ
การยอมรับว่าเป็นการกระทำผิดของตนอาจจะยังมีความรู้สึกอับอาย หรือ
กลัวอะไรบางอย่างอยู่
แต่เมื่อเรายอมรับว่านี่เป็นความรับผิดชอบของเรา
ดังนั้นสำนึกที่จะต้องลุกขึ้นรับมือและจัดการผลการกระทำผิด
เป็นตัวกระตุ้นให้เราลุกขึ้นเอาชนะความกลัวและความรู้สึกอับอายดังกล่าว
เหมือนกับเรื่องเด็กทำแจกันของแม่ตกแตก รีบเก็บเศษ และ ชิ้นส่วนของแจกันที่แตกซ่อนไม่ให้ใครเห็น
และพยายามหาทางเชื่อมชิ้นส่วนแจกันนั้นด้วยกาวหวังว่ามันจะกลับมาเป็นแจกันดั่งเดิม แต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที
การซ่อนการกระทำผิดดังกล่าวสามารถซ่อนไปสักชั่วเวลาหนึ่ง แต่วันหนึ่งความจริงจะต้องปรากฏขึ้น
แต่ที่เลวร้ายคือความสำนึกผิดถึงการกระทำนั้นมันกระตุ้นเตือนให้ความกลัวย้อนกลับมาทับถมเราทุกวัน ทำให้เกิดความเครียดกังวล และกลัวว่าแม่จะต้องรู้เข้าสักวัน การทำเช่นนี้
ผลของการกระทำผิดจะไม่ได้รับการแก้ไขจัดการ
และความกลัวกังวล และ ความเครียดยิ่งทับถมเพิ่มพูนมากขึ้นในตัวคนทำผิดทุกวัน
แต่ถ้าเราเปิดเผยการกระทำผิดพลาดให้กับทีมงานได้รู้เรื่องแต่แรก สิ่งที่จะตามมาทันทีคือ
ผู้นำที่ดีจะนำเราให้ช่วยกันรับมือจัดการกับผลของการกระทำผิดนั้น
การกระทำผิดพลาดและผู้กระทำยอมรับอย่างเปิดเผย เป็นการเปิดโอกาสให้ทีมงานช่วยกันรับมือ จัดการ
และแก้ไขสถานการณ์ได้ทันเวลา
6.
ติดตามผลทันทีและอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าผลการกระทำผิดได้รับการแก้ไข
อย่าทำให้ผู้นำทีม หัวหน้า หรือ
เพื่อนร่วมทีมถามถึงความเป็นไป ความก้าวหน้าของการจัดการแก้ไขนั้น
แต่ผู้กระทำความผิดพลาดเป็นคนที่จะบอกทุกคนในทีมงานถึงความเป็นไป และ
ความก้าวหน้าของเรื่องนี้
ถ้าเป็นได้มีการแจ้งความเป็นไป/ก้าวหน้าเป็นรายวัน และบอกถึงสถานการณ์มีความรุนแรงแค่ไหน มีความรีบด่วนที่จะต้องจัดการเท่าใด เพื่อบอกให้ทุกคนรู้และมั่นใจว่า ผลของการกระทำผิดนั้นเรามิได้ทิ้ง เฉยเมย แต่รับมือกับมันอย่างใกล้ชิด
7.
มิใช่เพียงแก้ปัญหา
แต่แก้ไขปรับปรุงระบบการทำงาน
เมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข ให้ก้าวไปอีกก้าวหนึ่งโดยถามตนเองว่า “ปัญหาหรือการกระทำผิดนี้ มีทางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำได้ไหม? หรือ
เราสามารถป้องกันได้โดยการปรับปรุงระบบการทำงานใหม่ให้ดีขึ้นอย่างไร?”
เราตระหนักดีว่า
ระบบการทำงานมิใช่สิ่งตายตัวถาวรเปลี่ยนไม่ได้
แต่ตรงกันข้ามระบบการทำงานถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้ในการทำงานของทีม และเป็นกระบวนการที่เราสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาได้โดยการสังเคราะห์บทเรียนรู้จากการกระทำที่ผ่านมาของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิด หรือ ถูกต้องก็ตาม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
รวมถึงประสบการณ์ในการรับมือของผู้กระทำผิดพลาดและทีมงาน ให้เรานำประสบการณ์และสิ่งที่เรียนรู้มาถอดบทเรียน เพื่อให้ได้บทเรียนรู้ว่า องค์กรของเราจะต้องมีการปรับปรุง แก้ไข พัฒนา
และ เสริมสร้างระบบการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หาทางพัฒนาระบบการทำงานที่ป้องกันมิให้ปัญหาการกระทำผิดที่ผ่านมาเกิดซ้ำอีกในการทำงานของทีมงานของเรา
ใครก็ตามในทีมงาน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นหัวหน้า
ลูกน้อง สมาชิกในทีมงานคนใดคนหนึ่งที่รับมือจัดการกับผลการกระทำผิดของตน และ รับมือจัดการกับปัญหาที่เกิดอย่างใส่ใจ
จริงจัง จริงใจ และ เปิดใจเช่นนี้ ในสายตาของทีมงานย่อมเกิดการยอมรับ
นับถือ และ มั่นใจ ในภาวะผู้นำของคน ๆ นั้น
และประสบการณ์เช่นนี้นำไปสู่การได้รับความไว้วางใจอย่างหนักแน่นมั่นคงขึ้น
แนวทางและกระบวนการการจัดการรับมือกับผลการกระทำผิดข้างต้นนี้ มิใช่สำหรับหัวหน้างาน หรือ
ผู้นำทีมงานเท่านั้น
แต่หมายรวมถึงสมาชิกในทีมงานทุกคน
และมิเพียงแต่การทำงานในอาชีพการงานของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงครอบครัว คริสตจักร
กลุ่มเพื่อน
ตลอดจนการมีชีวิตและทำงานในชุมชนสังคมด้วย
จากประสบการณ์ท่านคิดเห็นอย่างไรกับกระบวนการการรับมือและจัดการกับปัญหา
และ ผลการะทำผิดที่เกิดขึ้น
ท่านมีอะไรจะเพิ่มเติม
ชี้แนะเพื่อให้มีความสมบูรณ์และประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนจัดการมากกว่านี้ครับ? กรุณาแบ่งปันประสบการณ์ หรือ
ให้ข้อชี้แนะด้วยครับ!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
prasit.emmaus@gmail.com; 081 289 4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น