ในภาวะวิกฤติคุณภาพภาวะผู้นำที่จะสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ ในภาวะวิกฤติที่เราขาดวิสัยทัศน์ หรือ
นิมิตหมายที่ชัดเจน ให้มุ่งไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และ ในวิกฤติความขัดแย้งสูง มีแต่การ
“ชี้ผิดจับผิด” ขาดการ “ผู้ชี้ถูกจับถูก” มีแต่เสียงให้ “ทำลายคนชั่ว”
แต่ไม่รู้จะ “หนุนเสริมคนดีของพระเจ้า” อย่างไร
ในภาวะวิกฤติเช่นนี้คริสตจักรไทยต้องการผู้ที่
“หนุนเสริมเพิ่มพลังคนรอบข้าง”
ให้มีภาวะผู้นำที่สามารถสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ เฉกเช่น บารนาบัสได้กระทำเป็นแบบอย่างที่เป็นรูปธรรมและเกิดผลยิ่งใหญ่มาแล้วครับ!
เมื่อเซาโลมาถึงเยรูซาเล็มก็พยายามเข้าร่วมกับเหล่าสาวกแต่เขาเหล่านั้นล้วนกลัวเซาโลไม่เชื่อว่าเขาเป็นสาวกจริง
ๆ
แต่บารนาบัสพาเซาโลไปพบเหล่าอัครทูตและเล่าให้ฟังว่าที่กลางทางเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ตรัสกับเขาอย่างไร
และเขาได้เทศนาที่เมืองดามัสกัสในพระนามของพระเยซูโดยไม่เกรงกลัวอย่างไรบ้าง
ดังนั้นเซาโลจึงได้พักกับพวกเขาและเข้านอกออกในอย่างอิสระในกรุงเยรูซาเล็มและกล่าวในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความอาจหาญ
(กิจการ 9:26-28 อมธ.)
บารนาบัสหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่เซาโล เพื่อเซาโลจะมีโอกาสที่จะใช้ของประทาน ชีวิต
ศักยภาพและความสามารถที่มีอยู่เพื่อสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์
ตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงเรียก
ในเวลานั้น แม้เซาโลจะกลับใจและมอบกายถวายชีวิตแด่พระคริสต์
ประกาศพระกิตติคุณของพระองค์ด้วยใจกล้าหาญอย่างเป็นรูปธรรมแล้วก็ตาม
แต่สาวกพระคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็มยังไม่เชื่อและวางใจว่า เซาโลกลับใจจริง หรือ อาจจะเป็นกลวิธีหลอกล่อพวกคริสตชนเพื่อจะหาทางฆ่าทำลายให้สิ้นซาก
ในภาวะเช่นนี้ บารนาบัสได้เข้ามา “หนุนเสริมเพิ่มพลัง”
แก่เซาโล ด้วยการเอาชีวิตของตนเข้ามา
“ค้ำประกันเซาโล” ว่าได้มาเป็นสาวกพระคริสต์อย่างแท้จริง ด้วยการพาเขาเข้าไปถึงวงในของพวกอัครทูต
จนเซาโลได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาวกพระคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็ม
และประกาศพระกิตติคุณของพระคริสต์ด้วยใจกล้าหาญ เขาได้รับการหนุนเสริมเพิ่มพลัง อีกทั้งได้รับความเชื่อวางใจ ทั้งในการประกาศพระกิตติคุณ และ
เป็นคนที่เข้านอกออกในในกลุ่มของอัครทูตด้วย
บารนาบัสหนุนเสริมเพิ่มพลังเซาโล
ให้ได้รับความไว้วางใจจากอัครทูต และ สาวกพระคริสต์คนอื่น ๆ
เซาโลมีโอกาสในการเสริมสร้างกระบวนการขับเคลื่อนพระกิตติคุณของพระคริสต์ร่วมกับผู้เชื่อคนอื่น
ๆ เขาได้ใช้ของประทาน ศักยภาพ ทักษะความสามารถ ที่พระเจ้าจัดเตรียมเขาตั้งแต่เกิดในการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์เจ้า
คริสตจักรของเราต้องการผู้นำอย่างบารนาบัสครับ เราต้องการผู้นำที่หนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะผู้นำในคนอื่นรอบข้าง
เพื่อเขาจะมีโอกาสรับใช้พระคริสต์อย่างเต็มที่ ด้วยสุดกำลังความคิด จิตใจ และสุดชีวิต
แต่การที่จะเป็นผู้ที่หนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะผู้นำในคนรอบข้างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องทุ่มและลงทุนทั้งชีวิต เพราะเราต้องเอาชีวิตของเราเข้าค้ำประกัน
เสริมหนุนเขาให้มีโอกาสใช้พลังภาวะผู้นำทั้งสิ้นของเขาในการรับใช้สานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในสังคมชุมชนโลกนี้
การที่เราจะทุ่มเทหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่คนอื่น สิ่งที่เราต้องเผชิญ ต้องให้ ต้องทุ่มทั้งชีวิตคือ...
ท่านต้องเสี่ยง เฉกเช่นบารนาบัสกล้าเสี่ยงที่จะคบสัมพันธ์กับเซาโล
ในขณะที่คริสตชนคนอื่น ๆ เห็นว่า เซาโลคือศัตรูตัวร้ายของคริสตจักร
ท่านต้องกล้า เฉกเช่นบารนาบัสกล้าที่จะพาเซาโลไปพบกับอัครทูต และ
ค้ำประกันเซาโลว่าเขากลับใจมาเป็นสาวกพระคริสต์ และ ทุ่มเทชีวิตสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ที่ทรงมอบหมาย
หลายคนไม่กล้าที่จะเสริมเพิ่มพลังคนอย่างเซาโล
เพราะถ้าเซาโลมิได้เป็นอย่างที่ตนค้ำประกันล่ะ ตนเองจะเสียหายขนาดไหน หลายคนไม่อยาก “เปลืองตัว”
ท่านต้องหนุนเสริมต่อเนื่อง เฉกเช่นบารนาบัส
เมื่อเซาโลเข้านอกออกในในกลุ่มอัครทูตได้แล้ว
บารนาบัสไม่ได้หยุดการหนุนเสริมเพิ่มพลังเซาโลเพียงแค่นั้น
แต่เขาตามติดใกล้ชิดและร่วมในการทำพันธกิจของพระคริสต์ไปในที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน เป็นทั้งโค้ช
เป็นทั้งเพื่อนคู่คิดในยามที่พันธกิจเกิดความขัดแย้ง
แล้วร่วมกันรับมือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์ด้วยกัน
ในการหนุนเสริมเพิ่มพลังผู้คนให้มีพลังภาวะความเป็นผู้นำอย่างเป็นรูปธรรมนั้น
มิใช่เพียงเราเชื่อในศักยภาพว่าเขาจะเป็นผู้นำในเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้อย่างดีเท่านั้น แต่เราจะต้องก้าวลงไปหนุนเสริมให้เขาพัฒนาศักยภาพเป็นทักษะความสามารถที่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ถ้าเราประสงค์ที่จะให้เขาใช้พลังภาวะผู้นำที่มีในตัวเขาอย่างเต็มที่ เราต้องทุ่มเทหนุนเสริมเพิ่มพลังด้วยทั้งชีวิตของเราครับ
การหนุนเสริมเพิ่มพลัง
เป็นการทุ่มเทชีวิตแบบตัวต่อตัว (มิใช่ทุ่มเทแบบอุตสาหกรรม สร้างสาวกแบบโหล)
เป็นการที่เราหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่เขาด้วยพลังชีวิตของเรา และด้วยเวลาชีวิตของเราด้วย อยากจะบอกว่า การทุ่มเทเสริมหนุนเพิ่มพลังเช่นนี้สุดจะคุ้มครับ และพระคริสต์ก็ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างด้วยชีวิตของพระองค์ครับ
เพื่อนใกล้ชิดของผมหลายคนถามผมส่วนตัวว่า การทำเช่นนี้แล้วเราจะได้อะไร?
ผมอยากบอกว่า
ได้มากกว่าที่เราท่านคาดหวังครับ
เราจะได้ชีวิตที่มีคุณภาพในแผ่นดินของพระเจ้า
เราจะได้สังคมชุมชนที่พระคริสต์ทุ่มเททั้งชีวิตให้ได้มา หรืออย่างน้อยที่สุด ตัวท่านเองก็ได้ครับ การหนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะความเป็นผู้นำในคนอื่นจนเกิดผลเป็นรูปธรรม สิ่งที่ท่านได้คือ ท่านกลายเป็นคนที่คนในองค์กร
ในคริสตจักรยอมรับพลัง และ ให้เกียรติในภาวะผู้นำของท่านในองค์กรนั้น
ที่มิได้แลกเปลี่ยนมาด้วยผลประโยชน์ส่วนตน
ด้วยทรัพย์สินเงินทอง หรือ ด้วยตำแหน่งผลประโยชน์ ที่มีผู้มาประเคนให้ท่านครับ
คริสตจักร และ
องค์กรคริสตชน ต้องการผู้นำที่หนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะผู้นำในผู้คนรอบข้างครับ!
สำหรับคริสตชนแล้ว
คริสตจักรของพระเยซูคริสต์จะต้องมีพลังที่รักเมตตาอย่างไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์
ที่จะมาขับไล่และขจัดอำนาจชั่วร้ายให้ออกจากคริสตจักรและสังคมโลกได้
และนี่คือพระราชกิจของพระคริสต์ที่บัญชาให้เราทุกคนสานต่องานนี้ของพระองค์
ไม่ใช่ขับไล่อำนาจชั่วด้วยเพียงสำนึกความถูกต้องดีชั่วของเราเอง!
แต่ขับไล่อำนาจแห่งความบาปชั่วด้วยความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์ต่างหาก...ครับ!
ให้เราเริ่มต้นด้วย รับความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราก่อนดีไหมครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
prasit.emmaus@gmail.com; 081 289 4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น