20 เมษายน 2561

หนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะผู้นำในคนรอบข้าง


ในภาวะวิกฤติคุณภาพภาวะผู้นำที่จะสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์   ในภาวะวิกฤติที่เราขาดวิสัยทัศน์ หรือ นิมิตหมายที่ชัดเจน ให้มุ่งไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และ ในวิกฤติความขัดแย้งสูง  มีแต่การ  “ชี้ผิดจับผิด” ขาดการ “ผู้ชี้ถูกจับถูก” มีแต่เสียงให้ “ทำลายคนชั่ว” แต่ไม่รู้จะ “หนุนเสริมคนดีของพระเจ้า” อย่างไร

ในภาวะวิกฤติเช่นนี้คริสตจักรไทยต้องการผู้ที่ “หนุนเสริมเพิ่มพลังคนรอบข้าง” ให้มีภาวะผู้นำที่สามารถสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์   เฉกเช่น บารนาบัสได้กระทำเป็นแบบอย่างที่เป็นรูปธรรมและเกิดผลยิ่งใหญ่มาแล้วครับ!

เมื่อเซาโลมาถึงเยรูซาเล็มก็พยายามเข้าร่วมกับเหล่าสาวกแต่เขาเหล่านั้นล้วนกลัวเซาโลไม่เชื่อว่าเขาเป็นสาวกจริง ๆ   

แต่บารนาบัสพาเซาโลไปพบเหล่าอัครทูตและเล่าให้ฟังว่าที่กลางทางเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ตรัสกับเขาอย่างไร และเขาได้เทศนาที่เมืองดามัสกัสในพระนามของพระเยซูโดยไม่เกรงกลัวอย่างไรบ้าง   

ดังนั้นเซาโลจึงได้พักกับพวกเขาและเข้านอกออกในอย่างอิสระในกรุงเยรูซาเล็มและกล่าวในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความอาจหาญ (กิจการ 9:26-28 อมธ.)

บารนาบัสหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่เซาโล   เพื่อเซาโลจะมีโอกาสที่จะใช้ของประทาน ชีวิต ศักยภาพและความสามารถที่มีอยู่เพื่อสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงเรียก   ในเวลานั้น แม้เซาโลจะกลับใจและมอบกายถวายชีวิตแด่พระคริสต์  ประกาศพระกิตติคุณของพระองค์ด้วยใจกล้าหาญอย่างเป็นรูปธรรมแล้วก็ตาม   แต่สาวกพระคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็มยังไม่เชื่อและวางใจว่า  เซาโลกลับใจจริง   หรือ อาจจะเป็นกลวิธีหลอกล่อพวกคริสตชนเพื่อจะหาทางฆ่าทำลายให้สิ้นซาก

ในภาวะเช่นนี้  บารนาบัสได้เข้ามา “หนุนเสริมเพิ่มพลัง” แก่เซาโล   ด้วยการเอาชีวิตของตนเข้ามา “ค้ำประกันเซาโล”  ว่าได้มาเป็นสาวกพระคริสต์อย่างแท้จริง   ด้วยการพาเขาเข้าไปถึงวงในของพวกอัครทูต  จนเซาโลได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาวกพระคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็ม  และประกาศพระกิตติคุณของพระคริสต์ด้วยใจกล้าหาญ   เขาได้รับการหนุนเสริมเพิ่มพลัง  อีกทั้งได้รับความเชื่อวางใจ  ทั้งในการประกาศพระกิตติคุณ  และ เป็นคนที่เข้านอกออกในในกลุ่มของอัครทูตด้วย

บารนาบัสหนุนเสริมเพิ่มพลังเซาโล ให้ได้รับความไว้วางใจจากอัครทูต และ สาวกพระคริสต์คนอื่น ๆ  เซาโลมีโอกาสในการเสริมสร้างกระบวนการขับเคลื่อนพระกิตติคุณของพระคริสต์ร่วมกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ   เขาได้ใช้ของประทาน  ศักยภาพ ทักษะความสามารถ  ที่พระเจ้าจัดเตรียมเขาตั้งแต่เกิดในการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์เจ้า

คริสตจักรของเราต้องการผู้นำอย่างบารนาบัสครับ   เราต้องการผู้นำที่หนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะผู้นำในคนอื่นรอบข้าง   เพื่อเขาจะมีโอกาสรับใช้พระคริสต์อย่างเต็มที่  ด้วยสุดกำลังความคิด จิตใจ และสุดชีวิต

แต่การที่จะเป็นผู้ที่หนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะผู้นำในคนรอบข้างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย   เราต้องทุ่มและลงทุนทั้งชีวิต    เพราะเราต้องเอาชีวิตของเราเข้าค้ำประกัน เสริมหนุนเขาให้มีโอกาสใช้พลังภาวะผู้นำทั้งสิ้นของเขาในการรับใช้สานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในสังคมชุมชนโลกนี้

การที่เราจะทุ่มเทหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่คนอื่น   สิ่งที่เราต้องเผชิญ ต้องให้ ต้องทุ่มทั้งชีวิตคือ...

ท่านต้องเสี่ยง   เฉกเช่นบารนาบัสกล้าเสี่ยงที่จะคบสัมพันธ์กับเซาโล ในขณะที่คริสตชนคนอื่น ๆ เห็นว่า เซาโลคือศัตรูตัวร้ายของคริสตจักร

ท่านต้องกล้า   เฉกเช่นบารนาบัสกล้าที่จะพาเซาโลไปพบกับอัครทูต และ ค้ำประกันเซาโลว่าเขากลับใจมาเป็นสาวกพระคริสต์ และ ทุ่มเทชีวิตสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ที่ทรงมอบหมาย   หลายคนไม่กล้าที่จะเสริมเพิ่มพลังคนอย่างเซาโล   เพราะถ้าเซาโลมิได้เป็นอย่างที่ตนค้ำประกันล่ะ   ตนเองจะเสียหายขนาดไหน   หลายคนไม่อยาก “เปลืองตัว”  

ท่านต้องหนุนเสริมต่อเนื่อง   เฉกเช่นบารนาบัส เมื่อเซาโลเข้านอกออกในในกลุ่มอัครทูตได้แล้ว   บารนาบัสไม่ได้หยุดการหนุนเสริมเพิ่มพลังเซาโลเพียงแค่นั้น   แต่เขาตามติดใกล้ชิดและร่วมในการทำพันธกิจของพระคริสต์ไปในที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง    เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน   เป็นทั้งโค้ช เป็นทั้งเพื่อนคู่คิดในยามที่พันธกิจเกิดความขัดแย้ง   แล้วร่วมกันรับมือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์ด้วยกัน

ในการหนุนเสริมเพิ่มพลังผู้คนให้มีพลังภาวะความเป็นผู้นำอย่างเป็นรูปธรรมนั้น   มิใช่เพียงเราเชื่อในศักยภาพว่าเขาจะเป็นผู้นำในเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้อย่างดีเท่านั้น   แต่เราจะต้องก้าวลงไปหนุนเสริมให้เขาพัฒนาศักยภาพเป็นทักษะความสามารถที่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม   ถ้าเราประสงค์ที่จะให้เขาใช้พลังภาวะผู้นำที่มีในตัวเขาอย่างเต็มที่  เราต้องทุ่มเทหนุนเสริมเพิ่มพลังด้วยทั้งชีวิตของเราครับ

การหนุนเสริมเพิ่มพลัง เป็นการทุ่มเทชีวิตแบบตัวต่อตัว (มิใช่ทุ่มเทแบบอุตสาหกรรม สร้างสาวกแบบโหล) เป็นการที่เราหนุนเสริมเพิ่มพลังแก่เขาด้วยพลังชีวิตของเรา  และด้วยเวลาชีวิตของเราด้วย   อยากจะบอกว่า การทุ่มเทเสริมหนุนเพิ่มพลังเช่นนี้สุดจะคุ้มครับ   และพระคริสต์ก็ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างด้วยชีวิตของพระองค์ครับ

เพื่อนใกล้ชิดของผมหลายคนถามผมส่วนตัวว่า   การทำเช่นนี้แล้วเราจะได้อะไร?

ผมอยากบอกว่า ได้มากกว่าที่เราท่านคาดหวังครับ   เราจะได้ชีวิตที่มีคุณภาพในแผ่นดินของพระเจ้า   เราจะได้สังคมชุมชนที่พระคริสต์ทุ่มเททั้งชีวิตให้ได้มา   หรืออย่างน้อยที่สุด ตัวท่านเองก็ได้ครับ  การหนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะความเป็นผู้นำในคนอื่นจนเกิดผลเป็นรูปธรรม  สิ่งที่ท่านได้คือ ท่านกลายเป็นคนที่คนในองค์กร ในคริสตจักรยอมรับพลัง และ ให้เกียรติในภาวะผู้นำของท่านในองค์กรนั้น    ที่มิได้แลกเปลี่ยนมาด้วยผลประโยชน์ส่วนตน  ด้วยทรัพย์สินเงินทอง หรือ ด้วยตำแหน่งผลประโยชน์  ที่มีผู้มาประเคนให้ท่านครับ

คริสตจักร และ องค์กรคริสตชน ต้องการผู้นำที่หนุนเสริมเพิ่มพลังภาวะผู้นำในผู้คนรอบข้างครับ!

สำหรับคริสตชนแล้ว  คริสตจักรของพระเยซูคริสต์จะต้องมีพลังที่รักเมตตาอย่างไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์    ที่จะมาขับไล่และขจัดอำนาจชั่วร้ายให้ออกจากคริสตจักรและสังคมโลกได้   และนี่คือพระราชกิจของพระคริสต์ที่บัญชาให้เราทุกคนสานต่องานนี้ของพระองค์  

ไม่ใช่ขับไล่อำนาจชั่วด้วยเพียงสำนึกความถูกต้องดีชั่วของเราเอง!  
แต่ขับไล่อำนาจแห่งความบาปชั่วด้วยความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์ต่างหาก...ครับ!
ให้เราเริ่มต้นด้วย  รับความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราก่อนดีไหมครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น