21 มกราคม 2563

เศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ (2) คุณลักษณะเศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ

พระเยซูคริสต์มิได้สอน และ พระกิตติคุณทั้ง 4 ฉบับก็มิได้บันทึกเรื่อง “เศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ” ไว้ตรง ๆ ยิ่งกว่านั้น ในพระกิตติคุณยังไม่มีคำว่า “เศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ” ปรากฏที่ไหนเลย แต่ “เศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ” เป็นการสังเคราะห์จากคำสอน และ การกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้บันทึกในพระกิตติคุณทั้ง 4 ฉบับ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะค้นหาสิ่งที่เป็น “กรอบคิดฐานเชื่อ” (หรือ mindset) ในเรื่องนี้ของพระเยซูคริสต์ เพื่อคริสตชนจะรู้ชัดและมีหลักยึด ที่ส่งผลต่อมุมมอง วิธีคิด การตัดสินใจ และ การดำเนินชีวิตในด้านเศรษฐศาสตร์ของชีวิตที่ปัจจุบันมีอิทธิพลครอบงำทุกด้าน/ทุกมิติในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา

(1) ชีวิตของทุกคนมีคุณค่า

จากคำอุปมาเรื่องการทำงานและค่าจ้าง (มัทธิว 20:1-16) ที่มีกลุ่มแรงงานมาทำงานตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย และตอนเย็น แต่เมื่อเสร็จการทำงานนายจ้างให้ค่าแรงแก่ทุกคนเท่ากับค่าแรงหนึ่งวันแก่ทุกคน คนที่มาก่อนคิดในใจว่า ตนน่าจะได้เงินค่าจ้างมากกว่า เพราะตนมาทำงานนานกว่า แต่เมื่อนายจ้างจ่ายค่าจ้างทุกคนได้เท่ากัน คนที่มาก่อนก็โวยวายว่า นี่มัน “ไม่ยุติธรรม” ทำไมคนทำงานงานน้อยชั่วโมงจึงได้เงินค่าจ้างเท่ากับคนที่ทำงานหลายชั่วโมง หรือ ทำงานทั้งวัน?

แต่นายจ้างชี้แจงว่า ทุกคนได้เงินค่าจ้างตามที่ตกลงไว้ นายจ้างไม่ได้โกงค่าแรงของใครเลย แต่การที่นายจ้างเต็มใจให้ค่าจ้างแก่คนที่มาทำงานทีหลังด้วยค่าแรงเต็มวัน ก็เพื่อช่วยให้ครอบครัวแรงงานทุกคนมีรายได้ที่จะอยู่รอดได้ เพราะนายจ้างให้เงินค่าจ้างเต็มวันมิใช่เพราะเขาทำงานให้มาก แต่เพราะเขาและครอบครัวควรที่จะอยู่รอดในวันนี้ และนี่เป็น “พระคุณ” ของนายจ้าง

ดังนั้น ในระบบเศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ จึงมิใช่เน้นทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย แต่เน้นคุณค่าชีวิตที่ทุกคนจะต้องอยู่รอดได้วันนี้ (ขอประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้) ความยุติธรรมของ “ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ” จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความยุติธรรมใน “ระบบเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม” เพราะสิ่งต่าง ๆ ในระบบทุนนิยมเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยน และในเรื่องนี้เขาเอาแรงงานมาแลกเปลี่ยนกับค่าจ้าง ดังนั้น คนที่ทำงานมาก ต้องได้รับค่าแรงมากตามกรอบคิดของระบบทุนนิยม แต่สำหรับระบบเศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณเน้นเรื่องคุณค่าและความสำคัญของชีวิตและความสัมพันธ์เป็นสำคัญ ในที่นี้ชีวิตสำคัญมากกว่า “ค่าแรงงาน” และ “จำนวนแรงงานที่ได้ทุ่มเททำลงไป” หรือ “ใครมาทำงานก่อน ใครมาทำงานทีหลัง” แต่ความสำคัญอยู่ที่แต่ละคนควรมีโอกาสที่จะอยู่รอด และ อยู่อย่างมีคุณค่าและความหมายในชีวิต

(2) เศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องชีวิตสำคัญกว่าทรัพย์สิน

เรื่องบุตรคนเล็กที่ใช้จ่ายทรัพย์สินจนหมดเนื้อหมดตัว (ลูกา 15:11-32) โทรมกลับมาหาพ่อ ขอสมัครเป็นคนงานในบ้านพ่อ แต่พ่อกลับกอด จูบ และต้อนรับเขาในฐานะลูกที่รัก มิหนำซ้ำยังจัดงานเลี้ยงใหญ่เฉลิมฉลองการกลับมาของลูก แต่พี่ชายไม่พอใจที่พ่อทำเช่นนั้น เพราะน้องผลาญทรัพย์ที่เอาไปจากบ้านจนหมดสิ้น แต่พ่อพูดกับลูกคนโตว่า “น้องของเจ้าเหมือนตายไปแล้ว และกลับมามีชีวิตใหม่” พ่อมิได้ให้ความสำคัญที่ทรัพย์สินเงินทอง แต่พ่อกลับมองว่า การมีชีวิตกลับมายังบ้านสำคัญกว่าทรัพย์สินมากมายที่สะสมไว้ในบ้าน และทรัพย์สินที่สูญเสียไป

ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ ให้ความสำคัญที่สุดที่ “ชีวิต” เป็นชีวิตนิยม มิใช่อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง หรือ การมีทุนสะสมมาก ๆ ที่เป็น “ทุนนิยม” “วัตถุนิยม”

(3) เศรษฐศาสตร์แห่งการให้: การให้ชีวิตเพื่อคนอื่นจะได้ชีวิตใหม่ และ โอกาสใหม่

พ่อค้าชาวสะมาเรียที่เดินทางไปยังเมืองเยริโค ตัดสินใจรีบลงไปช่วยชาวยิวที่ถูกโจรปล้นและทำร้ายชีวิต เขาให้ชีวิตด้วยการให้ทุกอย่างที่เขามีในตอนนั้น เช่น ยอมให้เวลาที่ลงไปช่วยชาวยิวที่บาดเจ็บ ใช้เหล้าองุ่น ผ้าพันแผลที่มีติดตัวมารักษาคนเจ็บ เอาคนยิวที่บาดเจ็บขึ้นบนหลังลาบรรทุกเขาจนไปถึงในเมือง ใช้เงินเช่าห้องพัก และ จ้างคนดูแลในโรงแรมใช้ดูแลอย่างดี ตนจะกลับมาเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด เขายอมเสี่ยงที่จะถูกโจรทำร้ายที่ลงไปช่วยคนยิว และที่สำคัญคือ ในความสัมพันธ์ เขามองข้ามความเกลียดชังและการเหยียดหยามดูถูกที่คนยิวมีต่อคนสะมาเรีย และ มองข้ามพรมแดนความเป็นมิตรและศัตรู

ระบบเศรษฐกิจแห่งพระคุณ ที่ให้ชีวิตคือให้ทุกอย่างที่ตนมีในเวลานั้นของชีวิต เพื่อที่จะช่วยให้คนที่เราสัมพันธ์สัมผัสนั้นรอดมีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง

(4) ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ เป็นเส้นทางนำสู่ความรอด

เศรษฐีหนุ่มมาถามพระเยซูคริสต์ว่า เขาต้องทำอย่างไรถึงจะได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ พระเยซูบอกเขาว่า ให้เอาทรัพย์สมบัติที่เขามีขายแล้วนำเงินไปช่วยคนยากคนจน เขาออกจากวงสนทนาไปด้วยความทุกข์ใจโศกเศร้า ชีวิตนิรันดร์ก็อยากได้ ทรัพย์สมบัติเงินทองก็ต้องการเก็บสะสมไว้ให้มีมาก ๆ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิต ตกลงระหว่างชีวิตนิรันดร์ กับ ทรัพย์สมบัติเงินทองมากมายที่เขามีอยู่อะไรที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐีหนุ่มคนนั้น?

พระเยซูคริสต์ได้เล่าคำอุปมาเรื่องเศรษฐีโง่ ที่ต้องการสะสมทรัพย์สินเงินทองเก็บไว้เพื่อตนเอง แต่เขากลับไม่ใส่ใจว่า ชีวิตของเขาจะต้องจบสิ้นลง แล้วทรัพย์สินเงินทองที่สะสมไว้มากมายมหาศาลจะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับเขา

แต่ “ระบบเศรษฐกิจแห่งการให้” ที่พระเยซูคริสต์บอกเขา เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ชีวิตที่ไปถึงความรอด ชีวิตที่สานต่อแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกนี้

***อ่านต่อตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้***


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น