27 มกราคม 2564

ก้าวที่สี่ของการเข้าสู่การเยียวยารักษา...ตามพระสัญญา

เราต้องหันกลับจากวิถีชีวิตอันชั่วร้ายของเรา

ข้อเขียนก่อนหน้านี้กล่าวถึงย่างก้าวประชากรของพระเจ้าที่เข้าสู่การเยียวยารักษาชีวิต และ สังคมประเทศชาติ 3 ย่างก้าวคือ เราต้องถ่อมจิตใจลงสารภาพความบาปผิดของเรา ย่างก้าวที่สอง เราจะต้อง “อธิษฐานด้วยชีวิตและจากความจริงใจ ย่างก้าวที่สาม เราต้องแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้า  และ

ในข้อเขียนนี้ ย่างก้าวที่สี่ เราต้องหันกลับจากวิถีชีวิตอันชั่วร้ายของเรา 

4. เราต้องหันกลับจากวิถีชีวิตอันชั่วร้ายของเรา

“หากประชากรของเราซึ่งเรียกชื่อตามนามของเราจะถ่อมใจลงและอธิษฐาน  แสวงหาหน้าของเรา และ ‘หันกลับจากวิถีอันชั่วร้ายของเขา...” (2พงศาวดาร 7:14 อมธ.)

วิถีหรือกระบวนการนำไปสู่การเยียวรักษาในทุกมิติชีวิต และ สังคมของเรามีเงื่อนไขสี่ประการคือ  เราต้องถ่อมจิตใจลงสารภาพความบาปผิดของเรา เราต้องอธิษฐานด้วยความจริงใจ เราจะต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ และประการที่สี่ เราจะต้องหันกลับจากวิถีชีวิตอันชั่วร้ายของเรา   นั่นหมายความว่าเราจะต้องหันกลับมาหาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง

ถ้าประชากรของพระเจ้า ที่เรียกตามชื่อของพระองค์ จะถ่อมจิตใจลง อธิษฐานอย่างจริงใจต่อพระองค์ แสวงหาพระเจ้า และหันกลับจากวิถีชีวิตที่ชั่วร้ายของตน พระเจ้าจะทรงโปรดยกโทษพวกเขา และพระองค์จะทรงเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตของเขา และจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หายจากหายนะฉีกขาด

การหันกลับจากวิถีชีวิตเดิมที่ชั่วร้าย ในภาษากรีกคือการหันกลับ และ การเปลี่ยนแปลงความนึกคิดของเรา เปลี่ยนการกระทำงานในระบบประสาทของเรา คำว่าการกลับใจแปลง่าย ๆ คือการเปลี่ยนความนึกคิด หรือ ฐานคิดของเรา โดยปกติเรามักมีความคิดว่า มีคนพวกหนึ่งที่คิดไปในทางที่ชั่วร้าย และอีกพวกหนึ่งคิดไปในทางที่ดี แล้วเราก็คิดว่าตนจะคิดไปในทางที่ดี แล้วเราก็ชี้นิ้วต่อว่าพวกที่ทำในวิถีที่ชั่วร้าย การคิดเช่นนี้เป็นการคิดที่ผิดพลาดอย่างมาก ทำไมถึงว่าเช่นนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนต่างเป็นคนที่มีความคิดและอยู่บนวิถีชีวิตที่ชั่วร้าย   พระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่า มนุษย์ทุกคนต่างตกลงในความผิดบาปและขาดการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ดังนั้น เราทุกคนต่างต้องการพระผู้ช่วยให้รอดทั้งสิ้น เพราะเราก็เป็นคนชั่ว และเขาก็เป็นคนชั่วด้วย เราทุกคนต่างอยู่ในเรือความบาปชั่วลำเดียวกัน

ปัญหาคือ: เราไม่เห็นถึงความชั่วร้ายในชีวิตของเราเอง

ชัดเจนว่า เราสามารถมองเห็นถึงความชั่วร้ายของคนอื่น ๆ เราสามารถชี้ถึงความชั่วร้ายของคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาคือเราไม่สามารถเห็นถึงวิถีชีวิตที่ชั่วร้ายของตัวเราเอง

ในพระคัมภีร์มีหลายตอนที่บ่งชี้ถึงความชั่วร้ายในชีวิตของเรา แต่จะขอยกมาสักตอนหนึ่งเป็นเหมือนไม่บรรทัดที่จะวัดและตรวจสอบชีวิตของเรา จาก 2ทิโมธี 3:2-5 ที่เปาโลได้ให้ 19 วิถีชีวิตที่ชั่วร้าย และผู้คนจะมีชีวิตในลักษณะดังกล่าว เราสามารถที่จะใช้ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบชีวิตส่วนตัวของเราเองแต่ละคน เพื่อเป็นการประเมินชีวิตของตนเอง และ ตรวจสอบประเด็นชีวิตที่เราจะต้องสารภาพความผิดบาปในชีวิตของเรา มีดังนี้คือ...

“ผู้คนจะรักตนเอง รักเงิน ชอบโอ้อวด หยิ่งยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีความรัก ไม่ให้อภัย ชอบนินทาว่าร้าย ไม่มีการควบคุมตนเอง โหดร้าย ไม่รักความดี  ทรยศหักหลัง หุนหันพลันแล่น ถือดี รักสนุกมากกว่ารักพระเจ้า ยึดถือทางพระเจ้าเพียงเปลือกนอกแต่กลับปฏิเสธฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อย่าไปคบคนแบบนี้” (2ทิโมธี 3:2-5 อมธ.)

พระคัมภีร์ตอนนี้เขียนเมื่อกว่าสองพันปีก่อน ที่กล่าวถึงวิถีชีวิตที่ชั่วร้าย น่าสังเกตว่าไม่มีความแตกต่างจากวิถีชีวิตที่ชั่วร้ายของผู้คนในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ไม่ว่าเขาจะเป็นนักการเมืองหรือประชาชน ไม่ว่าเขาจะเป็นข้าราชการหรือนักธุรกิจ ไม่ว่าเขาจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง ไม่ว่าเขาจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก   ต่างเดินอยู่บนวิถีชั่วร้ายที่กล่าวมาข้างต้น

ขอตั้งข้อสังเกตว่า ในยุคที่โควิด 19 ระบาดยิ่งกระตุ้นให้เห็นชัดถึงการดำเนินชีวิตบนวิถีที่ชั่วร้ายดังกล่าวเหล่านี้อย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งแสดงออกออกมาชัดเจนมาก ๆ ในทางการเมือง เศรษฐกิจ  ความสัมพันธ์ในสังคม และวัฒนธรรมหรือวิถีการดำเนินชีวิตที่ชั่วร้ายอย่างเด่นชัดขึ้น

มีเพียงคำตอบเดียวสำหรับปัญหาที่ว่านี้ ไม่ใช่คำตอบจากทางการเมือง ไม่ใช่คำตอบจากเศรษฐกิจ ไม่ใช่คำตอบจากการศึกษา ไม่ใช่คำตอบจากทางจิตวิทยา แต่เป็นคำตอบจากชีวิตด้านจิตวิญญาณคือ จิตใจของเราจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่จากพระเจ้า มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนจิตใจของมนุษย์  

กิจการ 3:19 กล่าวไว้ว่า “ฉะนั้นจงกลับใจใหม่และหันมาหาพระเจ้าเพื่อบาปทั้งหลายของท่านจะถูกลบล้างไป และวาระแห่งการฟื้นใจจะมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” (อมธ.) และในข้อที่ 20 กล่าวต่อไปว่า  “เพื่อวาระแห่งการฟื้นชื่นจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า และเพื่อพระองค์จะประทานพระคริสต์ที่ทรงกำหนดไว้นั้นแก่ท่านทั้งหลายคือพระเยซู” (มตฐ.) เราต้องการ “การฟื้นใจที่มาจากพระเจ้า” ในยุคที่โควิด 19 ระบาดจนกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม

พระสัญญาของพระเจ้า

พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่า ถ้าเราทำตามเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้วนั้น พระองค์จะทรงกระทำ 3 สิ่งด้วยกัน  กล่าวคือ

ถ้าประชากรของเรา ที่อ้างตนว่าเป็นคริสตชน หรือ สาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์ จะถ่อมจิตใจของตนลง อธิษฐานด้วยชีวิตและจากใจจริง แสวงหาพระพักตร์พระเจ้า และหันกลับจากวิถีชีวิตที่ชั่วร้าย...

...เมื่อนั้น  (1) เราจะรับฟังเขาจากฟ้าสวรรค์ (2) จะอภัยบาปของเขา และ (3) จะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย” (2พงศาวดาร 7:14 อมธ.)

สามสิ่งที่พระเจ้าสัญญาจะกระทำคือ 

(1) เราจะรับฟังเขาจากสวรรค์
(2) เราจะอภัยบาปของเขา และ
(3) เราจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย

ขอกล่าวย้ำในตอนท้ายนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ไม่มีใครจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะพระสัญญาของพระเจ้านี้มีต่อประชากรของพระเจ้า (มิใช่มีต่อคนทั่วไป) ในยุคเรานี้เป็นพระสัญญาที่มีต่อคริสตจักร   เราจะต้องเป็นผู้ที่จะนำบนเส้นทางนี้ เราจะต้องมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง เราจะต้องถ่อมจิตใจของเราลงสารภาพความผิดบาปของเรา ไม่ใช่ใครคนอื่น ในเวลาที่ผ่านมาคริสตจักรมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เราทำให้สิ่งต่าง ๆ กลายเป็นรูปเคารพของเรา เรามีความหวังในสิ่งที่ผิดพลาด ในคนที่ผิด   แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง และสิ่งนี้จะต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา ไม่ใช่คนที่เราไม่เห็นด้วย ไม่ใช่คนที่เราไม่ชอบ ไม่ใช่คนที่เราคิดว่าเป็นตัวปัญหา  

1เปโตร 4:17 “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า...”  เมื่อพระเจ้าจะพิพากษาบรรดาประชาชาติ พระองค์จะเริ่มการพิพากษาที่พวกเรา การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้าก่อน เมื่อพระเจ้าจะพิพากษาประชาชาติใด พระองค์จะเริ่มการพิพากษาคริสตชนในประชาชาตินั้นก่อน ไม่ได้เริ่มต้นที่ใครคนอื่น ไม่ได้เริ่มต้นกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา คนละพวกกับเรา คนที่คิดต่างจากเรา แต่เริ่มต้นพิพากษาที่ตัวเราเองก่อน

1โครินธ์ 11:31 “แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา” (มตฐ.) ดังนั้น ขอเชิญชวนเราแต่ละคนมาร่วมกันในการ “ถ่อมจิตใจของเราลงสารภาพความบาปผิดของเรา และเราจะอธิษฐานด้วยความจริงใจ และเราจะแสวงหาพระเจ้า (ไม่ใช่ผลประโยชน์จากพระเจ้า) ด้วยสุดจิตสุดใจ และเราจะหันกลับมาหาพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงด้วยจริงใจ แล้วแน่นอนว่า พระเจ้าจะรับฟังพวกเราจากสวรรค์ พระเจ้าจะทรงอภัยความบาปผิดของเรา และพระองค์จะทรงรักษาแผ่นดินของเราให้หาย

นี่คือพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ ดังนั้น ความหวังของเราจึงมีในพระเจ้า   ความหวังของเราไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล นักการเมือง ผู้นำทางศาสนา แต่ความหวังของเราอยู่ในพระเจ้า คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดองค์เดียวของเรา

“...เมื่อนั้นเราจะ “รับฟังเขาจากฟ้าสวรรค์ จะ “อภัยบาป ของเขา และจะ “รักษาแผ่นดินของเขาให้หาย” (2พงศาวดาร 7:14 อมธ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น