21 มีนาคม 2555

ความรักเป็นเรื่องอะไรกันแน่: (1) รักบนความเป็นจริง  มิใช่รักที่ฝันหวาน

ที่ผ่านมาผมมีโอกาสร่วมในงานแต่งงานก็หลายครั้ง คู่บ่าวสาวได้จัดงานแต่งงานแบบหวานชื่นตั้งแต่แบบการ์ดแต่งงาน ชุดแต่งงาน ตลอดจนพิธี และงานเลี้ยงแต่งงาน แต่ก็พบหลายคู่ที่แต่งงานอย่างหวานชื่นไปได้ไม่เพียงเท่าใด กลับจบลงด้วยความขมขื่นจากชีวิตคู่ ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนี้ แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่น่าเศร้าและเจ็บปวด

สิ่งหนึ่งทีผมสังเกตเห็นทั้งในชีวิตคู่และชีวิตการเป็นสมาชิกในคริสตจักร ที่หลายครั้งคนเราติดยึดกับภาพอุดมคติมากกว่าภาพของความเป็นจริงในชีวิต เมือตัดสินใจแต่งงานบ่าวสาวมักฝันหวานคิดถึงชีวิตคู่ในอุดมคติ มากกว่าที่จะคิดถึงชีวิตบนความเป็นจริง เมื่อตัดสินใจมาเป็นสมาชิกในคริสตจักรมักฝันหวานว่าจะได้มาอยู่ในคริสตจักรที่อบอุ่น มีคนเอาใจใส่ห่วงใย เปี่ยมด้วยรักและเอื้อเฟื้อ และตนเองเป็นคนที่มีคุณค่าในคริสตจักรแห่งนั้น

เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อนศิษยาภิบาลท่านหนึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์ของท่านให้ผมฟังว่า ในคริสตจักรแห่งหนึ่งที่ท่านไปรับใช้ ท่านได้ทำงานกับคณะธรรมกิจคริสตจักรที่ดูเหมือนไม่เห็นด้วยกัน มีแต่ความขัดแย้ง จนธรรมกิจที่เป็นสตรีท่านหนึ่งพูดโพล่งอย่างฉุนเฉียวออกมาว่า “มีอะไรผิดปกติในคณะธรรมกิจของเราแน่! ดิฉันคิดว่า เราน่าจะทำงานอย่างคนในครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือ?”

ผมคิดในใจว่า ใช่ครับ และนี่คือปมของปัญหา! ผมขอถามหน่อยเถิด มีสักกี่ครอบครัวที่คุณเห็นว่าไม่เคยมีการขัดแย้งรุนแรงมาก่อน? ธรรมกิจสตรีท่านนี้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงในคริสตจักรซึ่งแตกต่างอย่างมากจากคริสตจักรในอุดมคติของเธอ เมื่อเธอต้องตกอยู่ในสภาพความจริงที่ขัดแย้งกับความคิดคาดหวังตามอุดมคติ เธอต้องเลือกว่าเธอจะยังอยู่เผชิญหน้ากับความเป็นจริง/ชีวิตจริงในคริสตจักรแห่งนี้ที่มีแต่ความยุ่งเหยิงสับสน หรือเธอจะเลือกออกจากคริสตจักรนี้แล้วแสวงหาคริสตจักรที่มี “ทุ่งหญ้าที่เขียวขจี” ที่เป็นแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์สำหรับจิตวิญญาณของเธอตามอุดมคติ ความฝันคริสตจักรในอุดมคติของเธอจะได้รับการทนุถนอมจนถึงวันที่เธอพบและมีปฏิสัมพันธ์กับความเป็นจริง ชีวิตจริงในคริสตจักรแห่งใหม่

สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมในพระคัมภีร์ของเราคือ เรื่องราวชีวิตในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องราวความจริงของชีวิต เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เราจะเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าชีวิตจริงมันเป็นเช่นไร หลายคนฝันหวานอยากให้คริสตจักรของตนมีชีวิตเฉกเช่นคริสตจักรในสมัยเริ่มแรกในพระคัมภีร์ ถ้าคาดฝันเช่นนี้คนๆนั้นคงต้องกลับไปอ่านเรื่องราวคริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่อีกสักครั้ง แล้วจะพบว่า พระคัมภีร์บันทึกถึงคริสตจักรตามความเป็นจริงที่เกิดความขัดแย้งและทะเลาะกันในคริสตจักร

แต่ในเวลาเดียวกัน คริสตจักรในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็บันทึกถึงเส้นทางบนความเป็นจริงในการแก้ไขและบริหารจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคริสตจักร พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำสอนและชี้แนะถึงวิธีการอย่างชัดเจน เฉพาะเจาะจง และได้ให้หลักการที่จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงสับสนจากความขัดแย้งในคริสตจักร และหลักการที่สำคัญที่สุดที่พระคัมภีร์ให้แก่เราในการแก้ไขจัดการความสับสนยุ่งเหยิงจากความขัดแย้งในคริสคริสตจักรคือหลักการแห่งความรัก

อย่างที่เราท่านทราบดีกันอยู่แล้วว่า ใน 1โครินธ์ บทที่ 13 เป็นพระคัมภีร์บทที่ว่าด้วยเรื่องความรัก ในพระธรรมบทนี้ใช้คำว่า อากาเป้ (agape) เป็นคำหนึ่งในหลายคำที่มีความหมายถึงความรัก แต่ อากาเป้ เป็นความรักในลักษณะที่ ให้และเสียสละ ซึ่งใช้ถึง 9 ครั้งในพระธรรมบทนี้ เป็นการใช้คำว่า อากาเป้ มากกว่าที่ใช้ในพระกิตติคุณทั้งสี่รวมกันเสียอีก นอกจากในพระธรรม 1ยอห์น บทที่ 4 ที่ใช้คำว่า อากาเป้ บ่อยครั้ง แน่นอนครับถ้าเราต้องการที่จะรู้จักคำว่า “รัก” เราต้องศึกษาจากพระธรรม 1โครินธ์ บทที่ 13

สิ่งที่เราพบบ่อยครั้งที่มีการใช้พระธรรมตอนนี้ในพิธีการแต่งงาน (และบางครั้งก็ใช้จากพระธรรมโคโลสี 3:12-17) ผมถามในใจว่า เมื่อศาสนาจารย์ประกอบพิธีแต่งงานใช้พระธรรม 1โครินธ์ในพิธีแต่งงาน คู่บ่าวสาวได้ให้ความสนใจอย่างแท้จริงในพระธรรมตอนนี้มากน้อยแค่ไหน

แน่นอนครับ พระธรรมตอนนี้พูดถึงเรื่องความรัก แต่ความรักตามบริบทในพระธรรมตอนนี้มิใช่ความรักแบบฝันหวานชื่นฉ่ำ แต่แท้จริงแล้วพระธรรมตอนนี้กำลังพูดถึงความรักที่ตรงกันข้ามกับความรักที่ฝันหวานหรือความรักแต่ลมปาก แต่กำลังพูดถึงความรักในความเป็นจริง ความรักในชีวิตจริง กำลังพูดถึงความรักที่ติดดิน ในพระธรรม 1โครินธ์บทนี้มิได้พูดถึงความรักที่ที่มีความสุข อัศจรรย์ เต็มด้วยความชื่นมื่น แต่ถ้าเรามีโอกาสศึกษาลงลึกอย่างถ่องแท้ในพระธรรมบทนี้ เราจะเห็นว่า ความรักเป็น เรื่องหนัก เรื่องยาก เป็นยาขมหม้อใหญ่ ความรักไม่ใช่เรื่องสนุกสุขสันติเสียแล้ว แต่อย่างไรก็ตามสำหรับส่วนตัวแล้วเห็นควรที่จะใช้พระธรรมตอนนี้ในงานแต่งงาน เพราะเป็นการมองทะลุผ่านความรักแบบฝันหวาน ความรักที่พึ่งอิงอยู่กับความรู้สึก แต่พูดถึงความรักในชีวิตจริงนั้นเป็นเช่นไร

เปาโลกล่าวว่า
“ความรักนั้นก็อดทนนาน และ
มีใจปราณี
ความรักไม่อิจฉา
ไม่อวดตัว
ไม่หยิ่งผยอง
ไม่หยาบคาย
ไม่เห็นแก่ตัว
ไม่ฉุนเฉียว
ไม่ช่างจดจำความผิด
ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม
แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
ความรักทนได้ทุกอย่าง
เชื่ออยู่เสมอ
มีความหวัง และ
มีความทรหดอดทนอยู่เสมอ...” (1โครินธ์ 13:4-7 ฉบับมาตรฐาน)

แน่นอนครับ พระธรรม 1โครินธ์ บทที่ 13 เปาโลมิได้เขียนขึ้นเพื่อใช้ในงานแต่งงาน แต่ท่านเขียนถึงสมาชิกคริสตจักรโครินธ์ที่กำลังถกเถียงเสียงดังท่ามกลางความขัดแย้งและการเอาแพ้เอาชนะกัน ใช่แล้วครับเปาโลเขียนพระธรรมตอนนี้สำหรับคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ขัดแย้ง ทะเลาะ ทุ่มถียง คนที่กำลังคิดแผนวางอุบายเอาแพ้เอาชนะกันในคริสตจักรครับ ท่านกำลังพูดถึงความรักท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่สามารถที่จะรัก และนี่คือสถานการณ์จริงที่ต้องการความรักในการเยียวยาบาดแผลชีวิตคริสเตียน ชีวิตคริสตจักร และชีวิตองค์กรคริสเตียน

ถ้าคริสเตียนมีคุณลักษณะ 15 ประการตามข้างบนนี้ ท่านคิดว่าคริสเตียนยังจะขัดแย้ง โต้เถียง และทะเลาะกันต่อไปหรือไม่?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่ 081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น