14 มีนาคม 2555

เราคิดและเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นผู้นำคริสเตียนอย่างไร?: เมื่อคริสเตียนทะเลาะและขัดแย้งกัน(2)

เมื่อศิษยาภิบาล หรือ ผู้นำคริสตจักร หรือองค์กรคริสเตียนต้องตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่มีท่าทีนำสู่ความแตกแยกขององค์กรเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งที่จะแสวงทางออกที่ดีที่ควร ที่เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผมมีโอกาสอ่านประสบการณ์ของศิษยาภิบาลท่านหนึ่งที่อยู่ในคริสตจักรเพรสไบทีเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประสบกับความขัดแย้งในคริสตจักรที่เขาเป็นศิษยาภิบาลในเวลานั้น และเป็นความขัดแย้งกับผู้ร่วมทีมอภิบาลของเขาเอง ท่านบอกว่าในเหตุการณ์นั้นได้สร้างความยุ่งยากลำบากมากยิ่งครั้งหนึ่งในชีวิตการเป็นศิษยาภิบาลของท่าน

ท่านเกิดความขัดแย้งอย่างแรงกับสตรีท่านหนึ่งที่ร่วมทีมอภิบาลในคริสตจักร ตามมุมมองของศิษยาภิบาลท่านนี้เห็นว่าเพื่อนสตรีร่วมทีมอภิบาลมิได้ทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในหลายๆ เรื่อง แต่ตามมุมมองของเพื่อนสตรีที่ร่วมในทีมอภิบาลมองว่า ศิษยาภิบาลท่านนี้หยิ่งยโสและไม่สนับสนุนเธอในการทำงาน ศิษยาภิบาลท่านนี้พยายามทุกหนทางที่จะหาทางแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งนี้ แต่เรื่องกลับเลวร้ายลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คิด

เพื่อเป็นการง่ายในการเล่าเรื่องนี้ผมขอสมมุติชื่อของศิษยาภิบาลท่านนี้ว่า มิคาเอล ส่วนเพื่อนสตรีที่อยู่ในทีมอภิบาลสมมุติชื่อว่า โจเซฟีน ในเวลาที่กำลังขัดแย้งกันนี้ โจเซฟีนพยายามชักชวนผู้คนให้อยู่ข้างเธอและสนับสนุนเธอ เธอไปเล่าและบ่นว่า มิคาเอลกระทำไม่ดีต่อเธอ เธอจะไปหาสมาชิกคริสตจักรที่ค่อนข้างเก็บตัวและบอกพวกเขาว่า มิคาเอลกำลังวางแผนที่จะไล่เธอออกจากงาน เธอพยายามที่จะแบ่งแยกผู้คนในคริสตจักรและดูเหมือนว่าการกระทำของเธอกำลังได้ผล มิคาเอลยอมรับว่าในภาวการณ์เช่นนี้หลอกล่อและกระตุ้นยุยงให้เขากระโดดลงเล่นเกมที่โจเซฟีนเดินเกมไว้ ทำให้มิคาเอลต้องการหาผู้คนสนับสนุนและอยู่ฝ่ายเขาบ้าง เขาต้องการให้คนในคริสตจักรรู้ถึงความจริงเพื่อที่จะได้ช่วยปกป้องเขา คนในคริสตจักรส่วนใหญ่เริ่มเข้าข้างสนับสนุนมิคาเอลผู้เป็นศิษยาภิบาล สถานการณ์ของคริสตจักรแห่งนี้ไม่แตกต่างอะไรกับสถานการณ์คริสตจักรในพระธรรม 1 โครินธ์

ทุกเรื่องทุกอย่างถูกนำเข้าสู่การประชุมคณะธรรมกิจ ในการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมที่ยากลำบากสุดๆ ในชีวิตของมิคาเอล คณะผู้ปกครองคริสตจักรเสนอให้โจเซฟีนออกจากงาน หลายคนในสัปปุรุษวิจารณ์การบริหารงานของศิษยาภิบาลมิคาเอลตามข้อมูลบอกเล่าจากโจเซฟีน ผู้วิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นต่างยืนยันว่าเป็นการวิพากษ์กล่าวว่าบนฐานข้อมูลความจริง ในตอนนั้นศิษยาภิบาลมิคาเอลเกิดความรู้สึกที่ต้องการจัดการเพื่อที่จะพิสูจน์ชัดเอาชนะเกมของโจเซฟีน แต่โดยพระคุณของพระเจ้า ศิษยาภิบาลได้ปรึกษากับผู้ปกครองคริสตจักรบางท่านเขาจึงไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกระตุ้นให้สู้ มิคาเอลยอมรับคำตำหนิและจะนำไปปรับปรุงการทำงานของตนทั้งๆ ที่เป็นการกล่าวร้ายป้ายสี มิคาเอลเปิดใจยอมรับฟังคำวิจารณ์ของผู้คนถึงความผิดพลาดในการทำงานของตน มิคาเอลบอกว่าพูดกันตรงๆ แล้วในเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาได้รับการทรมานสุดแสนสาหัส

แต่เพราะเขาสำนึกได้ว่างานการอภิบาลคือการที่จะช่วยให้คริสตจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสต์ มิใช่เพื่อแบ่งแยกแล้วนำมาปกป้องตนเอง หรือพิสูจน์ตนเองว่าเป็นฝ่ายถูก หรือมิใช่เพื่อการที่จะเอาแพ้เอาชนะ หลายคนในคริสตจักรที่ยืนเคียงข้างศิษยาภิบาลมิคาเอลก็รู้สึกเช่นนั้น พวกเขาสามารถยืนขึ้นเพื่อพิสูจน์ปกป้องศิษยาภิบาลมิคาเอล แต่เขารู้ว่ามิใช่เวลาที่จะทำเช่นนั้น เขายอมนั่งเงียบอย่างชาญฉลาด และปฏิเสธจะลุกขึ้นสู้และถล่มอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งถ้าเขาทำเช่นนี้ก็จะสร้างบาดแผลที่ฉกรรจ์แก่ชีวิตคริสตจักร

ที่สุดของความขัดแย้งนี้ สัปปุรุษลงมติให้โจเซฟีนออกจากงาน ในเวลานั้นศิษยาภิบาลมิคาเอล มิได้ รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายชนะ หรือ สามารถแก้เผ็ดคนทำลายเขาได้สาสม แต่มิคาเอลกลับมีความรู้สึกอับอายและหมดแรง เพื่อนๆ หลายคนในคริสตจักรได้เข้ามาให้กำลังใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเหมือนเขาใช้สัปปุรุษบีบให้โจเซฟีนต้องออกจากงาน

สืบเนื่องจากการประชุมสัปปุรุษครั้งยุ่งยากใจที่สุดมีสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ออกไปจากชุมชนคริสตจักร มิคาเอลแปลกใจมากเพราะเขาคาดว่าผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงกว่านี้ หลังจากนั้นมีหลายคนที่เคยตำหนิมิคาเอลในที่ประชุมสัปปุรุษได้เข้ามาขอโทษศิษยาภิบาล เพราะพวกเขาเพิ่งมารู้ว่าเรื่องของโจเซฟีนจริงๆ นั้นเป็นเช่นไร

ผลที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่นี้ มิใช่การที่ผู้คนเคารพนับถือและรักศิษยาภิบาลมากขึ้น แต่ผลดียิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้คือสมาชิกคริสตจักรเกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น มิคาเอล เองก็ไม่สามารถอธิบายว่าผลดีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พูดได้แต่ว่านี่เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า แต่ศิษยาภิบาล มิคาเอลรู้ว่าความมุ่งมั่นพยายามของเขาและคนที่สนับสนุนเขามุ่งไปที่พระเยซูคริสต์ แต่มิใช่ที่ตัวศิษยาภิบาลหรือที่จะช่วยศิษยาภิบาล ด้วยความมุ่งมั่นเช่นนี้เองที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายกลับเกิดผลดีผลบวกแก่ชีวิตคริสตจักร มิคาเอล บอกว่า เมื่อเขาทบทวนประสบการณ์ที่ได้รับจากสถานการณ์ที่เลวร้ายและยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขาครั้งนั้น เขาเรียนรู้ว่าในสถานการณ์ความขัดแย้งแตกแยกเช่นนั้น เขาเองต้องยอมตนถ่อมตัวลงอย่างที่สุดกว่าที่เคยเป็นมาก่อน ในภาวการณ์เช่นนั้นจำเป็นต้องวางใจในพระเจ้ามากกว่าพึ่งพาความสามารถในการชักชวนโน้มน้าวผู้คนให้อยู่ข้างตน หรือใช้ความสามารถในบริหารจัดการวิกฤติยุ่งยากในชีวิต

ถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งแตกแยก ให้มองไปที่บทบาทของผู้นำในภาวะความขัดแย้งนั้น ถ้ามองเห็นท่าทีที่จะต้องการต่อสู้เอาแพ้เอาชนะ เราไม่ควรเข้าไปร่วมในกระบวนการนั้น และยิ่งเราเป็นศิษยาภิบาล หรือ ผู้นำองค์กรคริสเตียนก็จะยิ่งยุ่งยากมากกว่า เราจะต้องมุ่งมั่นเลือกเอาบทบาทคนรับใช้ของเจ้านายคือองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ทุ่มเทชีวิตจิตใจและเวลาของเราแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคริสตจักร หรือองค์กรคริสเตียนที่เรารับผิดชอบ แสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวในคริสตจักรและองค์กรคริสเตียนแทนการแบ่งพวกแตกแยก กระทำทุกหนทางที่จะให้คริสตจักรและองค์กรคริสเตียนเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในพระคริสต์ ให้มุ่งมองไปที่พระคริสต์ในฐานะที่ท่านเป็นคนใช้ของพระองค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-289-4499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น