19 มีนาคม 2555

วิธีที่ไม่แก้ปัญหา: เมื่อคริสเตียนทะเลาะและขัดแย้งกัน(2)

1เมื่อมีใครในพวกท่านเป็นความกัน เขากล้าไปรับการพิพากษาจากคนไม่ชอบธรรม แทนที่จะรับจากธรรมิกชนหรือ? 2ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าธรรมิกชนจะพิพากษาโลก? และถ้าพวกท่านจะพิพากษาโลก ท่านไม่เหมาะจะพิพากษาเรื่องเล็กน้อยหรือ? 3พวกท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าเราจะพิพากษาพวกทูตสวรรค์? ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งควรจะพิพากษาเรื่องของชีวิตนี้ 4เมื่อเป็นความกันในเรื่องชีวิตนี้ พวกท่านจะตั้งคนที่คริสตจักรไม่ยอมรับให้ตัดสินหรือ? 5ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อให้ท่านละอายใจ ในพวกท่านไม่มีสักคนหนึ่งที่มีสติปัญญาสามารถวินิจฉัยเรื่องระหว่างพี่น้องหรือ? 6แต่พี่น้องกับพี่น้องต้องถูกพิพากษาต่อหน้าคนที่ไม่มีความเชื่ออย่างนั้นหรือ? 7อันที่จริง เมื่อไปเป็นความกันพวกท่านก็ตกจากระดับที่ควร ทำไมท่านจึงไม่ยอมทนต่อการร้ายเสียดีกว่า? ทำไมท่านจึงไม่ยอมถูกโกงเสียดีกว่า? 8แต่พวกท่านกลับทำร้ายกัน และโกงกันแม้กระทั่งพี่น้อง (1โครินธ์ 6:1-8 ฉบับมาตรฐาน)

ครั้งที่แล้ว เราได้ร่วมกันพิจารณาว่า คริสเตียนไม่ควรแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการนำเรื่องไปขึ้นโรงขึ้นศาลให้ผู้ที่มิได้มีความเชื่อในพระเจ้าเป็นผู้ตัดสินคดีความขัดแย้งของคริสเตียน

ในยุคนี้คริสเตียนดำเนินชีวิตไปตามกระแสสังคมวัฒนธรรมมากกว่าดำเนินชีวิตไปตามพลังชีวิตแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้มีอะไรที่ขัดแย้งกัน หรือ ขัดผลประโยชน์ ขัดอำนาจกันมักนำเรื่องเหล่านั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล และหลายต่อหลายครั้งเรื่องที่ฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลมักเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยไม่เป็นสาระ และคนในสมัยนี้มักไวต่อความรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนเสียเปรียบ คนอื่นได้เปรียบ แล้วได้รับการหล่อหลอมว่าเมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เรายอมรับไม่ได้ และถูกสอนให้ทำทุกวิถีทางเพื่อเราจะอยู่ในฐานะที่ไม่เสียเปรียบ ใช้หรือปกป้องสิทธิส่วนบุคคล และช่วงชิงความได้เปรียบ และนั่นทำให้บ่อยครั้งที่คริสเตียนด้วยกันก็ลงเอยด้วยการฟ้องร้องกันที่ศาล

เมื่อมีความขัดแย้งและทะเลาะกันในชุมชนคริสเตียน แล้วมีผู้เสนอว่าเราควรกระทำตามพระธรรม 1โครินธ์ บทที่ 6 คริสเตียนบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย บางรายถึงกับไม่พอใจ บางคนอาจจะคิดในใจว่า วิธีการนี้มันไม่เถรตรง หรือ ขวานผ่าซากมากไปหน่อยไหม?

ขออนุญาตอธิบายว่า มิได้หมายความว่าคริสเตียนไม่ควรฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลในทุกกรณี สำหรับผมแล้วมีกรณีที่จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะนอกจากจะเป็นการกระทำที่ขัดขืนต่อพระบัญญัติของพระเจ้าแล้วยังเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองด้วย ตัวอย่างเช่น พระ หรือ ผู้นำศาสนากระทำผิดต่อการล่วงละเมิดทางเพศ การฉ้อฉลยักยอกทรัพย์สินเงินทอง การหลอกลวงให้คนถวายเงินแล้วตนเองนำไปเป็นของตน และ ฯลฯ เป็นต้น ในลักษณะเช่นนี้ถ้าสามารถตักเตือน แก้ไข ลงโทษกันในคริสตจักรได้ก็ควรกระทำก่อน แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ เพราะเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองสังคมอาจจะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายเพราะความถูกต้องเหมาะสมต่อสังคม

แต่คริสเตียนจะไม่ใช้กระบวนการฟ้องร้องเอาความกันบนศาลเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคริสเตียนด้วยกัน อย่างไรก็ตามวิธีการแก้ไขความขัดแย้งด้วยการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลขอเป็นวิธีสุดท้ายเมื่อพยายามวิธีอื่นๆ ทั้งหลายแล้วไม่เกิดผล

ยิ่งกว่านั้นในฐานะคริสเตียน เราควรมีจุดยืนจุดเชื่อว่าบางครั้งจำเป็นที่เราจะยอม “เสีย” มากกว่าที่จะฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล ผมมีเพื่อนคริสเตียนคนหนึ่งเขาถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมจากองค์กรที่เป็นคริสเตียน ซึ่งจากเรื่องราวและเอกสารต่างๆ เขาสามารถฟ้องร้องศาลแรงงานและศาลแพ่งเพื่อขอความเป็นธรรมและเรียกค่าเสียหาย และเขามีโอกาสชนะในคดีความนี้อย่างสูง แต่ในที่สุดเขาตัดสินใจไม่ใช่วิธีการฟ้องร้องแม้จะมีแนวโน้มที่จะชนะก็ตาม เพราะเขายึดมั่นตามหลักการในพระธรรม 1โครินธ์ บทที่ 6 อย่างจริงจัง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เขาไม่ต้องการทำร้ายองค์กรคริสเตียนแห่งนั้นที่เขาร่วมสร้างมากับมือให้ได้รับบาดแผลเพราะการสู้กันเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องชอบธรรมของตนเอง ถึงแม้ว่า คณะกรรมการอำนวยการขององค์กรนั้นสร้างความเจ็บปวดมากมายแก่เขาก็ตาม และนี่คือการกระทำที่เสียสละตามแบบอย่างของพระคริสต์

จากตัวอย่างเรื่องของเพื่อนคนนี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงการที่เราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงสอนว่า เมื่อเราถูกตบหน้าให้เราหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้ ถ้าเราถูกเกณฑ์ให้แบกของไป 1 กิโลก็ให้แบกไป 2 กิโลเมตร (มัทธิว 5:39-41) พระคริสต์ทรงสำแดงแบบอย่างในการสละชีวิตของพระองค์เองด้วยการยอมสิ้นพระชนม์บนกางเขน คำสอนและแบบอย่างชีวิตเช่นนี้ของพระคริสต์ช่างสวนทางกับความปรารถนาในชีวิตของคริสเตียนเราเหลือเกิน เพราะเราถูกครอบงำจนปรารถนาทำตามกระแสวัฒนธรรมแห่งการแก้แค้น แก้เผ็ด เอาชนะให้ได้ ต้องอยู่เหนือกว่า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนให้เราทั้งด้วยวจนะและแบบอย่างชีวิต ว่าให้เรายอม ให้ยอมเสียชีวิตของเราเพื่อเราจะได้ชีวิตที่แท้จริง ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่ครบบริบูรณ์

เมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งทะเลาะกับคริสเตียนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งส่วนตัว ความขัดแย้งในอาชีพการงาน หรือความขัดแย้งในชีวิตและพันธกิจคริสตจักร วิธีที่ไม่แก้ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวคือ การฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล (แต่นี่ผมไม่ได้หมายความว่า นักกฎหมาย ทนายความไม่มีประโยชน์สำหรับคริสตจักร แต่ทนายความคริสเตียนที่ดีเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างมากที่จะให้คู่กรณีที่ขัดแย้งกันสามารถหาทางออกที่ดีโดยไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล และผมรู้จักทนายความหลายท่านที่ทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี)

การฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลมิใช่ทางเลือกแรก ที่สอง หรือ ทางเลือกที่สาม สำหรับเราที่เป็นคริสเตียน เพราะชุมชนคริสตจักรเป็นผู้ที่จะทำหน้าที่ให้สิ่งที่ถูกหรือผิดสามารถเข้าใจและปรองดองกันบนรากฐานแห่งความรักเมตตาและการให้อภัยตามแบบอย่างของพระคริสต์ แต่ถ้าคริสตจักรละเลย หรือ มิได้ยืนหยัดบนจุดยืนนี้ย่อมเปิดช่องทางให้คริสเตียนฟ้องร้องคริสเตียน และในที่สุดคริสเตียนต้องไปให้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเป็นผู้ตัดสินผิดถูกให้คริสเตียน ตัดสินความขัดแย้งตามกฎหมายแต่ขาดรากฐานตามความเชื่อศรัทธา และจุดยืนบนพระกิตติคุณของพระคริสต์

ก่อนที่เราจะไปแจ้งความ หรือ ไปปรึกษานักกฎหมายหรือทนายความเพื่อนำเรื่องความขัดแย้งขึ้นสู่ศาล เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษากับพระเจ้าว่า พระองค์ประสงค์ให้เราฟ้องร้อง หรือ ให้ยอม “ที่จะเสีย” ผมรู้ว่าความคิดเห็นเช่นนี้มันดูแปลก แต่ถ้าดูตามคำสอนใน 1โครินธ์ บทที่ 6 และคำสอนและตัวอย่างชีวิตของพระคริสต์ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทูลถามพระเจ้าว่า พระองค์ต้องการให้เราสู้ หรือยอมที่จะไม่สู้และดูเหมือนว่าเป็นผู้แพ้ แน่นอนว่าถ้าเราเลือกตามที่พระเจ้าทรงชี้นำ บางครั้งเราจะต้องยอมสูญเสียชื่อเสียง ความพึงพอใจของเรา ใช่ครับเราอาจจะต้องชะงักในความก้าวหน้า หรือ สูญเสียด้านทรัพย์สินเงินทองและเรื่องอื่นๆ แล้วเราจะได้รับผลอย่างไร? คริสตจักรของพระเยซูคริสต์จะได้อะไร? แน่นอนครับ จะเป็นการคุ้มค่าอย่างยิ่งที่เรายอมสูญเสียเช่นนี้ เพราะเรามิได้ปกป้องรักษาตนเอง แต่เราปกป้องคุ้มครององค์กรคริสเตียน และ คริสตจักรไว้ได้ด้วย

ครั้งก่อนเราพูดคุยกันถึงเรื่องของศิษยาภิบาลนามสมมติว่า บารนาบัส ถูกผู้ปกครองคริสตจักรฟ้องร้องต่อศาลที่เขาเปลี่ยนแปลงวิธีการในการนมัสการของพระเจ้าในคริสตจักร เมื่อบารนาบัสรับทราบถูกฟ้องร้องเขามิได้ไปปรึกษาว่าจ้างทนายความต่อสู้คดี แต่เขากลับโทรศัพท์หาผู้ปกครองคริสตจักรท่านนั้นและบอกว่า เขาไม่ต้องการที่จะตอบโต้สู้ในเรื่องนี้ “เพราะผมเป็นพี่น้องในพระคริสต์ของท่าน ให้เราหาทางออกในเรื่องนี้ตามวิถีทางของพระเจ้า” แต่เมื่อผู้ปกครองคริสตจักรท่านนั้นปฏิเสธ บารนาบัสไปปรึกษากับผู้ปกครองคริสตจักรบางท่านเพื่อไปช่วยพูดคุยกับผู้ปกครองที่ฟ้องร้องตน ในการไปพูดคุยกันครั้งนั้น ผู้ปกครองที่ไปเจรจาได้อ้างจุดยืนตามพระธรรม 1โครินธ์ บทที่ 6 และขอร้องให้ผู้ปกครองท่านนั้นกระทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ และพวกผู้ปกครองพร้อมเป็นผู้ดำเนินการให้เกิดการคืนดีขึ้น ในที่สุดผู้ปกครองท่านนั้นยอมถอนฟ้อง ถึงแม้ว่าบารนาบัสและผู้ปกครองท่านนั้นจะมีความคิดเห็นการนมัสการที่ไม่เหมือนกัน แต่เขาทั้งสองสามารถอยู่ด้วยกันในคริสตจักรเพราะต่างก็เป็นสาวกผู้ติดตามพระคริสต์โดยไม่ต้องใช้การฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลในการตัดสินความขัดแย้ง

ส่วนมากที่เราท่านรู้กันเรื่องความขัดแย้งมักไม่ได้จบลงอย่างหวานชื่นเช่นนี้ บ่อยครั้งที่ผู้ปกครองในหลายคริสตจักรก็ยังมีความคิดที่จะเอาแพ้เอาชนะในคริสตจักร เมื่อก้าวไปแล้ว...ถอยไม่ได้จะเสียหน้า คริสเตียนจึงกลายเป็นผู้ที่ล้มเหลวในการกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า

เมื่อเกิดความขัดแย้งในคริสตจักรหรือในองค์กรคริสเตียน สิ่งแรกที่เราต้องยึดปฏิบัติคือเราจะกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า เราพยายามทุกวิถีทางที่จะแก้ไขจัดการความขัดแย้งด้วยกระบวนการในคริสตจักรของเรา แต่ถ้าการพูดคุยเจรจาประสบความล้มเหลว คงมีช่วงที่พระเจ้าจะทรงเรียกให้เรายอม “เสีย” และสละตนเอง เพื่อเราจะได้ชุมชนคริสตจักรที่เป็นแผ่นดินของพระเจ้า คือการที่มีชีวิตอยู่ภายใต้การครอบครองของพระเจ้า และความเจริญเข้มแข็งแห่งจิตวิญญาณของเรา

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น