07 มีนาคม 2555

คริสตจักรของใครกันแน่?: เมื่อคริสเตียนทะเลาะและขัดแย้งกัน

ในครั้งก่อนเราร่วมกันพิจารณาถึงกระบวนทัศน์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคริสตจักร และจดหมาย 1โครินธ์ ก็เป็นจดหมายที่อัครทูตเปาโลพยายามหาแนวทางในการแก้ไขความขัดแย้งและการโต้เถียงกันท่ามกลางคริสเตียนในคริสตจักรโครินธ์ ซึ่งเป็นคริสตจักรหนึ่งในสมัยคริสตจักรเริ่มแรก

ก่อนที่จะร่วมกันพิจารณาถึงแนวทางการแก้ไขความขัดแย้งในคริสตจักรโครินธ์ เราน่าสังเกตว่าอัครทูตเปาโล กล่าวถึงคริสตจักรโครินธ์ในตอนเริ่มต้นจดหมายไว้ว่าอย่างไร ท่านเขียนว่า “เรียน คริสตจักรของพระเจ้าในเมืองโค-รินธ์...” คำว่า “คริสตจักร” ในที่นี้แปลจากภาษากรีกคำว่า “เอเคลเซีย” (ekklesia) ซึ่งมีความหมายว่า “การชุมนุม การรวมตัวกัน” หรือ “การประชุมกัน” ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันในสังคมทั่วไปที่เมืองโครินธ์สมัยนั้นด้วย โดยมีความหมายถึงการที่มาชุมนุมประชุมร่วมกันเพื่อการออกเสียงโหวตเรื่องในเรื่องหนึ่งของประชาชนคนโครินธ์ เปาโลไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงการชุมนุมกันของชาวเมืองโครินธ์ ซึ่งในสมัยนั้นง่ายที่ผู้คนจะเข้าใจผิดว่าคริสตจักรก็เป็นเหมือนชุมนุมชนเมืองโครินธ์ที่ร่วมกันเพื่อการออกเสียง ใช้สิทธิ์ทาง “การเมือง” แต่เปาโลเริ่มต้นจดหมายของท่านบ่งชี้ชัดเจนว่า ท่านเขียนจดหมายถึง “คริสตจักร (ชุมนุมชน ekklesia) ของพระเจ้าในเมืองโครินธ์”

เปาโลนอกจากที่บ่งชี้ชัดเจนว่า คริสตจักรโครินธ์นั้นแตกต่างจากชุมชนคนโครินธ์ที่มาใช้สิทธิออกเสียงแล้ว ท่านยังบอกให้คริสเตียนโครินธ์รู้จักว่า “ใครคือเจ้าของ” ชุมนุมคริสตจักรโครินธ์ คำตอบคือ พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของชุมชนคริสตจักรโครินธ์ คริสตจักรมิใช่อีกชุมชนทางศาสนา หรือ อีกชุมชนหนึ่งที่มีมากมายหลากหลายในเมืองโครินธ์สมัยนั้น ที่ตั้งขึ้นและมีสมาชิกแล้วมีคนในชุมชนนั้นนำการขับเคลื่อนชมรมหรือองค์กรที่ตั้งขึ้น แต่ท่านเปาโลเน้นย้ำว่า คริสตจักรเป็นชุมนุมชนที่พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของในทุกระดับหรือมิติชีวิตของคริสตจักร และในตอนท้ายของจดหมายของท่านเปาโลยังบ่งชี้ลงชัดว่าแม้แต่ร่างกายของแต่ละคนในชุมนุมชนคริสตจักรก็เป็นของพระเจ้าด้วยเช่นกัน

อัครทูตเปาโลกล่าวย้ำในประเด็นนี้ตอนท้ายของบทนำจดหมายว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อ พระองค์ทรงเรียกพวกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (1:9) ข้อสังเกตประการแรกคือ ในการที่สมาชิกคริสตจักรเข้ามาร่วมสามัคคีธรรมในชุมนุมชนคริสตจักรโครินธ์มิใช่เพราะเขาสมัครเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกด้วยตนเอง แต่เปาโลเน้นย้ำว่าที่เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมนุมชนคริสตจักรโครินธ์เพราะ “พระเจ้าทรงเรียก” ให้เข้ามาร่วมในสามัคคีธรรมในคริสตจักร พวกเขาเข้ามาเป็นสมาชิกของคริสตจักรโครินธ์ “ด้วยการทรงเลือก” ของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เขาคนนั้นมิได้เป็นเพียงคนๆ หนึ่งขององค์กรนั้น แต่เขาร่วมในสามัคคีธรรมที่ได้ก่อตั้งขึ้นโดยพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นเจ้าของสามัคคีธรรมนั้น

ในบทนำของจดหมาย 1โครินธ์ เปาโลเน้นย้ำถึงสองครั้งด้วยกันว่า ชุมนุมชนคริสตจักรโครินธ์มิใช่ชุมนุมชนของพวกเขา แต่เป็นชุมนุมชนของพระเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ และในช่วงท้ายของจดหมายนี้เปาโลได้อธิบายว่า ที่คริสตจักรขับเคลื่อนและมีชีวิตอยู่นี้เพราะเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้า (12:12-13) นี่คือหลักการความจริงรากฐานของคริสตจักร และที่ท่านเปาโลตั้งใจเน้นย้ำเรื้องนี้ก็เพราะมีส่วนที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาความขัดแย้งท่ามกลางคริสเตียนด้วยกัน

เมื่อเราเชื่อมโยงประเด็นนี้ของอัครทูตเปาโลกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางคริสเตียนด้วยกันในทุกวันนี้ เมื่อเราเกิดความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกันกับคริสเตียนคนอื่นๆ เวลานั้นเราพึงสำนึกและตระหนักรู้ชัดเจนว่าเราคือใคร เราเป็นของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ และนี่เป็นความจริงทั้งในระดับชีวิตส่วนบุคคลและชีวิตที่ร่วมกันเป็นชุมชนคริสตจักรด้วย จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามความจริงก็คือชุมชนคริสตจักรเป็นของพระเจ้า คริสตจักรก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้า ที่ครอบครองและปกครองโดยพระเจ้า ที่มีพระเจ้าเป็นเจ้าของ

ดังนั้น เมื่อเราเกิดความขัดแย้งสู้กันกับผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกในคริสตจักรเดียวกับท่านหรือในคริสตจักรอื่นๆ สิ่งแรกที่เราพึงระลึกเสมอคือ คริสตจักรไม่ใช่ของเรา หรือ เราไม่ได้เป็นเจ้าของคริสตจักร และคริสตจักรก็ไม่ได้เป็นของคนที่อยู่ฝ่ายเรา หรือ พรรคพวกของเรา แล้วคริสตจักรก็ไม่ได้เป็นของเสียงคนส่วนใหญ่ หรือ เสียงคนข้างมากด้วย และก็ไม่ได้เป็นคริสตจักรของผู้ก่อตั้ง ไม่ได้เป็นคริสตจักรของตระกูลนั้นตระกูลนี้ แล้วคริสตจักรก็ไม่ได้เป็นของตระกูลและลูกหลานของตระกูลที่ถวายที่ดินตั้งคริสตจักรด้วย สำคัญครับ คริสตจักรไม่ได้เป็นของคนที่ถวายเงินจำนวนมากมหาศาลให้แก่คริสตจักรเช่นกัน คริสตจักรไม่ได้เป็นของศิษยาภิบาล ผู้ปกครองคริสตจักรคนนั้นคนนี้ หรือคริสตจักรไม่ได้เป็นของคณะธรรมกิจ หรือแม้แต่คริสตจักรก็ไม่ได้เป็นของภาค ของสภาฯ หรือของคณะนิกายโน้นนิกายนี้ แต่คริสตจักรท้องถิ่นแต่ละแห่งเป็นของพระเจ้า(เท่านั้น)

รากฐานสัจจะประการนี้ทำให้เราคิดและกระทำแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทำให้การคิดและการกระทำมุ่งเน้นที่จะแสดงออกถึงการเคารพยำเกรง ยกย่องพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เกิดความขัดแย้งต่อสู้กัน ตัวอย่างเช่น

  • ถ้าเราเชื่อว่าชุมชนคริสตจักรเป็นของพระเจ้าอย่างจริงใจ เราจะทุ่มเทแสวงหาคำตอบและทางออกในความขัดแย้งตามแนวทางของพระเจ้า มากกว่าที่จะแสวงหาทุกแนวทางที่จะพิสูจน์ว่าเป็นฝ่ายถูก และเป็นฝ่ายชนะในการขัดแย้งนั้น
  • ถ้าเราเชื่อว่าชุมชนคริสตจักรเป็นของพระเจ้าอย่างจริงใจ เราจะไม่ยึดแน่นเกาะติดอยู่กับความคิดความปรารถนาของเราที่ต้องการให้เกิดขึ้นในคริสตจักร เพราะนั่นอาจจะเป็นความปรารถนาที่ผิด แต่เราควรมุ่งแสวงหาว่าพระเจ้าที่เป็นเจ้าของคริสตจักร ทรงมีมุมมองและพระประสงค์อะไรในชีวิตและการทำพันธกิจของชุมชนคริสตจักรแห่งนี้
  • ถ้าเราเชื่อว่าชุมชนคริสตจักรเป็นของพระเจ้าอย่างจริงใจ เราต้องตระหนักชัดว่า คริสตจักรเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่จะทรงใช้ทำพระราชกิจของพระองค์และตามพระประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น ที่คริสตจักรมีชีวิตอยู่ก็เพื่อที่จะกระทำตามพระบัญชาของพระองค์ เพื่อเป็นตัวแทนที่จะสำแดงการครอบครองของพระเจ้าบน แผ่นดินโลกนี้ และคริสตจักรคือผู้ที่จะทำให้เกิดการสรรเสริญยกย่องพระเจ้า คริสตจักรมิใช่เครื่องมือของเราหรือของใครทั้งนั้น เพราะคริสตจักรเป็นของพระเจ้า

เมื่อเราตกอยู่ในภาวะของความขัดแย้ง จะเนื่องด้วยความโลภ โกรธ หลง หรือด้วยอารมณ์ร้ายของเรา หรือ เพื่อนคริสเตียนของเราก็ตาม ถ้าเราเชื่อว่า ชุมชนคริสตจักรเป็นของพระเจ้า ให้เรา “หยุด” แล้ว “อธิษฐาน” เมื่อเราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราสำนึกว่าเรากำลังอยู่บนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้เราปลดปล่อย ละทิ้งความปรารถนาและความตั้งใจของเราที่จะเข้าไปควบคุมชุมชนคริสตจักรของพระเจ้า แต่ให้เรามอบกายถวายชีวิตให้เป็นเครื่องมือที่พระองค์จะใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์ เมื่อเราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราต่างถ่อมจิตถ่อมใจถ่อมชีวิตของเราแต่ละคนลง การที่เราเข้าไปอยู่ภายใต้การครอบครองของพระองค์มิได้ทำให้สิ่งที่เราขัดแย้งเห็นต่างได้รับการแก้โดยอัตโนมัติอย่างอัศจรรย์ แต่เรากลับอยู่ภายใต้แสงสว่างใหม่ ที่จะเปลี่ยนมุมมอง วิธีคิดของเราใหม่ จากการที่มุ่งเอาแพ้เอาชนะ “คู่ปรับ คู่ปรปักษ์ คู่แข่ง” ที่เราจะได้เป็นผู้ชนะในคริสตจักร แต่เราได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดและมุมมองในความขัดแย้งด้วยแสงสว่างใหม่ เรากลับเห็นว่า แท้จริงแล้วเราต่างเป็นเพื่อนร่วมทางที่จาริกแสวงหาพระประสงค์ของเจ้าของคริสตจักรตัวจริง เรื่องแพ้เรื่องชนะ เรื่องศักดิ์ศรีของฉัน เรื่องชื่อเสียงของฉันกลับกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่มุ่งสู่ชัยชนะของพระเจ้า เพื่อยกย่อง สรรเสริญ ให้เกียรติ และ ศักดิ์ศรีแด่พระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของคริสตจักรตัวจริง

แต่จากประสบการณ์จริง ทุกอย่างมิได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบราบเรียบ ง่ายดาย รวดเร็วอย่างที่พูดข้างบนนี้ ไม่เป็นไรครับ เพราะที่สำคัญคือการที่เราตระหนักรู้ชัดเจนว่าชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงจิตใจและความคิดของมนุษย์ ดังนั้น ขั้นตอนแรกที่สำคัญคือ เมื่อเรารู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ท่ามกลางภาวะขัดแย้ง ต่อสู้ ห้ำหั่นกับคริสเตียนด้วยกัน ให้เราหยุด นิ่ง ถอยหลัง แล้วเตือนจิตใจของตนเองว่า คริสตจักรเป็นของพระเจ้า

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-289-4499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น