23 มีนาคม 2555

ความรักเป็นเรื่องอะไรกันแน่: (2) เก่งแค่ไหนแต่ขาดความรักเมตตา ก็ไร้ค่า

พระธรรม 1โครินธ์ บทที่ 13 เป็นการกล่าวเตือนสมาชิกคริสตจักรบางกลุ่มที่กำลังตื่นเต้นกับการที่ตนได้รับของประทานพิเศษฝ่ายจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูดภาษาแปลกๆ คงไม่ใช่ความผิดอะไรหรอกที่ตื่นเต้นยินดีกับการพูดภาษาแปลกๆ แต่ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันในคริสตจักรก็เพราะทัศนคติของคนที่พูดภาษาแปลกๆ อวดตนเองว่าได้รับของประทานพิเศษแล้วมองคริสเตียนคนอื่นในคริสตจักรว่าเป็นคริสเตียนต่ำต้อยด้อยค่ากว่าหรือเป็นคริสเตียนอีกชนชั้นหนึ่งที่ไม่ได้รับของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ ทำให้คริสเตียนกลุ่มที่ไม่ได้พูดภาษาแปลกๆ เกิดความสงสัยในคุณค่าความเป็นคริสเตียนของตนเอง

แม้แต่ของประทานฝ่ายพระวิญญาณก็ทำให้คริสตจักรเกิดการแตกแยก ขัดแย้ง แบ่งพรรคแบ่งพวกได้ ถ้ามิได้มีการใช้ของพระประทานเหล่านั้นด้วยความรักที่มาจากจิตใจเมตตากรุณา เสียสละ มุ่งที่จะแบ่งปันให้ชีวิตของตนแก่คนอื่นและชุมชนด้วยความรักเมตตากรุณาเฉกเช่นแบบพระคริสต์

เปาโลพยายามสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของสมาชิกคริสตจักรในโครินธ์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณ โดยเฉพาะเรื่องของประทานฝ่ายพระวิญญาณ เปาโลย้ำเตือนว่า ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณที่ประทานให้นั้นมิใช่เพื่อผลประโยชน์(ความเด่นดังมีชื่อเสียง)ของคนใดคนหนึ่ง แต่ที่พระวิญญาณประทานของประทานพิเศษต่างๆ นั้นเพื่อประโยชน์สำหรับทั้งชุมชนผู้เชื่อ ผู้ที่ได้สำแดงของประทานฝ่ายพระวิญญาณไม่ว่าจะด้วยการเผยพระวจนะ การรักษาโรค หรือ การพูดภาษาแปลกๆ ที่กระทำเช่นนั้นได้ก็เพราะเป็นพระราชกิจจากพระวิญญาณเพื่อให้เกิดสิ่งดีร่วมกันในชุมชนคริสตจักร ดังนั้น การแสดงออกด้านของประทานฝ่ายพระวิญญาณจึงมิได้มีไว้เพื่อให้ใครคนใดคนหนึ่งแสดงว่าตนมีความสามารถหรือพลังพิเศษ หรือ เป็นคนที่พระเจ้าใช้เป็นพิเศษเหนือกว่าคนอื่น แต่ตรงกันข้ามกลับให้ใช้ของประทานจากพระวิญญาณเพื่อรับใช้คนอื่นรอบข้างในพระนามของพระเยซูคริสต์

จากนั้นเปาโลได้เปรียบเทียบชีวิตคริสตจักรเป็นเหมือนร่างกายของคนเรา ประเด็นหลักที่เปาโลต้องการอธิบายให้สมาชิกคริสตจักรเข้าใจว่า ชีวิตคริสตจักรประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะแต่ละส่วนต่างมีคุณค่าในตัวของอวัยวะนั้น อวัยวะแต่ละส่วนมีความสำคัญต่อร่างกายทั้งร่างกาย และเปาโลสรุปว่าคริสตจักรคือพระวรกายของพระคริสต์ แล้วเอาเรื่องนี้ไปเชื่อมต่อกับเรื่องของประทานฝ่ายพระวิญญาณที่มีในสมาชิกแต่ละคนในคริสตจักรที่แตกต่างกันออกไป แล้วท่านทิ้งท้ายในบทที่ 12 ว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุด(ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ)แก่ท่านทั้งหลาย” (ข้อ 31)

1แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้
แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง
2แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น
และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้
แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
3แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ
แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า
4ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง
5ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด
6ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
7ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ
8ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ
แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป
แม้การพูดภาษาแปลกๆ ก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป
9เพราะว่าเรารู้เพียงบางส่วน และก็เผยพระวจนะเพียงบางส่วน
10แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ที่เป็นเพียงบางส่วนนั้นก็จะสูญไป
11เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก
แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการของเด็ก
12เพราะว่าเวลานี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า
เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า
13และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้
(1โครินธ์ 13:1-13 ฉบับมาตรฐาน)

ในข้อแรก เปาโลชี้ถึงการพูดภาษาแปลกๆ ภาษาประหลาดๆ ต่อให้เป็นภาษามนุษย์ หรือภาษาสวรรค์ ถ้าผู้พูดไม่มี “ความรัก” เปาโลกกล่าวว่าการพูดภาษาแปลกๆ นั้นก็เป็นการส่งเสียงที่หนวกหูไร้ความหมาย ถ้าเป็นการเล่นเครื่องดนตรีก็เป็นการเล่นที่ไม่เป็นเพลง เสียงเช่นนี้มิได้ให้คุณประโยชน์อะไรแก่ผู้ได้ยินได้ฟังเลย แต่กลับเป็นเสียงที่สร้างความรำคาญวุ่นวายแก่ผู้ได้ยินมากกว่า

จากนั้นในข้อที่ 2 เปาโลกล่าวว่า “แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย” สมาชิกคริสตจักรบางคนชอบอวดว่าตนมีความรู้เรื่องพระคัมภีร์ เรื่องความเชื่อดีมากกว่าคนอื่น แต่มักเป็นการอวดอ้างความรู้ความชาญฉลาดของตนเอง ความรู้เหล่านี้ย่อมมีวันเสื่อมสูญ และที่สำคัญ ความรู้เช่นนี้ที่ปราศจากความรักก็หาคุณค่าอะไรมิได้

วันนี้ เราอาจจะจะอ่าน 1โครินธ์ บทที่ 13 ให้เป็นเรื่องของเราเองได้ว่า

“แม้ข้าพเจ้าจะเป็นฝ่ายที่ถูก ความคิดของข้าพเจ้าเฉลียวฉลาดเฉียบคม การวางแผนต่อสู้ถกเถียงของฉันชนะทุกครั้งเสมอไป แต่ไม่มีความรัก สิ่งที่ดูฉลาด ถูกต้อง และมีชัยก็ไม่มีค่าอะไร”

“แม้ข้าพเจ้าจะรู้ซึ้งถึงความหมายของพระคัมภีร์ทุกตอน แม้ข้าพเจ้าจะทุ่มเทศึกษาอย่างหนัก ขุดค้นรากศัพท์ทั้งภาษากรีกและฮีบรู และข้าพเจ้าได้ค้นพบความหมายของพระคัมภีร์ที่เที่ยงแท้ถูกต้อง แต่ข้าพเจ้าไม่มีความรัก สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีค่าประโยชน์อันใด”

“แม้ข้าพเจ้าจะศึกษาจนได้ปริญญาเอกทางศาสนศาสตร์ ได้ดำรงตำแหน่งศาสนาจารย์ ครูศาสนา ผู้ปกครองคริสตจักร ได้มีตำแหน่งในอาชีพการงานระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร นายก อธิการ ผู้อำนวยการ และ ฯลฯ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย กลับกลายเป็นคนไร้ค่า”

ผมว่าอาจารย์เปาโลท่านพูดแรงแต่ตรงไปตรงมานะครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น