02 มีนาคม 2555

จงมีจิตใจเหมือนอย่างพระเยซูคริสต์...เมื่อคริสเตียนทะเลาะและขัดแย้งกัน (2)

อ่าน ฟิลิปปี 2:1-11

1ในเมื่อท่านได้รับกำลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์
ได้รับการปลอบโยนจากความรักของพระองค์
ได้สามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ
ได้รับความอ่อนโยนและความสงสาร

2ก็จงทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างบริบูรณ์
โดย มีความคิดอย่างเดียวกัน
มีความรักอย่างเดียวกัน
มีใจเดียวกัน และ
มีเป้าหมายเดียวกัน

3อย่าทำสิ่งใดด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว หรือด้วยความถือดี
แต่จงทำด้วยความถ่อมใจ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน

4แต่ละคนไม่ควรมุ่งหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว
แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย

5ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์

6ผู้ทรงสภาพพระเจ้า แต่ไม่ได้ยึดติดในความเท่าเทียมกับพระเจ้า

7พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง มารับสภาพทาส บังเกิดเป็นมนุษย์

8และเมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน!

9ฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นสู่ที่สูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงแก่พระองค์

10เพื่อทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้แผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงนมัสการพระนามของพระเยซู

11และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดา
(ฟีลิปปี 2:1-11 อมตธรรม)

เมื่ออ่านพระธรรมฟีลิปปีตอนนี้ ทำให้คิดถึงภาพชีวิตที่พระเยซูคริสต์ที่สำแดงออกอย่างเป็นรูปธรรมตามเนื้อหาในพระธรรมตอนนี้ พระเยซูคริสต์ทรงถ่อมพระองค์ลงเป็นเยี่ยงทาสที่ล้างเท้า(ซึ่งเป็นงานของทาส)ให้สาวก (ยอห์น 13:1-20) ที่พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อสาวกจะกระทำตามแบบอย่างของพระองค์ทรง ที่สาวกควรล้างเท้าซึ่งกันและกัน(ข้อ 12-15) เพราะก่อนหน้านี้เกิดถกเถียงและการขัดใจกันว่า ในบรรดาสาวกของพระเยซูใครคือคนที่ใหญ่ที่สุด และยังเกิดความขุ่นข้องหมองใจของบรรดาสาวกที่มารดาของยากอบและยอห์นมาทูลขอตำแหน่งซ้ายขวาของพระเยซูให้กับลูกของตน และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเยซูคริสต์สอนเรื่องการเป็นใหญ่ด้วยการรับใช้ เป็นการสอนด้วยการกระทำให้เห็นเป็นรูปธรรมเพื่อสาวกจะรู้ซึ้งตรึงใจสัมผัสได้ และนี่ก็เป็นการสอนด้วยการกระทำเพื่อให้เหล่า สาวกรับใช้ซึ่งกันและกัน มิเพียงแต่เป็นแบบอย่างและเป็นการสอนแก่สาวกเท่านั้น แต่ทรงเป็นแบบอย่างสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนด้วย

ในพระธรรม ฟีลิปปี 2:1-11 เปาโลให้ภาพชีวิตของพระคริสต์ที่ทรงถ่อมลงจนถึงที่สุด ไม่มุ่งที่จะแสวงหาแต่ประโยชน์ส่วนตนแต่พระองค์แสวงหาที่จะสร้างประโยชน์แก่คนอื่นๆ มากกว่า พระองค์ยอมสละทุกสิ่งในชีวิต แม้แต่ศักดิ์ศรี สถานภาพความทัดเทียมกับพระเจ้า การมีอำนาจเหนือกว่า แต่พระองค์กลับยอมรับสภาพทาสในการเกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วยังสละสถานภาพที่ได้รับจากพระเจ้า แต่ใช้ชีวิตในการรับใช้คนอื่นเยี่ยงทาส แล้วยอมใช้ชีวิตและสละชีวิตของพระองค์เพื่อคนอื่นจะได้รับชีวิตใหม่เพราะการเสียสละพระชนม์ชีพของพระองค์ นี่คือพระลักษณะเฉพาะที่พระคริสต์ทรงสำแดง ซึ่งในสายตาของเราและพฤติกรรมของเราคริสเตียนทุกวันนี้เรามัก “ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี หรือ ให้ใครมาหลู่เกียรติเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเรา” ทั้งๆ ที่เราไม่มีศักดิ์ศรี เกียรติศักดิ์เท่าพระเยซูคริสต์ นอกจากศักดิ์ศรีจอมปลอมที่มนุษย์สมมติสวมให้แก่กัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ อธิการ นายกสภาฯ และ ฯลฯ แต่คริสเตียนเรากลับหวงศักดิ์ศรี สิทธิ และเกียรติยศจอมปลอมเหล่านี้

เปาโลได้ใช้ภาพชีวิตที่ถ่อมสุดๆ ของพระคริสต์สำแดงให้คริสเตียนในฟีลิปปีได้ตระหนักชัด และ ในเวลาเดียวกันเป็นการสำแดงพระลักษณะถ่อมของพระคริสต์เจ้าแก่คริสเตียนไทยในยุคปัจจุบันนี้ด้วย พระลักษณะถ่อมของพระคริสต์นี้มิใช่เพียงเพื่อให้เราตระหนักถึงสัมพันธภาพของเรากับพระคริสต์เท่านั้น แต่พระลักษณะถ่อมของพระคริสต์มุ่งเน้นที่สำแดงว่าถ้าเรายอมเป็นสาวกที่เอาเยี่ยงแบบอย่างชีวิตของพระคริสต์เราจะต้องมีความสัมพันธ์และปฏิบัติต่อกันอย่างไรกับคนรอบข้าง และกับคริสเตียนด้วยกันที่เราต้องข้องเกี่ยวสัมพันธ์และทำงานด้วย จากพระธรรมตอนนี้เราได้รับการทรงเรียกจากพระเยซูคริสต์ให้เลียนแบบชีวิตถ่อมที่เสียสละของพระองค์ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา แต่มิใช่ดำเนินชีวิตประจำวันตามแนวทางที่เราต้องการและเห็นว่าดีหรือ “ตามใจฉัน” แต่ทรงเรียกให้เรามีใจที่เคารพเทิดทูนพระองค์ด้วยการถ่อมชีวิตลง ยอมสละให้ชีวิตของตน และการปฏิบัติขับเคลื่อนชีวิตการงานที่สำนึกว่าเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์

เป็นความจริงว่า การกระทำเช่นนี้มิใช่กระทำได้ง่าย ในฟีลิปปี 2:1 ได้เริ่มบ่งชี้ชัดเจนว่า

“ในเมื่อเราได้รับกำลังใจจากพระคริสต์ เนื่องในการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์
ในเมื่อเราได้รับการปลอบโยนจากความรักของพระคริสต์
ในเมื่อเราได้ติดสนิทสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ
ในเมื่อเราได้รับพระลักษณะที่อ่อนโยน และ จิตใจที่เมตตาสงสารของพระคริสต์”

จากนั้นเปาโลกล่าวต่อไปว่า

“ก็ให้เรามีความคิดอย่างเดียวกัน
มีความรักอย่างเดียวกัน
มีใจอย่างเดียวกัน และ
มีเป้าหมายเดียวกัน”...

การที่เราจะมีมุมมองและการกระทำในชีวิตเช่นนี้ได้ เปาโลได้ชี้ชัดว่ามิใช่เพราะความสามารถของแต่ละคน แต่ที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามที่พระคริสต์ทรงเรียกได้เช่นนี้เพราะ พระองค์ได้เสริมสร้าง และ หนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่เรา เราจึงจะสามารถดำเนินชีวิตเช่นนี้ได้ บางท่านอาจจะถามในใจว่า แล้วพระคริสต์ทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่เราอย่างไร? เปาโลชี้ชัดว่าพระคริสต์ทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังผ่านช่องทางต่อไปนี้?

1. พระคริสต์ทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่เราผ่าน คำสอนและการมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างให้เรากระทำเยี่ยงพระองค์ที่โดยปกติแล้วเราท่านอาจจะกระทำเช่นนั้นไม่ได้

2. พระคริสต์ทรงสำแดงความรักเมตตาของพระองค์ต่อชีวิตของเรา (ซึ่งบ่อยครั้งที่เราไม่ใส่ใจ ไม่สำนึก) เมื่อเราได้ประสบ สัมผัส และมีประสบการณ์ตรงในความรักของพระคริสต์ ประสบการณ์ความรักดังกล่าวจึงเป็นพลังหนุนเสริมให้เราสำแดงความรักเยี่ยงพระคริสต์ที่มีต่อเราไหลล้นแก่คนอื่นรอบข้าง ยิ่งเรามีประสบการณ์ตรงที่ชัดเจนแค่ไหนย่อมเป็นพลังที่เราจะสำแดงความรักแบบพระคริสต์นี้มิใช่แก่เพื่อนบ้านของเราเท่านั้น แต่ต่อคนที่เรามองว่าเป็นศัตรูของเราด้วย

3. โดยการที่เราเป็นเพื่อนร่วมพระราชกิจขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเรายอมมอบชีวิตความเชื่อศรัทธาของเราในพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาสถิตในชีวิตของเรา และหนุนเสริมเพิ่มพลังในชีวิตเช่นเดียวกับพลังที่ให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแก่เรา ด้วยกระบวนการทำงานขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนี้ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดำเนินชีวิตเยี่ยงแบบพระคริสต์มากๆ ขึ้น

หลายปีมาแล้วเมื่อผมทำหน้าที่ศิษยาภิบาลในคริสตจักรแห่งหนึ่ง เกิดความขัดแย้งอย่างขุ่นเคือง ฉุนเฉียว รุนแรงและบางตอนหยาบคายในกลุ่มผู้นำของคริสตจักรแห่งนั้น มีผู้นำคริสตจักรท่านหนึ่งที่กระทำต่อผู้นำคนอื่นๆ ในกลุ่มอย่างเลวทรามมุ่งร้าย ผมแทรกเข้าเหตุการณ์นั้นแล้วท้าทายอย่างสุภาพว่า ถ้าพระคริสต์อยู่ในวงสนทนาของเราวันนี้พระองค์จะทำอย่างไร ผู้นำคริสตจักรท่านนั้นตอบสวนมาอย่างทันควันว่า “ฉันไม่สนใจว่าพระเยซูจะทำอย่างไร ฉันไม่ใช่พระเยซู” ผมคันปากยิบๆ คิดในใจว่า “เห็นไหมล่ะ เพราะเราคิดอย่างงี้เอง” แต่ดีที่ไม่ได้โพล่งพูดออกมาเช่นนั้นด้วยพระคุณของพระเจ้า แต่ผมขอให้ทุกคนโปรดไม่ลืมพระกิตติคุณของพระคริสต์ว่า ด้วยพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงช่วยเปลี่ยนแปลงและพัฒนาชีวิตของเราให้มีลักษณะเยี่ยงพระคริสต์มากยิ่งขึ้นถึงแม้ตามธรรมชาติในความเป็นตัวตนของเราที่ไม่มีความสมารถเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้

คำกล่าวที่ยอมรับว่า “ฉันไม่ใช่พระเยซู” มักเป็นจุดแรกที่คริสเตียนใช้ในการแก้ตัว ตัวผมเองก็เป็นเช่นนั้นด้วย แต่นั่นมิใช่จุดจบ เมื่อใดก็ตามที่เรารู้และสำนึกได้ว่าเราเป็นผู้พกพร่องไม่สมบูรณ์ เราพร้อมที่จะหันกลับมาเชื่อพึ่งและไว้วางใจในพระเจ้ามากยิ่งขึ้น แล้วเราจะค้นพบสัจจะความจริงว่า โดยทางพระเยซูคริสต์ เราจะสามารถกระทำทุกสิ่งได้ เพราะพระองค์ประทานพลังชีวิตแก่เรา (ฟีลิปปี 4:13)

ดังนั้น เวลาใดที่เราตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งกัน สิ่งแรกคงต้องตั้งสติและถามตนเองว่า “ฉันควรจะมีความคิดจิตใจอย่างพระคริสต์ในสถานการณ์นี้อย่างไร?” อย่าเพียงถามแต่ตนเองเท่านั้น แต่ให้ทูลถามพระเยซูคริสต์ด้วยจิตอธิษฐาน “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คิดอย่างไรในสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้? ข้าพระองค์จะสามารถทำเยี่ยงแบบอย่างของพระองค์ที่ถ่อมและยอมสละตนเองได้อย่างไรบ้าง?”

ยิ่งเรามุ่งมองไปยังพระคริสต์มากเท่าใด เรายิ่งค้นพบว่าเราควรจะกระทำอย่างไรในสถานการณ์ที่ขัดแย้งโต้เถียงกันซึ่งนำสู่การแตกแยกเอาแพ้เอาชนะกัน ยิ่งเราพึ่งพิงในพระเยซูคริสต์มากเท่าใด เรายิ่งจะพบกับพลังชีวิตที่เราไม่เคยคาดฝัน พลังชีวิตที่จะมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจเดียวกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน และที่จะถ่อมจิตถ่อมใจถ่อมชีวิตลงที่นำไปสู่การมีชีวิตเยี่ยงพระคริสต์มากยิ่งๆ ขึ้น

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
081-289-4499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น