22 สิงหาคม 2555

ทำไมพระเจ้าไม่เห็นช่วยฉันสักที?


เรียนรู้ที่จะพึ่งพิงในพระเจ้าแทนการบ่นครวญคราง

“องค์พระผู้เป็นเจ้า   ทำไมพระองค์ไม่ช่วยผมสักที?”

บ่อยครั้งที่เราบ่นครวญครางประโยคข้างต้นทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำกิจของพระองค์ในชีวิตของเราอย่างมหัศจรรย์แต่เรากลับมิได้รับรู้การกระทำพระราชกิจของพระองค์   มัววนเวียน ว้าวุ่นอยู่ในความคิดความรู้สึกว่า  ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเราสักที   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์ปัญหาที่ต้องปล้ำสู้/ต่อสู้กับมันอย่างยาวนาน   ไม่ว่าชีวิตขัดแย้งเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว   การทำงาน โครงการใหญ่ๆ  ปัญหาและวิกฤติในที่ทำงาน  ความขัดแย้งสับสนในองค์กรที่เรารับผิดชอบ

ท่านเคยมีความรู้สึกว่า พระเจ้าทรงหดพระหัตถ์ของพระองค์   ทั้งๆ ที่รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย   แต่เกิดความรู้สึกว่าพระเจ้ายังไม่ช่วยเราเลย   บางครั้งผมก็คิดว่า  ผมน่าจะทำในสิ่งดีๆ ที่ถูกต้อง  เพื่อพระองค์จะทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกมาช่วยผม แต่ในที่สุดผมก็ถึงทางตันว่า แล้วที่ว่าสิ่งดีๆ ที่ถูกต้องที่ผมควรทำมันคืออะไรกันแน่?    หรือไม่ก็คงคิดถึงคำกล่าวที่รู้จักกันทั่วไปว่า  พระเจ้าทรงช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อน   แต่ความจริงที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้นคือ  สิ่งต่างๆ ที่ผมทูลขอพระเจ้าให้ช่วยผม  เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถที่จะจัดการกับมันได้   แล้วผมจะช่วยตนเองก่อนอย่างไรได้?

เมื่อทบทวนถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา   ผมต้องยอมรับว่า แท้จริงแล้วพระหัตถ์ของพระเจ้านั้น ยื่นออก และเป็นพระหัตถ์ที่พร้อมจะชูช่วย  ทั้งในสถานการณ์ที่ผมรู้สึกว่าพระองค์ยังไม่ได้ช่วยผม   ผมเรียนรู้ว่า ที่ผมรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ช่วยผมสักทีนั้น   มิใช่เพราะพระเจ้าทรงหดพระหัตถ์ของพระองค์จากผม   แต่ผมไม่ยอมเปิดใจรับการชูช่วยจากพระหัตถ์ของพระองค์ต่างหาก   ผมทำตัวอย่างวัยรุ่นใจร้อนที่ปฏิเสธการช่วยเหลือของพ่อแม่หรือผู้ใหญ่   เพราะวิธีการที่จะช่วยของผู้ใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องการ   ยิ่งกว่านั้นวัยรุ่นมักมองว่า พ่อแม่/ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจปัญหาที่ตนเผชิญหน้าอยู่ได้ดีเท่าที่ตนรู้

จากการสะท้อนคิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา   ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตในหลายครั้งว่า  การทรงชูช่วยของพระเจ้าไหลล้นมาอย่างมากมาย  นั่นเป็นเพราะในสถานการณ์นั้นผมเปิดใจรับการทรงช่วยจากพระเจ้าตามวิธีการทรงช่วยของพระองค์อย่างไร้เงื่อนไข   ซึ่งพอประมวลได้ดังนี้

1.  คาดหวังพระเจ้าทรงช่วยตามแนวทางของพระองค์

ถึงแม้ว่า เราจะขอให้พระเจ้าช่วยในปัญหาต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่   นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะทรงตัดสินพระทัยช่วยตามแนวทางที่พระองค์เห็นว่าดีที่สุดสำหรับเรา   แต่บ่อยครั้งเราปิดใจและไม่ยอมรับการทรงช่วยตามแนวทางของพระองค์   แต่ต้องการให้พระเจ้าช่วยตามความคาดหวังของเรา

ตัวอย่างที่เห็นชัดเช่นชีวิตแต่งงาน  เมื่อสามี-ภรรยาคริสเตียนแต่งงานกันแล้วเกิดความขัดแย้ง  ความสัมพันธ์ฉีกขาด สร้างความเจ็บปวดในชีวิตคู่   เราก็จะหันหน้ากลับมาหาพระเจ้า  ทูลขอการทรงช่วยจากพระเจ้าในเรื่องนี้   พระเจ้าทรงใช้วิกฤติปัญหาความขัดแย้ง และ ความสัมพันธ์ที่ฉีกขาดในการเสริมสร้างและช่วยให้ทั้งสามีและภรรยามีชีวิตคริสเตียนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น  เติบโต และเข้มแข็งขึ้น   แต่เรารับไม่ได้กับการทรงช่วยของพระเจ้าเช่นนั้น   เพราะเมื่อเราอธิษฐานทูลขอการทรงช่วยจากพระเจ้าเราคาดหวังว่า   พระเจ้าจะช่วยให้เราไม่มีความขัดแย้งต่อไป   พระองค์จะเอาความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ที่ฉีกขาดออกไปจากชีวิตคู่ของเรา  เราคาดหวังว่าพระเจ้าจะช่วยให้สามี-ภรรยามีชีวิตที่สุขสำราญด้วยกัน (ทันที!)   ที่เรารู้สึกและคร่ำครวญว่าทำไมพระเจ้าไม่ช่วยเราสักทีนั้นคือ   พระเจ้าไม่ช่วยเราอย่างที่เราคาดหวังให้พระเจ้าช่วย!

หรือไม่เรามักอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วย เช่น  ภรรยาก็จะอธิษฐานว่าพระเจ้าว่า  “พระองค์เจ้าข้า  ขอพระองค์ทรงเปลี่ยนสามีของข้าพระองค์”  แทนการทรงช่วยของพระเจ้าในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง  ภรรยาหลายคนทูลขอพระเจ้า “พระเจ้าข้า  ขอทรงช่วยให้สามีข้าพระองค์ให้หลุดรอดออกจากอำนาจของความบาปชั่วร้าย”   แต่พระเจ้ากลับประทานความช่วยเหลือโดย “เราจะให้ของประทานแห่งจิตใจที่เมตตา เพื่อเจ้าจะสามารถให้อภัยแก่สามี”   ถ้าเราต้องการเห็นพระหัตถ์แห่งการทรงชูช่วยของพระเจ้าในชีวิตของเรา   เราต้องเลิกที่จะคาดหวัง (หรือบังคับขู่เข็ญพระเจ้าผ่านคำทูลอธิษฐานที่ไพเราะ) ให้พระเจ้าทำตามความคาดหวังในใจของเรา   เมื่อนั้น  เราจะเริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเรา

ทำให้คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าในอิสยาห์ 55: 8-9  ที่เตือนจิตสำนึกของเราว่า ความคิดของพระเจ้านั้นแตกต่างจากความคิดของมนุษย์  และแนวทางของพระองค์ก็ไม่เหมือนแนวทางของเรา   ทางของพระเจ้าก็สูงกว่าทางของเรา  และความคิดของพระองค์ก็สูงกว่าความคิดของเรา   นั่นหมายความว่า  เราต้องเปลี่ยนมุมมอง หรือ ทัศนคติ เกี่ยวกับการทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า   เราจะไม่ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าพร้อมกับกำกับว่า พระเจ้าควรช่วยข้าพระองค์ในเรื่องอะไรและอย่างไร   แต่เราต้องเปลี่ยนมุมมองของเราในการทูลขอการทรงช่วยจากพระเจ้า  ขอพระองค์ทรงช่วยตามพระประสงค์และแผนการของพระองค์ และข้าพระองค์เปิดใจพร้อมกระทำตามการทรงช่วยของพระองค์!

ให้เราแสวงหาการทรงช่วยจากพระเจ้าด้วยจิตใจที่ถ่อม  และรับรู้เสมอว่า พระเจ้าทรงรู้สถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเราได้ดีที่สุด   ดังนั้น  เราจึงเปิดใจรับการทรงช่วยจากพระเจ้าด้วยจิตสำนึกในพระคุณ   และพร้อมที่จะเชื่อฟังตามการทรงช่วยของพระองค์

2.   รอคอยการทรงช่วยของพระเจ้า

นอกจากการทรงช่วยของพระเจ้านั้น  พระองค์ทรงช่วยเราอย่างเหมาะสมแล้ว พระองค์ยัง “ทรงช่วยเราเมื่อถึงคราวจำเป็น” หรือ ในฉบับมาตรฐานใช้สำนวนว่า “ที่ช่วยเราในยามที่ต้องการ” (ฮีบรู 4:16)  หรือในเวลาที่เหมาะสม   ในที่นี้เราต้องตระหนักว่า พระองค์อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา และพระองค์จะทรงช่วยเราในเวลาที่เหมาะสม  หรือ  พระองค์จะทรงช่วยตามเวลาของพระองค์ที่ทรงเห็นว่าเหมาะสม   “เวลาของพระเจ้าต่างจากเวลาของเรา”

การรอคอยพระเจ้า เป็นวินัยชีวิตคริสเตียนประการหนึ่ง   ปัจจุบันเราอยู่ท่ามกลางสังคมที่ “อยู่อย่างรีบเร่งเลยตายอย่างรวดเร็ว”  เรารับไม่ได้กับการทูลขอแล้วพระเจ้าไม่ตอบสนองทันที  เราก็มักจะตีความว่า พระเจ้าไม่ประสงค์จะช่วยเราในเรื่องนี้   ดังนั้นจึงด่วนแสวงหาความช่วยเหลือจากทางอื่น   และบ่อยครั้งเราจึงต้องเผชิญกับ “การตายอย่างรวดเร็ว”

เมื่อคุยถึงเรื่อง การรอคอยการช่วยเหลือจากพระเจ้า   เพื่อนของผมคนหนึ่งถามผมว่า   แล้วคุณคิดอย่างไรกับ สดุดี 46:1 ที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา  เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ ในยามยากลำบาก”  เมื่อพระเจ้าเป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่  ทำไมเรายังจะต้องรอคอย   จากการพูดคุยและขุดค้นหาความหมายในเรื่องนี้เรามีข้อสรุปเบื้องต้นร่วมกันว่า   การทรงช่วยของพระเจ้ามิได้มีเพียงการทรงช่วยที่เป็นเฉพาะกิจเท่านั้น   การทรงช่วยของพระเจ้ามิใช่เพื่อให้เราผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติเท่านั้น   แต่การทรงช่วยของพระเจ้าทรงมุ่งที่จะเสริมสร้างคนที่เชื่อวางใจ และ พึ่งพิงในพระองค์ให้เจริญ เติบโต และแข็งแรงขึ้น   นั่นหมายความว่า การทรงช่วยจากพระเจ้าเป็นกระบวนการ   นั่นหมายความว่า  ต้องใช้เวลาและความอดทน  ต้องรอคอย  จนกว่าจะได้รับการทรงเสริมสร้างให้สำเร็จในชีวิตของเรา   อิสยาห์ 40:31 ได้ให้ภาพความจริงในประเด็นนี้ไว้ว่า

“...เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระยาเวห์ จะได้รับกำลังใหม่
เขาจะ บินขึ้นด้วยปีก เหมือนนกอินทรี
เขาจะ วิ่งและไม่อ่อนเปลี้ย
เขาจะ เดินและไม่เหน็ดเหนื่อย   (ฉบับมาตรฐาน)

ในพระคริสต์ธรรม มีนักศึกษาที่เป็นชนเผ่าบางท่านที่เรียนภาษาอังกฤษไม่ทันเพื่อน   เนื่องจากมิได้รับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่พอเพียงในระดับประถมและมัธยม   เพื่อจะช่วยให้นักศึกษากลุ่มนี้สามารถเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษได้  และสามารถสอบได้ตามเกณฑ์  จึงมีเพื่อนนักศึกษาที่มีความรู้และทักษะในเรื่องภาษาอังกฤษมาช่วยนักศึกษาชนเผ่า   เพื่อนนักศึกษาที่มาช่วยไม่ได้ถ่ายทอดความรู้และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษที่มีในตัวเขาทั้งหมดเข้าไปในสมองของนักศึกษาชนเผ่ากลุ่มนี้ทีเดียวทั้งหมด   แต่เขาค่อยๆ ถ่ายทอดเป็นขั้นเป็นตอน  ทั้งด้านความรู้   อีกทั้งให้การฝึกหัดจนเกิดทักษะในการใช้ในแต่ละเรื่องอีกด้วย   ต้องใช้เวลาครับ  มันเป็นการช่วยเหลือที่เป็นกระบวนการ   มิใช่ครั้งเดียวจบครับ

เช่นเดียวกันครับ   พระเจ้าทรงช่วยอย่างเหมาะสมในยามวิกฤติ   ต่อจากนั้นพระองค์ทรงเสริมสร้างชีวิตของคนๆ นั้นด้วยพระทัยเมตตา และ ตามพระประสงค์ของพระองค์เพื่อชีวิตของคนนั้น   การทรงช่วยเหลืออย่างเป็นกระบวนการของพระเจ้ายังทำให้สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับคนที่พระองค์ทรงช่วยพัฒนาลึกซึ้งขึ้น   พระเจ้ามิเพียงแต่ต้องการช่วยเราอย่างดีเท่านั้น  พระองค์ต้องการสนิทใกล้ชิด  และประทานกำลังชีวิตแก่เราเพื่อเราจะเติบโตขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วย

3.   อุทิศตนทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ในสวนเก็ธเสมนี พระเยซูคริสต์อธิษฐานต่อพระบิดาว่า “...อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์  แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42 ฉบับมาตรฐาน)   หลังจากนั้นพระองค์ได้รับการทรงชูช่วย “มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์...ช่วยชูกำลังพระองค์” (ข้อ 43)

บ่อยครั้งที่ชีวิตของเราตกอยู่ท่ามกลางขวากหนามและความยากลำบากที่แสนสาหัส   เรามักเรียกร้อง หรือ ร้องเรียกให้พระเจ้านำเราออกจากสถานการณ์ความยากลำบากเหล่านั้น   แต่ก็พบว่า พระเจ้าไม่ช่วยอย่างที่เราทูลขอสักที   ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?   ผมเรียนรู้ว่า  เพราะการทูลขอของเราขัดแย้งกับพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา  และพระประสงค์ของพระเจ้าในสถานการณ์นั้น

ผมมีประสบการณ์ตรงว่า  เมื่อตกอยู่ท่ามกลางวิกฤติชีวิตแล้วทูลขอต่อพระองค์ว่า  “ขอพระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ใช้ชีวิตและวิกฤตินี้ตามพระประสงค์ของพระองค์   เพื่อพระประสงค์จะสำเร็จในชีวิตของข้าพระองค์”  ผมได้รับพระกำลังจากพระองค์  ได้รับความสงบเล้าโลม  ได้รับพระคุณ   แต่ก็บ่อยครั้งอีกเช่นกันที่ผมตกในวิกฤติชีวิตมักหาทางที่จะหลีกลี้หนีออกจากสถานการณ์วิกฤตินั้น   แทนที่จะยืนหยัดชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ในการยืนมั่นคงบนพระประสงค์ของพระเจ้านั้น   เรามิได้ยืนมั่นด้วยพละกำลังของเราเอง   แต่ที่เรายืนมั่นอยู่ได้เพราะในความแปรปรวนสับสนนั้น  พระเจ้าทรงยืนเคียงข้างและลุยไปในความยากลำบากเหล่านั้นกับเรา
“...เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ  เราจะอยู่กับเจ้า   และเมื่อข้ามแม่น้ำ  มันจะไม่ท่วมเจ้า
เมื่อเจ้าเดินผ่านไฟ  เจ้าจะไม่ถูกไหม้   และเปลวเพลิงจะไม่เผาเจ้า”  (อิสยาห์ 43:2 ฉบับมาตรฐาน)

การอุทิศตนเพื่อพระประสงค์ของพระเจ้าในยามยากลำบากช่วยให้เราได้เห็นและเรียนรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา   และเรียนรู้ว่าแผนการชีวิตที่พระเจ้าทรงมีในชีวิตของเรานั้นกว้างไกลและลุ่มลึกกว่าความคิดและความเข้าใจของเรา   ประสบการณ์สอนผมว่า  พระเจ้าทรงช่วยคนที่อุทิศถวายชีวิตแด่พระประสงค์ของพระเจ้า   มิใช่พระเจ้าช่วยคนที่ช่วยตนเองก่อน อย่างที่เขาว่ากัน หรืออย่างที่คริสเตียนหลายคนเข้าใจผิด

4. รู้จักพระเจ้าผู้ทรงช่วยเหลือ

ประสบการณ์ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า  คำถามที่ว่า “ทำไมพระเจ้าไม่เห็นช่วยผมสักที?”  เป็นการถามที่ผิดพลาด   ผมควรจะถามว่า “ทำไมฉันถึงไม่ยอมเปิดใจยอมรับการทรงช่วยจากพระเจ้า  ตามแนวทางของพระองค์?... ขอพระเจ้าช่วยผมด้วยในเรื่องนี้”   ผมคงต้องย้อนถามตนเองว่า  ผมต้องการให้พระเจ้าช่วยอย่างที่ผมต้องการหรือยอมรับการทรงช่วยตามพระประสงค์และแผนการของพระองค์?   ผมเองเต็มใจที่จะรอคอยการทรงช่วยของพระเจ้าตามเวลาของพระองค์หรือไม่?   และที่สำคัญยิ่งคือ  ผมเองเต็มใจยอมอุทิศถวายตัวให้ชีวิตเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่?

พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราในทุกสถานการณ์ชีวิต   พระองค์พร้อมที่จะทรงช่วยเราตามแผนการอันดีเลิศของพระองค์สำหรับชีวิตของเรา   พระองค์ทรงเสริมกำลังของเราผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็น “องค์ผู้ช่วย” ในชีวิตของเรา (ยอห์น 15:26 ฉบับมาตรฐาน)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 มีนาคม 2556 เวลา 21:59

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  2. รอคอยแผนการที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้อยู่เหืมือนกันค่ะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ23 พฤษภาคม 2558 เวลา 15:24

    เจ็บปวดมากค่ะเรื่องสามี แต่กำลังรอคอยการช่วยกู้ของพระเจ้าอยู่ค่ะ . และเชื่อว่าต้องสำเร็จแน่นอนค่ะ

    ตอบลบ
  4. รอความช่วยเหลือนานมากแล้ว ตกงาน สมัครงานเป็นสิบๆแห่งแล้ว เสียใจ และผิดหวังต่อพระเจ้ามากๆ โดนเลย์ออฟพร้อมกัน คนไม่รับพระเจ้ายังได้งานก่อน คนกราบไหว้บนบานรูปเคารพก็ได้งานแล้ว เหลือแต่คนโง่อย่างเรา....

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

      ลบ
    2. โดนเหมือนกันคะ อธิษฐานมานานมากแล้ว ปัญหายังไม่หายไป เพราะพระเจ้าต้องการให้เราเข้าใกล้วัตถุประสงค์มากขึ้น อดทนนะคะ มงกุฏงามรอคุณอยู่

      ลบ