อ่านพระธรรมมาระโก 2:15-17
ขณะพระเยซูเสวยพระกระยาหารค่ำที่บ้านของเลวี
มีคนเก็บภาษี และ คนบาป หลายคนรับประทานอาหารร่วมกับพระองค์และเหล่าสาวก
เพราะมีคนมากมายติดตามพระองค์มา
(มาระโก 2:15 อมตธรรม)
พระเยซูทรงเรียกคนเก็บภาษีที่ชื่อว่าเลวีลูกของอัลเฟอัส
(มาระโก 2:13-14) ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับคนที่เราคุ้นชินชื่อว่ามัทธิว ผู้บันทึกพระกิตติคุณมัทธิว เหตุการณ์ในตอนนี้อาจจะตั้งชื่อได้ว่า
“เมื่อคนบาปกลับใจ” (ศึกษาประวัติของมัทธิวได้ในมัทธิวบทที่ 9 อมตธรรม ฉบับอธิบาย)
เมื่อคนบาปกลับใจ
เขากลับใจด้วยความชื่นชมยินดี
เขากลับใจโดยไม่แบ่งแยกกีดกันตนเองออกจากเพื่อนเดิมๆ ของเขา เพื่อทำตนเป็น
“ผู้บริสุทธิ์” แต่เลวีมิได้เป็นเช่นนั้น เขาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน
เขาเปิดบ้านให้คนทั้งหลายมาร่วมงานเลี้ยงในบ้านของเขาด้วยความชื่นชมยินดี และก็ไม่ได้เป็นงานเลี้ยงของ “คนดี”
ที่ได้รับความรอด หรือ
เฉพาะพระเยซูและสาวกเท่านั้น
แต่เขาเปิดบ้านเชิญชวนต้อนรับ “คนเก็บภาษี และ คนบาป”
ในเวลานั้นให้เข้ามาร่วมในงานเลี้ยงที่เขาจัดขึ้นด้วย “คนเก็บภาษีและคนบาป” เหล่านี้คือใคร? คือคนที่ได้เห็น ได้ยินได้ฟัง
และได้สัมผัสกับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์แล้ว “ติดตาม” พระเยซูมา
(ดูข้อ 15)
เมื่อคนบาปกลับใจเขาเปิดโอกาสให้คนบาปคนอื่นๆ
ได้สัมผัสกับพลังแห่งความรักเมตตาและความรอดด้วย
ต่างจากคนดีที่คิดว่าตนไม่ต้องกลับใจแต่ต้องพยายามสร้าง “กำแพง”
แบ่งแยกตนเองออกจากคนอื่น เพื่อสร้างบารมีของ
“ผู้บริสุทธิ์” เหนือคนอื่นรอบข้าง
ทำไมพวก
“คนเก็บภาษีและคนบาป” พวกนี้ถึงติดตามผู้นำศาสนาอย่างพระเยซู? ซึ่งเรารู้อยู่เต็มอกว่า
คนกลุ่มนี้พยายามหนีห่างจากพวกผู้นำศาสนายิวคนอื่นๆ ในเวลานั้น ถ้าอ่านจากพระธรรมตอนนี้เราสามารถสัมผัสได้ว่า พวกคนเก็บภาษีและคนบาปกลุ่มนี้มีความรู้สึกสะดวกกายและสบายใจที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซู มากกว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีผู้เคร่งครัดและมีใจอคติ
เพราะท่าทีของพวกฟาริสีมุ่งแต่จะสอนและสั่งมากกว่าการช่วยให้พวกเขาได้รับความรอด
(พวกฟาริสี “สอนและสั่ง” เพื่อแสดงบารมีและอิทธิพลเหนือคนบาป แต่เขาไม่มีอำนาจเหนือชีวิตของคนเหล่านี้)
เมื่อคนเก็บภาษีและคนบาปกลุ่มนี้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูกลับมีความรู้สึกที่แตกต่างและสดชื่นในชีวิต เขาสัมผัสกับความรักเมตตาของพระคริสต์ พวกเขาสัมผัสกับ “พระคุณ” ของพระองค์ ด้วยพระทัยเมตตา ด้วยความเข้าอกเข้าใจ
ด้วยการยอมรับเขาแต่ละคนว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า
ด้วยการเปิดโอกาสแห่งความสัมพันธ์ที่อบอุ่น ทำให้คนกลุ่มนี้ติดตามและต้องการอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์
แท้จริงแล้วความรู้สึกนี้เริ่มต้นจากการที่พระองค์ต้องการอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาก่อน และนี่คือแบบอย่างการอภิบาลคนในสังคมชุมชนของพระเยซูคริสต์
นี่คือความต่างของภาวะผู้นำแบบพระเยซู
และ ภาวะผู้นำแบบฟาริสี
ภาวะผู้นำแบบฟาริสีคือการสร้างอิทธิพลในการเป็นผู้นำคนอื่นด้วยการเสริมสร้างความสำคัญของตนเองให้โดดเด่นเหนือคนอื่น ในเวลานั้นฟาริสีแบ่งแยกกีดกัน
“คนเก็บภาษีและคนบาป” ออกจากคนที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พวกเขาสั่ง เพราะไม่ต้องการให้ชีวิตของตน หรือ
ผู้บริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อนจากการทำความผิดบาปของคนบาปกลุ่มดังกล่าว
ตรงกันข้าม ภาวะผู้นำแบบพระเยซู
กลับเป็นผู้นำที่เข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนอื่น กับคนเก็บภาษีและคนบาปด้วยสัมพันธภาพแบบพระคุณ
ที่ประสงค์กอบกู้คนเหล่านี้ให้ออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายที่ครอบงำชีวิตของคนกลุ่มนี้ ซึ่งธรรมบัญญัติและประเพณีปฏิบัติของพวกฟาริสีทำไม่ได้ช่วยไม่ได้
เราจึงสามารถเห็นภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงของภาวะผู้นำแบบพระเยซูกับภาวะผู้นำแบบฟาริสี เป็นความแตกต่างของภาวะผู้นำที่มีใจเมตตาต้องการกอบกู้ชีวิตของผู้คนที่ตนสัมผัสด้วย กับภาวะผู้นำที่ป้องกันตนเองจากความผิดบาปด้วยการกีดกันแบ่งพวกคนบริสุทธิ์ออกจากคนบาป แล้วเพียรปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แต่ก็พบว่า ตนเองและผู้คนก็ปกป้องใจตนเองจากอำนาจแห่งความบาปชั่วไม่ได้
ที่พวกฟาริสีต่อว่าพระเยซูคริสต์และสาวกที่ไปคลุกคลีกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป ใจหนึ่งเป็นการเตือนหรือการปรามด้วยใจห่วงใยจากประสบการณ์ของตน เพราะกลัวว่า
พระเยซูและสาวกจะถูกแปดเปื้อนด้วยการกระทำบาปอย่างพวกคนเก็บภาษีและคนบาป นี่เป็นการปรามด้วยความห่วงใย ซึ่งเราต้องยอมรับว่า มีความจริงและความเป็นไปได้ในคำเตือนและการปรามของพวกฟาริสีด้วย
ซึ่งในปัจจุบันเราก็สามารถเห็นได้ไม่ยากนัก ที่คริสเตียน หรือ
ผู้นำคริสเตียนเข้าใช้ชีวิตคลุกคลีกับคนในสังคม
แล้วถูกครอบงำให้ไปทำอย่างคนในสังคมในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
เพียงเพื่อจะสร้างความเป็นผู้นำของตนเหนือคนอื่นๆ
แต่จุดยืนของพระเยซูคริสต์ชัดเจนในประเด็นนี้คือ
“คนสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ
แต่คนป่วยต้องการ...”(ข้อ 17) ในที่นี้มีความหมายตรงว่า คนเก็บภาษีและคนบาปเหล่านี้เขารู้ตัวว่า
ตนเป็นคนบาป ตนมีชีวิตที่ “ไม่แข็งแรง”
ไม่มีสุขภาพที่ดี
พวกเขาต้องการหมอที่จะช่วยรักษาให้เขามีสุขภาพที่แข็งแรง ขึ้น ดังนั้น
พระเยซูคริสต์จะทอดทิ้ง “คนป่วย” ที่ต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรง ต้องการมีพลังชีวิต และต้องการหลุดรอดออกจากการครอบงำของอำนาจบาปได้อย่างไร?
ในประเด็นนี้พระเยซูคริสต์กำลังชี้ให้พวกธรรมาจารย์และฟาริสีเห็นว่า คนบาปเหล่านี้เป็นคน
และเป็นคนที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า
ดังนั้น
พระองค์จึงคลุกคลีใช้ชีวิตกับพวกเขา
เพื่อที่จะช่วยปลอดปล่อยเขาให้หลุดรอดออกจากอำนาจการครอบงำของความบาปชั่ว
ในอีกความหมายหนึ่ง
พระเยซูคริสต์ได้ตอบธรรมาจารย์และฟาริสีด้วยสัจจะความจริงอีกระดับหนึ่งว่า
การที่จะต้องใช้ชีวิตคลุกคลีกับคนที่ถูกอำนาจบาปชั่วครอบงำอยู่นั้น คนที่จะอยู่ด้วยจะต้องเป็นคนที่มี
“สุขภาพชีวิตที่แข็งแรง” มิเช่นนั้นจะไม่สามารถรับมือต่อสู้กับอำนาจความบาปชั่วที่ครอบงำคนเก็บภาษีและคนบาปกลุ่มนี้
ภาวะผู้นำด้านจิตวิญญาณมิใช่เพียงการบังคับกะเกณฑ์ให้ผู้คนทำตามบัญญัติ
เพราะถ้าชีวิตที่ถูกครอบงำจากอำนาจของความบาปชั่วย่อมไม่มีพลังที่จะปฏิบัติตามกฎบัญญัติที่พวกฟาริสีบังคับสั่งการได้
ผู้นำทางจิตวิญญาณที่แท้จริงคือผู้ที่สามารถคลุกคลีใช้ชีวิตใกล้ชิดกับคนที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจของความบาปชั่ว โดยความรักเมตตา
ด้วยการเปิดใจยอมรับเขาว่าเป็นลูกคนหนึ่งของพระเจ้า แล้วช่วยปลดปล่อยเขาให้หลุดรอดออกจากจากอำนาจร้ายนั้น
นำเขามาเป็นคนของพระคริสต์
ภาวะผู้นำแบบพระเยซูคริสต์ เป็นภาวะผู้นำที่รักเมตตา เปิดโอกาส
และยอมรับทุกคนว่ามีคุณค่าสายพระเนตรของพระเจ้า
แล้วทรงมีพลังอำนาจที่จะปลดปล่อยคนนั้นให้เป็นไทจากอำนาจของความบาปชั่ว แล้วช่วยคนนั้นให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าในแผ่นดินของพระองค์
ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาวะผู้นำแบบธรรมาจารย์และฟาริสี ที่พยายามสร้างตนเองให้มีอิทธิพลเหนือชีวิตของผู้คนทั้งหลาย
ด้วยการแสดงตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์และชอบธรรม ด้วยการไม่คลุกคลีและสัมพันธ์กับคนบาป
เขาพยายามสร้างอิทธิพลเหนือชีวิตของผู้คนเหล่านั้น
แต่เขาไม่มีพลังอำนาจที่จะปกป้องตนเองจากอำนาจความบาปชั่วที่ครอบงำในชีวิตผู้คน และไม่สามารถที่จะช่วยให้ผู้คนหลุดรอดและเป็นไทจากอำนาจความบาปชั่วเหล่านั้นได้ จึงไม่แปลกที่เขาเลือกปกป้องและแบ่งแยกตนเองจากคนบาป
เพื่อเสริมสร้างความบริสุทธิ์ของตน
วันนี้พระคริสต์ทรงเรียกและมีพระบัญชาให้เราแต่ละคนรับการทรงเสริมสร้างจากพระองค์ให้มี
“สุขภาพชีวิต” ที่แข็งแรง เพื่อเราจะใช้ชีวิตคลุกคลีกับ
“คนบาปในสังคม” ยุคปัจจุบันได้
ด้วยความรักเมตตา
ด้วยน้ำใจที่เปิดกว้างยอมรับ
และเปิดโอกาสแก่ผู้คนที่เราพบเห็น
เพื่อจะอภิบาลชีวิตของพวกเขาตามที่พระคริสต์เป็นต้นแบบ แล้วทุ่มเทชีวิตของเราที่จะชี้นำเขาให้ได้รับการปลดปล่อยออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วด้วยพลังฤทธานุภาพของพระคริสต์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น