24 สิงหาคม 2555

สร้างอิทธิพลชีวิตแบบไหน?


อ่านพระธรรมมาระโก 2:15-17

ขณะพระเยซูเสวยพระกระยาหารค่ำที่บ้านของเลวี
มีคนเก็บภาษี และ คนบาป หลายคนรับประทานอาหารร่วมกับพระองค์และเหล่าสาวก
เพราะมีคนมากมายติดตามพระองค์มา
(มาระโก 2:15 อมตธรรม)

พระเยซูทรงเรียกคนเก็บภาษีที่ชื่อว่าเลวีลูกของอัลเฟอัส (มาระโก 2:13-14) ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับคนที่เราคุ้นชินชื่อว่ามัทธิว  ผู้บันทึกพระกิตติคุณมัทธิว เหตุการณ์ในตอนนี้อาจจะตั้งชื่อได้ว่า “เมื่อคนบาปกลับใจ” (ศึกษาประวัติของมัทธิวได้ในมัทธิวบทที่ 9 อมตธรรม ฉบับอธิบาย) 

เมื่อคนบาปกลับใจ เขากลับใจด้วยความชื่นชมยินดี  เขากลับใจโดยไม่แบ่งแยกกีดกันตนเองออกจากเพื่อนเดิมๆ ของเขา เพื่อทำตนเป็น “ผู้บริสุทธิ์”  แต่เลวีมิได้เป็นเช่นนั้น  เขาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน เขาเปิดบ้านให้คนทั้งหลายมาร่วมงานเลี้ยงในบ้านของเขาด้วยความชื่นชมยินดี   และก็ไม่ได้เป็นงานเลี้ยงของ “คนดี” ที่ได้รับความรอด  หรือ เฉพาะพระเยซูและสาวกเท่านั้น   แต่เขาเปิดบ้านเชิญชวนต้อนรับ “คนเก็บภาษี และ คนบาป” ในเวลานั้นให้เข้ามาร่วมในงานเลี้ยงที่เขาจัดขึ้นด้วย   “คนเก็บภาษีและคนบาป” เหล่านี้คือใคร?   คือคนที่ได้เห็น ได้ยินได้ฟัง และได้สัมผัสกับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์แล้ว “ติดตาม” พระเยซูมา (ดูข้อ 15)  

เมื่อคนบาปกลับใจเขาเปิดโอกาสให้คนบาปคนอื่นๆ ได้สัมผัสกับพลังแห่งความรักเมตตาและความรอดด้วย   ต่างจากคนดีที่คิดว่าตนไม่ต้องกลับใจแต่ต้องพยายามสร้าง “กำแพง” แบ่งแยกตนเองออกจากคนอื่น   เพื่อสร้างบารมีของ “ผู้บริสุทธิ์” เหนือคนอื่นรอบข้าง

ทำไมพวก “คนเก็บภาษีและคนบาป” พวกนี้ถึงติดตามผู้นำศาสนาอย่างพระเยซู?   ซึ่งเรารู้อยู่เต็มอกว่า คนกลุ่มนี้พยายามหนีห่างจากพวกผู้นำศาสนายิวคนอื่นๆ ในเวลานั้น   ถ้าอ่านจากพระธรรมตอนนี้เราสามารถสัมผัสได้ว่า  พวกคนเก็บภาษีและคนบาปกลุ่มนี้มีความรู้สึกสะดวกกายและสบายใจที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซู   มากกว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีผู้เคร่งครัดและมีใจอคติ   เพราะท่าทีของพวกฟาริสีมุ่งแต่จะสอนและสั่งมากกว่าการช่วยให้พวกเขาได้รับความรอด (พวกฟาริสี “สอนและสั่ง” เพื่อแสดงบารมีและอิทธิพลเหนือคนบาป   แต่เขาไม่มีอำนาจเหนือชีวิตของคนเหล่านี้)

เมื่อคนเก็บภาษีและคนบาปกลุ่มนี้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูกลับมีความรู้สึกที่แตกต่างและสดชื่นในชีวิต   เขาสัมผัสกับความรักเมตตาของพระคริสต์  พวกเขาสัมผัสกับ “พระคุณ” ของพระองค์   ด้วยพระทัยเมตตา  ด้วยความเข้าอกเข้าใจ  ด้วยการยอมรับเขาแต่ละคนว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า   ด้วยการเปิดโอกาสแห่งความสัมพันธ์ที่อบอุ่น   ทำให้คนกลุ่มนี้ติดตามและต้องการอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์   แท้จริงแล้วความรู้สึกนี้เริ่มต้นจากการที่พระองค์ต้องการอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาก่อน   และนี่คือแบบอย่างการอภิบาลคนในสังคมชุมชนของพระเยซูคริสต์

นี่คือความต่างของภาวะผู้นำแบบพระเยซู และ ภาวะผู้นำแบบฟาริสี  

ภาวะผู้นำแบบฟาริสีคือการสร้างอิทธิพลในการเป็นผู้นำคนอื่นด้วยการเสริมสร้างความสำคัญของตนเองให้โดดเด่นเหนือคนอื่น   ในเวลานั้นฟาริสีแบ่งแยกกีดกัน “คนเก็บภาษีและคนบาป” ออกจากคนที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พวกเขาสั่ง   เพราะไม่ต้องการให้ชีวิตของตน หรือ ผู้บริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อนจากการทำความผิดบาปของคนบาปกลุ่มดังกล่าว

ตรงกันข้าม  ภาวะผู้นำแบบพระเยซู กลับเป็นผู้นำที่เข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนอื่น กับคนเก็บภาษีและคนบาปด้วยสัมพันธภาพแบบพระคุณ   ที่ประสงค์กอบกู้คนเหล่านี้ให้ออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายที่ครอบงำชีวิตของคนกลุ่มนี้  ซึ่งธรรมบัญญัติและประเพณีปฏิบัติของพวกฟาริสีทำไม่ได้ช่วยไม่ได้

เราจึงสามารถเห็นภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงของภาวะผู้นำแบบพระเยซูกับภาวะผู้นำแบบฟาริสี   เป็นความแตกต่างของภาวะผู้นำที่มีใจเมตตาต้องการกอบกู้ชีวิตของผู้คนที่ตนสัมผัสด้วย   กับภาวะผู้นำที่ป้องกันตนเองจากความผิดบาปด้วยการกีดกันแบ่งพวกคนบริสุทธิ์ออกจากคนบาป  แล้วเพียรปฏิบัติตามกฎบัญญัติ   แต่ก็พบว่า ตนเองและผู้คนก็ปกป้องใจตนเองจากอำนาจแห่งความบาปชั่วไม่ได้

ที่พวกฟาริสีต่อว่าพระเยซูคริสต์และสาวกที่ไปคลุกคลีกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป  ใจหนึ่งเป็นการเตือนหรือการปรามด้วยใจห่วงใยจากประสบการณ์ของตน   เพราะกลัวว่า พระเยซูและสาวกจะถูกแปดเปื้อนด้วยการกระทำบาปอย่างพวกคนเก็บภาษีและคนบาป   นี่เป็นการปรามด้วยความห่วงใย   ซึ่งเราต้องยอมรับว่า มีความจริงและความเป็นไปได้ในคำเตือนและการปรามของพวกฟาริสีด้วย   ซึ่งในปัจจุบันเราก็สามารถเห็นได้ไม่ยากนัก   ที่คริสเตียน หรือ ผู้นำคริสเตียนเข้าใช้ชีวิตคลุกคลีกับคนในสังคม   แล้วถูกครอบงำให้ไปทำอย่างคนในสังคมในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์   เพียงเพื่อจะสร้างความเป็นผู้นำของตนเหนือคนอื่นๆ

แต่จุดยืนของพระเยซูคริสต์ชัดเจนในประเด็นนี้คือ “คนสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ  แต่คนป่วยต้องการ...”(ข้อ 17)  ในที่นี้มีความหมายตรงว่า  คนเก็บภาษีและคนบาปเหล่านี้เขารู้ตัวว่า ตนเป็นคนบาป ตนมีชีวิตที่ “ไม่แข็งแรง”  ไม่มีสุขภาพที่ดี   พวกเขาต้องการหมอที่จะช่วยรักษาให้เขามีสุขภาพที่แข็งแรง ขึ้น  ดังนั้น  พระเยซูคริสต์จะทอดทิ้ง “คนป่วย” ที่ต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรง  ต้องการมีพลังชีวิต  และต้องการหลุดรอดออกจากการครอบงำของอำนาจบาปได้อย่างไร?   ในประเด็นนี้พระเยซูคริสต์กำลังชี้ให้พวกธรรมาจารย์และฟาริสีเห็นว่า  คนบาปเหล่านี้เป็นคน และเป็นคนที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า   ดังนั้น  พระองค์จึงคลุกคลีใช้ชีวิตกับพวกเขา   เพื่อที่จะช่วยปลอดปล่อยเขาให้หลุดรอดออกจากอำนาจการครอบงำของความบาปชั่ว

ในอีกความหมายหนึ่ง   พระเยซูคริสต์ได้ตอบธรรมาจารย์และฟาริสีด้วยสัจจะความจริงอีกระดับหนึ่งว่า   การที่จะต้องใช้ชีวิตคลุกคลีกับคนที่ถูกอำนาจบาปชั่วครอบงำอยู่นั้น  คนที่จะอยู่ด้วยจะต้องเป็นคนที่มี “สุขภาพชีวิตที่แข็งแรง”   มิเช่นนั้นจะไม่สามารถรับมือต่อสู้กับอำนาจความบาปชั่วที่ครอบงำคนเก็บภาษีและคนบาปกลุ่มนี้   ภาวะผู้นำด้านจิตวิญญาณมิใช่เพียงการบังคับกะเกณฑ์ให้ผู้คนทำตามบัญญัติ   เพราะถ้าชีวิตที่ถูกครอบงำจากอำนาจของความบาปชั่วย่อมไม่มีพลังที่จะปฏิบัติตามกฎบัญญัติที่พวกฟาริสีบังคับสั่งการได้  

ผู้นำทางจิตวิญญาณที่แท้จริงคือผู้ที่สามารถคลุกคลีใช้ชีวิตใกล้ชิดกับคนที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจของความบาปชั่ว  โดยความรักเมตตา  ด้วยการเปิดใจยอมรับเขาว่าเป็นลูกคนหนึ่งของพระเจ้า  แล้วช่วยปลดปล่อยเขาให้หลุดรอดออกจากจากอำนาจร้ายนั้น  นำเขามาเป็นคนของพระคริสต์

ภาวะผู้นำแบบพระเยซูคริสต์   เป็นภาวะผู้นำที่รักเมตตา  เปิดโอกาส  และยอมรับทุกคนว่ามีคุณค่าสายพระเนตรของพระเจ้า   แล้วทรงมีพลังอำนาจที่จะปลดปล่อยคนนั้นให้เป็นไทจากอำนาจของความบาปชั่ว   แล้วช่วยคนนั้นให้มาอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าในแผ่นดินของพระองค์

ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาวะผู้นำแบบธรรมาจารย์และฟาริสี   ที่พยายามสร้างตนเองให้มีอิทธิพลเหนือชีวิตของผู้คนทั้งหลาย   ด้วยการแสดงตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์และชอบธรรม   ด้วยการไม่คลุกคลีและสัมพันธ์กับคนบาป   เขาพยายามสร้างอิทธิพลเหนือชีวิตของผู้คนเหล่านั้น   แต่เขาไม่มีพลังอำนาจที่จะปกป้องตนเองจากอำนาจความบาปชั่วที่ครอบงำในชีวิตผู้คน   และไม่สามารถที่จะช่วยให้ผู้คนหลุดรอดและเป็นไทจากอำนาจความบาปชั่วเหล่านั้นได้   จึงไม่แปลกที่เขาเลือกปกป้องและแบ่งแยกตนเองจากคนบาป เพื่อเสริมสร้างความบริสุทธิ์ของตน

วันนี้พระคริสต์ทรงเรียกและมีพระบัญชาให้เราแต่ละคนรับการทรงเสริมสร้างจากพระองค์ให้มี “สุขภาพชีวิต” ที่แข็งแรง  เพื่อเราจะใช้ชีวิตคลุกคลีกับ “คนบาปในสังคม” ยุคปัจจุบันได้   ด้วยความรักเมตตา  ด้วยน้ำใจที่เปิดกว้างยอมรับ  และเปิดโอกาสแก่ผู้คนที่เราพบเห็น   เพื่อจะอภิบาลชีวิตของพวกเขาตามที่พระคริสต์เป็นต้นแบบ   แล้วทุ่มเทชีวิตของเราที่จะชี้นำเขาให้ได้รับการปลดปล่อยออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วด้วยพลังฤทธานุภาพของพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น