27 สิงหาคม 2555

ผู้จุดประกายความสัมพันธ์


เมื่อหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยได้ไหม?”...
(ยอห์น 4:7 อมตธรรม)

เมื่อเราอ่านเรื่องราวตลอดพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม  ภาพหนึ่งที่น่าสังเกตมากคือ  พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์กับผู้คนที่พระองค์พบเห็น

จากพระธรรมตอนนี้ที่เราอ่าน หญิงสะมาเรียมาเพื่อที่จะตักน้ำที่บ่อน้ำ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้จุดประกายเริ่มต้นการสนทนา ทั้งๆ ที่ธรรมเนียมปฏิบัติถ้าไม่จำเป็นแล้วคนยิวจะไม่สนทนากับคนสะมาเรีย แต่ในกรณีนี้ไม่ธรรมดา นอกจากที่เป็นคนสะมาเรียแล้วยังเป็นสตรีอีกด้วย แล้วก็ไม่ใช่การทักทายสนทนาธรรมดาทั่วไป แต่พระเยซูริเริ่มความสัมพันธ์ด้วยการขอดื่มน้ำจากหญิงสะมาเรีย แม้แต่หญิงสะมาเรียเองก็แปลกประหลาดใจในการริเริ่มสนทนาและสร้างสัมพันธภาพของพระเยซูคริสต์ จนกล่าวออกมาว่า “ท่านเป็นยิวส่วนดิฉันเป็นหญิงสะมาเรีย  ท่านมาขอน้ำจากดิฉันได้อย่างไร” (ข้อ 9เหตุการณ์นี้มิใช่เหตุการณ์พิเศษเพียงครั้งเดียว แต่ตลอดชีวิตและการทำพันธกิจของพระเยซูคริสต์เราพบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้จุดประกายความสัมพันธ์ เช่น

ที่บ่อน้ำเบเธสดา หรือ ที่เราคุ้นหูที่เรียกว่า เบธไซดา ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูแกะในกรุงเยรูซาเล็ม สระน้ำแห่งนี้ล้อมรอบด้วยศาลาห้าหลัง ซึ่งเป็นที่อยู่พักของคนเจ็บคนป่วยนานาชนิด ที่หวังจะหายโรคด้วยการเป็นคนแรกที่ลงไปในสระน้ำเมื่อเกิดการกระเพื่อม เมื่อพระเยซูคริสต์มาถึงเบเธสดา พระองค์ตรงเข้าไปหาชายคนหนึ่งที่นอนป่วยมา 38 ปี ด้วยหวังที่จะหายโรค พระเยซูคริสต์ทรงริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์กับคนป่วยคนนี้ด้วยถามว่า “ท่านต้องการจะหายโรคหรือไม่?” (ยอห์น 5:6 อมตธรรม)

ขณะเดินทางไปกับสาวก พระเยซูคริสต์พบฟีลิป พระองค์ทรงริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์ด้วยการทรงเรียกเขา “จงตามเรามา” (1:40)

เมื่อพระองค์เดินทางไปกับสาวก กำลังจะเดินทางผ่านด่านเก็บภาษี พระองค์ทรงเห็นมัทธิวนั่งเก็บภาษีอยู่ที่ด่านนั้น พระองค์ทรงริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์ว่า “จงตามเรามา” มัทธิวก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ไป (มัทธิว 9:9 อมตธรรม)

ขณะที่พระองค์กำลังเดินทางเข้าเมืองเยรีโค มีคนที่เดินติดตามพระองค์ไปอย่างเนืองแน่น ศักเคียส ซึ่งเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษีผู้ร่ำรวย เป็นคนเตี้ยและต้องการเพียงที่มองให้เห็นว่าพระเยซูเป็นใคร จึงปีนขึ้นบนต้นไม้ แต่พระเยซูกลับเป็นผู้ริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์กับศักเคียส ด้วยการเสนอตัวที่จะไปบ้านของเขา พระเยซูแหงนพระพักตร์แล้วตรัสกับศักเคียสที่อยู่บนต้นไม้ว่า “ศักเคียสเอ๋ย รีบลงมาเถิด วันนี้เราต้องพักที่บ้านของท่าน” (ลูกา 19:5 อมตธรรม)

จากตัวอย่างเรื่องราวชีวิตและพันธกิจของพระเยซูคริสต์ที่ยกมาข้างต้นเป็นเพียงบางเหตุการณ์ที่เราเห็นชัดเจนว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์ ซึ่งถ้าพิจารณาอย่างละเอียดเราก็จะพบว่า กรณีที่ยกมาเป็นตัวอย่างทั้งหมดนี้ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ริเริ่มเป็นผู้จุดประกายความสัมพันธ์ ทุกอย่างก็จะถูกปล่อยให้เลยตามเลย ไม่มีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคนๆ นั้นและคนรอบข้าง

ถ้าพระเยซูคริสต์ทำตัวเป็นยิวผู้ทะนงในชาติเกิดที่บริสุทธิ์กว่า ไม่ทักทายริเริ่มสัมพันธ์กับหญิงสะมาเรียที่ข้างบ่อน้ำ หญิงนั้นก็จะไม่พบสัจจะความจริง และ รู้เท่าทันตนเอง จนกลับใจ แล้วยังนำข่าวดีไปยังคนทั้งเมืองทำให้คนทั้งหลายได้พบและเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสสิยาห์

ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์ที่เบเธสดา หรือ บ่อน้ำที่เบธไซดา แล้ว ชายคนนั้นก็คงต้องนอนป่วยต่อไป ไม่รู้ว่าจะหายโรคได้ไหมเพราะไม่มีใครมาช่วยยกเขาให้ลงไปที่บ่อน้ำเป็นคนแรกเมื่อน้ำกระเพื่อม การริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์จากพระเยซูคริสต์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองใหม่  แล้วเขาทำตาม จึงพบว่าความหวังใหม่นั้นเป็นจริงในชีวิตเขา ชีวิตใหม่ของเขาเริ่มต้น ชีวิตเปลี่ยนแปลง 

ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์ทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามเป็นสาวกของพระองค์ก่อน   มัทธิว หรือ อีกชื่อว่าเลวี ก็คงเป็นคนเก็บภาษี แล้วนั่งเก็บภาษีที่ด่านนั้นอีกต่อไป แต่เพราะพระเยซูคริสต์ทรงริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์ ชีวิตของมัทธิวจึงเปลี่ยนจากเก็บภาษีจากผู้คน เป็นชีวิตที่เรียนรู้การให้ชีวิตแก่ผู้คนจากพระเยซูคริสต์ และด้วยพื้นฐานศักยภาพในการเขียนในการบันทึก ท่านจึงได้บันทึกเรื่องราวชีวิตและการทำพันธกิจของพระเยซูคริสต์ให้ผู้คนได้อ่าน ได้เข้าใจ และได้สัมผัสกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์กับศักเคียส และเสนอตัวไปพักที่บ้านของเขา ศักเคียสและครอบครัวก็จะไม่ได้พบชีวิตใหม่ เพราะศักเคียสสุภาพพอที่จะไม่เชิญพระเยซูไปพักที่บ้านของเขาแน่   การเชิญเช่นนั้นในสายตาและความเข้าใจในเวลานั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรับบีอย่างพระเยซูคริสต์จะถูกแปดเปื้อนความบาปสกปรกที่มาใช้ชีวิต มาพักในบ้าน และร่วมรับประทานอาหารกับ “หัวหน้าคนเก็บภาษี” แต่เพราะพระเยซูคริสต์เสนอตนเองที่จะไปพักที่บ้านของศักเคียส  ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  สิ่งใหม่ปรากฏ

แต่เราท่านหลายคนคงบอกตนเองในใจว่า เราเป็นคนประเภท “เก็บตัว” (introvert) สิ่งข้างต้นไม่สอดคล้องเหมาะสมกับบุคลิกลักษณะชีวิตของเรากระมัง   ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น

แต่ถ้าพิจารณาบุคลิกลักษณะของพระเยซูคริสต์ ความสำคัญไม่ได้ขึ้นกับว่าพระองค์มีบุคลิกลักษณะแบบไหนในชีวิต แต่พระเยซูคริสต์เริ่มต้นที่พระองค์มีมุมมอง หรือ สายตาที่มองเห็นถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในผู้คนแต่ละคน และด้วยพระทัยเมตตากรุณา พระองค์ต้องการให้ผู้คนที่พระองค์พบเห็นได้สัมผัสและสัมพันธ์และได้รับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของตนและคนรอบข้าง ให้พวกเขาได้รับคุณรับประโยชน์ในชีวิตเพื่อแบ่งปันพระคุณและคุณค่าชีวิตใหม่แก่ผู้อื่นต่อไป

ถ้าคนที่เรียกตนเองว่า “คริสเตียน” หรือประกาศตนเป็นคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ แต่กลับเฉยเมยต่อผู้คนรอบข้างที่พบเห็น  ไม่เห็นคุณค่าในความเป็นคนในตัวของคนเหล่านั้น ไม่สนใจที่จะริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นที่ตนพบเห็น นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความผิดปกติในความเป็น “คริสเตียน” ของคนๆ นั้น

เมื่อมีคนมาถามพระเยซูคริสต์ว่า ธรรมบัญญัติข้อใดใหญ่ที่สุด   พระเยซูตอบเขาว่า  จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ และ สิ้นสุดความคิด   ทันทีพระองค์ตอบต่อไปว่า และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (มัทธิว 22:37-39)  พระเยซูคริสต์ทำในสิ่งที่พระองค์สอนให้ผู้คนเห็นเป็นรูปธรรม   มิใช่เป็นเพียงบัญญัติคำสอนประจำใจเท่านั้น  มิใช่เชื่อเท่านั้น

วันนี้ ให้เราใส่ใจต่อเสียงการทรงเรียกภายในชีวิตของเรา เพื่อเราจะรู้ว่า วันนี้พระองค์เปิดโอกาสให้เราริเริ่มจุดประกายความสัมพันธ์กับใครบ้างที่เราจะพบเห็น กับคนที่เราพบในที่ทำงาน เพื่อเป็นการจุดไฟแห่งความ หวังใหม่ในชีวิตของคนเหล่านั้น เพราะการได้สัมผัสกับความรักเมตตาของพระคริสต์  และข่าวดีของพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ของเขา นำสู่การสร้างเสริมชีวิตใหม่ และ คุณค่าใหม่ในชีวิต

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น