อ่าน พระธรรมโรม 14:1-9
ความแตกต่างไม่ได้สร้างความแตกแยกเสมอไป!
แต่เป็นความแตกต่างในมุมมองทัศนคติของแต่ละคนในเรื่องเดียวกัน
แล้วต่างติดยึดและพยายามทำให้เห็นว่ากรอบคิดหรือมุมมองในเรื่องนั้นของตนต่างหากที่ถูกต้องที่สุด
หรือ
ต้องเป็นหลักเกณฑ์เดียวที่จะต้องยึดถือต่างหากที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างต้องทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ ความแตกต่างเช่นนี้แหละที่ทำให้เกิดความแตกแยก!
จักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษแรกนั้นมีหนทางไปมาหาสู่กันสะดวกที่สุดในยุคนั้น จึงมีผู้คนที่เดินทางจากทุกภูมิภาคในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเคลื่อนย้าย
เดินทาง มากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหานครโรมจะมีผู้คนที่มีภูมิหลังชาติพันธุ์ วัฒนธรรม
ภาษา และกรอบคิดมุมมองที่แตกต่างหลากหลายมาพบปะ สัมพันธ์
ทำธุรกรรมด้านต่างๆกัน
คริสตจักรโรมก็ตั้งในบริบทดังกล่าว
แน่นอนครับในคริสตจักรโรมมีสมาชิก
ผู้คนหลากหลายวัฒนธรรม ภูมิหลัง กรอบคิด
ที่แตกต่างมากมาย
บางคนมาจากภูมิหลังที่ไม่กินหมูอย่างยิว บางคนมาจากภูมิหลังที่เป็นมังสวิรัติ
ในขณะที่บางกลุ่มมาจากภูมิหลังที่เชื่อว่าทุกอย่างรับประทานได้
มีบางคนบางกลุ่มที่เชื่อว่ามีบางวันที่สำคัญกว่าวันอื่นๆ ศักดิ์สิทธิ์กว่าทุกวัน
ในขณะที่มีอีกกลุ่มหนึ่งกลับเห็นว่ามีวันอื่นที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์กว่า ในขณะที่บางคนเห็นว่าทุกวันมีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์เท่ากันหมด
ด้วยความแตกต่างหลากหลายดังที่กล่าวนี้เอง ที่อาจจะนำมาซึ่งความแตกแยก แตกก๊ก
แตกพวก เปาโลจึงเริ่มบทที่ 14 ด้วยข้อความว่า “จงต้อนรับคนที่มีความเชื่อน้อยอยู่(ความเชื่อที่แตกต่าง) แต่ ไม่ใช่ให้โต้เถียงกัน
ในเรื่องที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว” (ข้อ 1
ฉบับมาตรฐาน) ใช่เลยครับ ถ้าคนในคริสตจักรนำเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาโต้เถียงกัน
หนีไม่พ้นจะต้องตัดสินว่าความคิดเห็นของใครผิด ความคิดเห็นของใครถูก แล้วคริสตจักรจะยึดความคิดเห็นของใครเป็นหลัก ความคิดเห็นของฝ่ายที่ตกไป
ก็จะแยกตัวออกจากคริสตจักรไปตั้งคริสตจักรใหม่
ประเด็นหลังนี้เป็นประสบการณ์ของคริสตจักรไทยปัจจุบันครับ
เปาโลให้หลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการความแตกต่างดังนี้...
“จงยอมรับ
ผู้ที่อ่อนแอในความเชื่อ โดยไม่ตัดสินเขาในเรื่องที่มีความเห็นแตกต่างกัน...(ข้อ
1 อมตธรรม)
คนที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
คนที่กินทุกอย่างก็กินเพื่อถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า
คนที่ไม่กิน
ก็ไม่กินเพื่อถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบพระคุณพระเจ้า...”
(ข้อ 5-6 ฉบับมาตรฐาน)
เปาโลให้หลักการประการแรกที่จะไม่ให้กรอบคิด หรือ
ความคิดเห็นส่วนตัวที่แตกต่างทำให้เกิดความแตกแยกในคริสตจักรคือ “การยอมรับ” และการไม่เปิดโอกาสให้ “โต้เถียงกัน” ในเรื่องความคิดเห็นส่วนตัว เพราะนั่นเป็นชนวนที่นำไปสู่ความแตกหัก เพราะเปิดโอกาสให้เอาแพ้เอาชนะกัน ซึ่งไม่ใช่วิถีชีวิต และ คุณธรรมคริสเตียน
ประการที่สอง
การมีกรอบคิด ความคิดเห็นส่วนตัว
ทุกอย่างของแต่ละคนนั้นมีจุดประสงค์มุ่งไปสู่การนมัสการพระเจ้า หรือนำไปสู่การถวายเกียรติแด่พระองค์
ในที่นี้รวมไปถึงว่าเมื่อเรายึดมั่นในความคิดส่วนตัวของเรา และ
ปฏิบัติออกมาเช่นนั้นได้เป็นเหตุให้คนที่พบเห็นสรรเสริญ และ
ถวายพระเกียรติด้วย ดังนั้น จึงมิได้ขึ้นอยู่กับว่ากรอบคิดและความคิดเห็นส่วนตัวของใครถูกของใครผิด
แต่เราพิจารณาด้วยใจที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าว่า กรอบคิด
และความคิดเห็นส่วนตัวที่เรายึดมั่นนั้นได้ทำให้เป็นเหตุเกิดการถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่ต่างหาก!
ประการที่สาม
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ถ้าเราตัดสินใจที่จะเป็นสาวกติดตามพระคริสต์แล้ว เป้าหมายปลายทางในทุกมิติชีวิตของเราคือ เรามีชีวิตอยู่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ดั่งที่เปาโลกล่าวไว้ว่า เมื่อตัดสินใจมาเป็นสาวกของพระคริสต์แล้ว
“ เราไม่ได้อยู่เพื่อตนเอง และเราไม่ได้ตายเพื่อตนเอง
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถ้าเราตายก็เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตายไปก็ตาม เราก็เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
(ข้อ 7-8 อมตธรรม)
ก่อนที่เราจะโต้เถียงกันในความคิดเห็นส่วนตัว หรือจะตัดสินความคิดเห็นใครว่าเป็นเช่นไร จำเป็นที่เราจะต้องทบทวนตนเองก่อนว่า ทุกวันนี้อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของเรา และเราเป็นคนของใคร?
ในปัจจุบันนี้
สิ่งที่คริสตจักรไทย “โต้เถียง” กัน และ “ตีตราตัดสิน” กัน
มีหลายเรื่องที่แตกต่างจากสมัยคริสตจักรเริ่มแรกในกรุงโรม เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปและบริบท
วัฒนธรรม กรอบคิด แนวคิดแตกต่างกัน
แต่เรายังสามารถยึดหลักการความเชื่อที่เปาโลแนะนำคริสตจักรในกรุงโรมได้อย่างเกิดผล
แม้ว่าในคริสตจักรของเราจะมีความคิดเห็นส่วนตัวที่หลากหลายแตกต่างกัน แต่เราจะไม่ใช้ความแตกต่างเหล่านั้นที่มีเป็นเครื่องมือในการเอาแพ้เอาชนะ สร้างความเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง หรือเพื่อทำการห้ำหั่นเข่นฆ่าให้ตายไปข้างหนึ่งแล้ว
ความแตกต่างดังกล่าวคงจะไม่สามารถสร้างความแตกแยกได้!
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. อะไรคือความคิดเห็น
มุมมอง
กรอบคิดที่แตกต่างกันในคริสตจักรของท่าน
ในสถาบัน หน่วยงานคริสเตียน หรือในที่ทำงานของท่านทุกวันนี้?
2.
ที่ผ่านมาท่าน และ องค์กรของท่านมีมีวิธีการจัดการความแตกต่างทางกรอบคิด
ความคิดเห็นส่วนตัวที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง?
ทำไมถึงเกิดผลเช่นนั้น?
3.
ท่านเคย “เปิดพื้นที่” สำหรับคนที่มี “ความเชื่อที่อ่อนแอ” หรือ มีความคิดที่แตกต่างจากท่าน เพื่อเขาจะมีที่ยืนที่รู้สึกปลอดภัย และหนุนเสริมให้เขาได้มีความเชื่อเติบโตขึ้น
หรือ มีวุฒิภาวะทางความเชื่อขึ้นในพระคริสต์หรือไม่? เพราะเหตุใด?
4.
ถ้าจะนำหลักการของเปาโลทั้ง 3 ประการไปประยุกต์ใช้ในคริสตจักรของท่านจะมีความเป็นไปได้หรือไม่? เพราะเหตุใด? และจะมีจุดเริ่มต้นอย่างไร?
ใคร่ครวญภาวนา
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อใคร่ครวญถึงคริสตจักรไทยในวันนี้ พบว่าได้เกิดการแตกแยกฉีกขาดที่เพิ่มมากขึ้น บางครั้งสาเหตุความแตกแยกนั้นเป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก
แต่บ่อยครั้งการแตกแยกเพราะการไม่เห็นด้วยกันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
และหลายครั้งสาวกของพระองค์ตั้งใจทำให้เกิดการแตกแยกเพื่อตนจะมีอำนาจมากขึ้น ปกครองง่ายขึ้น และการที่นำเอาระบบ “การเล่นการเมืองน้ำเน่า”
เข้ามาใช้ในคริสตจักรบริสุทธิ์ของพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าโปรดเมตตาและอภัยโทษข้าพระองค์ด้วยที่ข้าพระองค์ไม่ได้กระทำต่อพี่น้องของข้าพระองค์อย่างที่ควรกระทำ
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
โปรดช่วยให้คริสตจักรของพระองค์ในประเทศไทยได้เปิดใจยอมรับสิ่งที่มีความแตกต่างจากตน
ถึงแม้ตนจะไม่เห็นด้วยในหลักการบางประการ แต่ให้ตนยอมรับกันดังที่พระคริสต์ทรงยอมรับคนบาปอย่างข้าพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ยอมรับความแตกต่างของกันและกัน เพื่อนำมาซึ่งการสรรเสริญพระองค์ และเพื่อทั้งสองฝ่ายจะได้เติบโตขึ้น และ
มีวุฒิภาวะในชีวิตคริสเตียนมากขึ้น
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ท่ามกลางความแตกต่างอันเป็นชนวนนำสู่ความแตกแยก
ข้าพระองค์เลือกที่จะมีชีวิตในทุกสถานการณ์และบริบทที่มีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต
ขอมีชีวิตเพื่อพระคริสต์ และ เป็นคนของพระองค์ตลอดไป อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น