บางท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ชีวิตมิได้มีไว้รอให้พายุร้ายพัดผ่านไป แต่ชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะร่ายรำท่ามกลางวิกฤติเลวร้ายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต” ที่ว่า “ร่ายรำ”
ในที่นี้ผู้กล่าวประโยคนี้หมายถึงอะไรกันแน่ผมไม่รู้ครับ แต่คงไม่ใช่เราพยายามบอกตนเองให้สุขใจ หรือ แกล้งทำเป็นสุขใจ เมื่อวิกฤติโหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิต
และตั้งหน้าตั้งตาคอยรุ่งอรุณแห่งขอบฟ้าใหม่หลังพายุร้าย ผมเองคงยอมรับความคิดแบบนี้ไม่ได้
แต่ถ้าการ “ร่ายรำ” ในที่นี้หมายถึง
เวลาหรือโอกาสที่เราจะได้ติดสนิทกับพระเจ้า ชีวิตสัมผัสกับพระองค์ ความเข้าใจเช่นนี้ใจผมเห็นด้วยเกินร้อยครับ
บรรทัดสุดท้ายของเพลง
‘Underneath the Door’ ของ Michael Card มีเนื้อความว่า
“ความเจ็บปวดคือปากกาที่จรดเขียนบทเพลงและเชิญชวนให้เราเข้าไปร่ายรำในบทเพลงนั้น”
Card เรียกพวกเราให้ร่ายรำตามบทเพลงที่ความเจ็บปวดได้เขียนขึ้นเพื่อเรา เพลงนี้เขียนในทำนองที่เศร้า หลายตอนไม่มีความ “สวยงาม” เหลืออยู่ แท้จริงแล้วมันเป็นบทเพลงที่ หยาบ ห้าว
เกรี้ยวกราด
แต่เมื่อบทเพลงนี้จบสิ้นลงกลับพบผลงานชีวิตที่สำคัญเยี่ยมยอด เป็นงานชิ้นเอกทีเดียว
เรียนรู้ที่จะคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญ
เราจะร่ายรำในบทเพลงชีวิตที่ความเจ็บปวดประพันธ์ขึ้นได้อย่างไร? ก็ด้วยการมีชีวิตที่เป็นจริงกับพระเจ้า และการร่ายรำในบทเพลงชีวิตแห่งความทุกข์ยากลำบากนี้เป็นการนมัสการพระองค์ การมีชีวิตที่เป็นจริงกับพระเจ้า มิใช่เพียงการแสดงออกถึงการ “ขอบพระคุณพระเจ้า” “ข้าพระองค์รักพระองค์” เท่านั้น
แต่รวมไปถึงความรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจพระเจ้า ความรู้สึกว้าวุ่นในจิตใจ ความกลัว
ความสับสน ความสงสัย และความจริงในชีวิตอื่นๆ อีก
แสดงออกต่อพระองค์อย่างหมดเปลือกด้วยจริงใจ นั่นคือการมีชีวิตที่เป็นจริงกับพระเจ้า
เราจะไม่ซุกซ่อนส่วนหนึ่งส่วนใดในความจริงของชีวิตของเราจากพระองค์
ถ้าทำเช่นนั้นเท่ากับเราไม่จริงใจต่อพระเจ้า เรากำลังปั้นแต่งโกหกพระองค์
และเราจะไม่สามารถนมัสการพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจของเราอย่างแน่นอน
เส้นทางที่เราจะมีชีวิตที่ใกล้ชิดสนิทแนบกับพระองค์ผ่านการคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญนั้น นี่มากกว่าความรู้สึกโศกเศร้าเท่านั้น คริสเตียนมักไม่คุ้นชินกับความคิดในชีวิตที่
“คร่ำครวญอย่างใคร่ครวญ”
และมักจะมีความรู้สึกเชิงลบกับเรื่องนี้
แต่ความจริงที่เราพบในพระธรรมสดุดีกว่าเศษหนึ่งส่วนสามที่เป็นการคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญ
ยิ่งกว่านั้นยังมีพระธรรมเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่ชื่อว่า
“บทเพลงคร่ำครวญ”
เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสในชีวิต พระองค์คร่ำครวญจากบทเพลงสดุดีบทที่ 22 ด้วยการคร่ำครวญจากประโยคแรก ข้อแรกของพระธรรมบทนี้ว่า
“พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า
ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (ข้อที่ 1 ฉบับมาตรฐาน)
เป็นการคร่ำครวญและถามพระเจ้าอย่างจริงใจว่า ในวิกฤติความเป็นความตายของชีวิต พระเยซูรู้สึกว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งพระองค์
และพระเยซูคริสต์ร้องถามพระเจ้าตามความรู้สึกที่เป็นจริงของพระองค์ มิได้แสแสร้งแกล้งทูลเป็นอย่างอื่น แต่ที่น่าสังเกตคือ การที่ผู้เขียนสดุดีบทที่ 22 ทูลต่อพระเจ้าเช่นนี้
มิได้หมายความว่าเขาไม่เชื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้าแล้ว
อย่างที่คริสเตียนหลายท่านเป็นกันในปัจจุบัน แต่ด้วยการคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญนี้เอง
ในคำคร่ำครวญของเขากลับยืนยันความเชื่อศรัทธาของเขาต่อพระเจ้าอย่างมั่นคง ตัวอย่างเช่น
“...เขาทั้งหลายวางใจ และพระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นภัย
พวกเขาร้องทูล
พระองค์ก็ทรงช่วยเขาให้รอด
เขาวางใจในพระองค์ เขาจึงไม่อับอาย” (ข้อ 4,5)
“...ใจของข้าพระองค์ก็เป็นเหมือนขี้ผึ้ง ละลายภายในอก
กำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปเหมือนเศษหม้อดิน...”
(ข้อ 14,15)
และผู้เขียนสดุดีใคร่ครวญถึงความเชื่อ
ความศรัทธา และความไว้วางใจในพระเจ้าว่า
“ท่านผู้ยำเกรงพระยาเวห์ จงสรรเสริญพระองค์
ท่านผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของยาโคบเอ๋ย จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์
ท่านผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลเอ๋ย จงเกรงกลัวพระองค์
เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียนต่อความทุกข์ยากของผู้ทุกข์ใจ
และมิได้ซ่อนพระพักตร์จากเขา
เมื่อเขาทูลขอความช่วยเหลือ พระองค์ทรงฟัง” (ข้อ 23, 24)
ครั้งเมื่อพระเยซูคริสต์อธิษฐานในสวนเกทเสมนี
ก่อนที่จะถูกจับและนำไปตรึงที่กางเขน
พระองค์คร่ำครวญอย่างใคร่ครวญต่อพระเจ้าว่า
“ข้าแต่พระบิดา
ถ้าพระองค์พอพระทัยขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์
แต่อย่างไรก็ดี
อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์
แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” และพระคัมภีร์บันทึกต่อไปว่า
“เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์ พระองค์ก็ยิ่งทรงอธิษฐานอย่างจริงจัง
เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน”
(ลูกา 22:39-44 อมตธรรม)
การคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญหลายครั้งที่สะเทือนอารมณ์
อย่างเช่น คำคร่ำครวญของดาวิดถึงโยนาธานเพื่อนรักที่สนิทมาก (2ซามูลเอล 1:19-27)
แต่บางครั้งที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว (สดุดี 55:5) บางครั้งที่เป็นการคร่ำครวญอย่างสับสน (สดุดี
บทที่ 13)
บางครั้งก็ด้วยความรังเกียจ ชิงชัง (สดุดี 109)
เปาโลเขียนใน ฟีลิปปี 3:10
ว่า “ข้าพระองค์ต้องการรู้จักพระองค์
คือรู้จักฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์ และรู้จักการมีส่วนร่วมในความทุกข์ของพระองค์ และเป็นเหมือนกับพระองค์ในความตายนั้น” การคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญเป็นหนทางหนึ่งที่เราจะรู้จักพระคริสต์ด้วยการมีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระองค์
ดังนั้น
ถ้าเราจะมีชีวิตที่มีความสัมพันธ์สนิทแนบกับพระคริสต์และเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระองค์ เราจะต้องเปลี่ยนมุมมอง เราต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ต่อการมอง
“ความทุกข์ยากลำบากในชีวิต”
เราจะไม่มองความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราในแง่ลบ ไม่มองว่าเป็นส่วนที่ทำให้เราไม่สะดวกสบายในชีวิต ไม่มองว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องหลีกลี้หนีให้ไกล หรือไม่มองว่าเราจะต้องเอาชนะความทุกข์ยากลำบาก
แต่เราต้องเปลี่ยนมุมมองต่อความทุกข์ในชีวิตที่เกิดขึ้นตามมุมมองหรือทัศนะแบบ
ฟีลิปปี 3:10
คือการที่แสวงการเข้าไปมีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์
เมื่อใดก็ตามที่เรายอมที่จะให้ชีวิตเข้าส่วนและรับรู้ถึงความฉีกขาดในชีวิต
และ ความโดดเดี่ยวที่ถูกทอดทิ้งของพระคริสต์
เมื่อนั้นเราจะเริ่มรับรู้และเข้าใจถึงการที่พระคริสต์ยอมเสียสละชีวิตเพื่อเราบนกางเขนนั้น
ความทุกข์ยากโศกเศร้านำเราเข้าไปใกล้พระเจ้าที่ไม่มีหนทางอื่นใดที่จะทำเช่นนั้นได้
ประการหนึ่งที่คริสเตียนปัจจุบันอาจจะมีความเข้าใจที่ผสมปนเประหว่าง
การบ่นต่อว่าพระเจ้า กับ การคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญ
เราสามารถทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของสองประการดังกล่าวได้จากเรื่องราวของอิสราเอลครั้งเมื่อต้องพเนจรในทะเลทรายเพื่อเดินทางสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา
พระเจ้าทรงสถิตและนำอิสราเอลด้วยเสาเมฆในเวลากลางวัน
และ เสาไฟในเวลากลางคืน
แต่พวกอิสราเอลก็ยังบ่นว่าต่อพระเจ้าผ่านโมเสสไม่หยุดถึงเรื่องการกินการดื่มของพวกเขา แล้วยังพูดว่าพวกเขาน่าจะกลับไปเป็นทาสในอียิปต์จะดีกว่า พวกอิสราเอลมิได้เรียนรู้เลยว่า
การที่พระเจ้าสถิตอยู่กับเขาทั้งกลางวันกลางคืนนั้นพวกเขามีทุกสิ่งที่เพียงพอ แต่เพราะพวกเขามิได้ไว้วางใจในพระเจ้า แต่กลับมุ่งมองไปที่ความต้องการด้านร่างกาย อาหารการกิน และความสะดวกสบายของตนเอง จึงทำให้พวกอิสราเอล “บ่นว่า” ต่อพระเจ้า
ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญ เพราะคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญนั้น
เป็นการที่เสนอถึงความทุกข์ยากที่ตนต้องเผชิญที่นำให้เราเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้า ด้วยความไว้วางใจ และ เชื่อศรัทธาในพระองค์
เพื่อเราจะเรียนรู้จักพระคริสต์และพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรามากและชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อเราบ่นต่อพระเจ้า
เรามุ่งมองสนใจที่ตัวเราเองและมองแต่ความจำเป็นต้องการของฝ่ายร่างกาย เราไม่สนใจการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า การคร่ำครวญอย่างใคร่ครวญในชีวิตตามความเป็นจริงกับพระเจ้า เราเปิดเผยต่อพระองค์ตามความเป็นจริงในชีวิตทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความสุข ความเศร้า
ความโกรธ
ทั้งสิ้นในชีวิตของเรา
สิ่งที่เราปรารถนาในยามนี้คือ การสถิตอยู่ของพระเจ้า และการที่เราได้ใกล้ชิดสนิทแนบกับพระองค์
ในวันนี้เรามีสิทธิที่จะเลือกครับ เราจะเลือกบ่นว่าต่อพระเจ้า เราสามารถเลือกที่จะแกล้งทำเป็นมีความสุข หรือสวมหน้ากากเข้าหาพระเจ้า
หรือมีสิทธิที่จะเลือกการมีชีวิตที่ใกล้ชิดพระเจ้าตามความเป็นจริงในชีวิตของเรา แล้วมีชีวิตที่ร่ายรำไปในบทเพลงที่ความเจ็บปวดเขียนขึ้นสำหรับชีวิตของเรา
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น