14 กันยายน 2555

กับดักมหันตภัยชีวิตคริสเตียน


อ่านพระกิตติคุณมัทธิว 7:21-27

ประเด็นอ่อนไหว  รากฐานชีวิตคริสเตียนที่อ่อนแอ  ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตจิตวิญญาณของเรา   แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าสิ่งนี้กลับไม่ปรากฏให้เราเห็นอย่างชัดแจ้ง   และก็ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นรายการความบาปยอดฮิตหนึ่งในสิบของคนเราอีกด้วย   แล้วก็ไม่ค่อยเป็นข่าวดังในความผิดบาปที่เราท่านมักกระทำเป็นประจำ   แต่แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นอันตรายอย่างมหันต์ต่อชีวิตคริสเตียน  

แล้วมันคืออะไรกันแน่ที่ออกฤทธิ์อันตรายถึงขนาดนั้น?

ท่านยากอบเตือนคริสเตียนทั้งหลายให้ระวังระไวว่า...
“แต่(ท่าน)จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ  ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น  มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตนเอง”
(ยากอบ 1:22 ฉบับมาตรฐาน)
พระเยซูคริสต์ตรัสกับผู้ที่กำลังฟังพระองค์ว่า...
“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า
พระองค์เจ้าข้า  พระองค์เจ้าข้า  จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์  
แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้า
(มัทธิว 7:21 อมตธรรม)

ปัจจุบันนี้คริสเตียนเรามักจะฟัง หรือ อ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น   แต่เราไม่ได้กระทำตามพระวจนะที่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน หรือไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะที่เราได้รับทราบ และ รับรู้  

และที่เรื่องนี้เป็นความร้ายแรงก็เพราะว่า   เราคิด เรารู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นธรรมดาของการเป็นคริสเตียน!  

เรามุ่งที่จะรับฟังรับรู้พระวจนะ  สะสมพระวจนะไว้ในความทรงจำ   ใคร่ครวญพระวจนะเพียงเพื่อเป็นความรู้   แต่พระวจนะมิได้ถูกใคร่ครวญแล้วประยุกต์เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของเรา

นั่นแสดงว่า “จิตสำนึก และ ความตระหนักชัด” ในชีวิตของเรา “ปิดกั้น” หรือ “เฉยเมย” ต่ออิทธิพลหรือฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระเจ้า

ทำให้ต้องถามต่อไปว่า   แล้วคริสเตียนคนๆ นั้นได้ “กลับใจ” หันมาหาพระเจ้า   และรับการเปลี่ยนชีวิตใหม่จากพระคริสต์แล้วหรือ?   หรือเป็นเพียงเห็นดีเห็นด้วยกับคำสอนในคริสต์ศาสนาเท่านั้น!  และรู้ว่าควรปฏิบัติตามนั้น   แต่ก็ไม่ได้นำไปปฏิบัติจริงในชีวิต   ถ้าเราไม่เรียกคนประเภทนี้ว่า เป็นคนที่ “ดื้อและด้านต่อพระวจนะของพระเจ้า”  แล้วจะให้เรียกว่าอะไรดี   และนี่คือจุดอันตรายที่สุดในชีวิตของคริสเตียนในปัจจุบัน

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ  นี่คือหลุมพราง/กับดัก ที่ทำให้ชีวิตคริสเตียนต้องล้มเหลวและพินาศ!  หลุมพราง หรือกับดักที่ว่านี้  คือการหลอกตนเองเรื่องพระวจนะของพระเจ้า  ตามที่ยากอบได้เตือนให้คริสเตียนระมัดระวัง

สำหรับพระเยซูคริสต์   พระองค์ตักเตือนและชี้ชัดในเรื่องนี้อย่างหนักแน่นว่าสำคัญยิ่ง   โดยได้สอนเป็นเรื่องอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า
“...แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม 
ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลา สร้างบ้านของตนไว้บนทราย  
แล้วฝนก็ตกน้ำก็ไหลเชี่ยว  ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น  บ้านนั้นก็พังทลายลง  
และการพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่” 
(มัทธิว 7:26-27 ฉบับมาตรฐาน)

พระเยซูทรงประณามคนที่ฟังแต่พระวจนะแต่ไม่ประพฤติตามว่าเป็นคนที่ “โง่เขลา”   และเมื่อเกิดวิกฤติชีวิตขึ้น  ชีวิตของคนเหล่านี้ก็จะ  “พังทลาย”  และพระองค์ทรงเน้นชัดหนักแน่นว่า  เป็นการพังทลายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต   มิใช่เป็นการพังทลายธรรมดาในชีวิตอย่างที่คิด!

นี่คือจุดวิกฤติอันตรายที่สุดในชีวิตคริสเตียนปัจจุบัน!

องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เตือนเราที่เรียกตนเองว่าคริสเตียนในปัจจุบัน   อย่าสักแต่คิดว่าตนคือสาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์   คนที่เป็นสาวกของพระคริสต์ก้าวแรกคือการที่เปิดชีวิตจิตใจรับเอาเมล็ดแห่งพระวจนะของพระเจ้าเข้าในชีวิตของตน   และกระทำตามพระวจนะนั้นในชีวิตประจำวัน   แม้ตัวเราจะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะทำตามพระวจนะทั้งสิ้นทั้งหมด   แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในชีวิตเราจะเป็นกำลังให้เราสามารถทำตามพระวจนะของพระเจ้าได้

คริสเตียนปัจจุบันแสวงหาความรู้ในพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม

คริสเตียนปัจจุบันอยากรู้แต่ทฤษฎีด้านจิตวิญญาณแต่ไม่ต้องการมีชีวิตจากพระเจ้า

คริสเตียนปัจจุบันนิยมชมชอบ “ศาสนศาสตร์วันอาทิตย์  แต่ไม่สนใจและไม่รู้ศาสนศาสตร์วันจันทร์ถึงวันเสาร์”   กล่าวคือ เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์  และในบริเวณกรอบรั้วของโบสถ์เท่านั้น   มีความสุขกับการฟังคำเทศนา  ฟังเพลง  ร้องเพลง  การได้รับกำลังใจ   แล้วก็ออกไปจากโบสถ์    แต่ในวันจันทร์ถึงวันเสาร์คริสเตียนคนเดียวกันนี้กลับดำเนินชีวิตเหมือนคนที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต   บางคนร้ายกว่านั้นมีชีวิตที่สวนทางขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า   แต่เขาก็ยังหลอกตนเองว่า เขาเป็นสาวกของพระคริสต์   เขารู้พระวจนะของพระเจ้าอย่างดี   แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ปฏิบัติและเชื่อฟังพระวจนะอย่างเลว

การที่พระวจนะของพระเจ้าจะถูกประยุกต์และปฏิบัติในชีวิตจริงของผู้ที่เชื่อนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อมาเป็นคริสเตียน    แต่เริ่มต้นที่เรามอบกายถวายชีวิตทั้งสิ้นแก่พระองค์ก่อน   และเอาใจใส่ต่อพระวจนะ  จากนั้น “ตั้งใจ” ที่จะปฏิบัติตามพระวจนะ   และสัตย์ซื่อจริงใจที่จะกระทำตามสิ่งที่เราได้ยิน ได้ฟัง และได้อ่านจากพระวจนะ

การที่เราท่านใคร่ครวญพระวจนะและอธิษฐานทุกเช้า-ค่ำอย่างที่เราท่านทำอยู่จะไม่เกิดผลเป็นประโยชน์อันใดเลย   ถ้าเราเพียงทำเป็นพิธี   ทำเพื่อเป็นศาสนพิธี   ทำเพื่อความสบายใจ   แต่มิได้นำเอาพระวจนะและสิ่งที่พระเจ้าทรงนำและเปิดเผยไปปฏิบัติตามในชีวิตจริงแต่ละวัน

ยากอบเตือนเราว่า   อย่าหลอกตนเองครับว่าเราเติบโตขึ้นในชีวิตการเป็นสาวกของพระคริสต์   ด้วยการรู้พระวจนะที่ปราศจากการกระทำตามพระวจนะ
พระเยซูตรัสว่า 
ความสุขมีแก่บรรดาผู้ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และเชื่อฟังต่างหาก
(ลูกา 11:28 อมตธรรม)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

1 ความคิดเห็น:

  1. กำลังลุ้นคนอ่าน หนังสือพระเจ้ากับโรคระบาดใหญ่ และเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการคริสเตียนช่วงโควิด มีหลายอย่างให้คิด อันหนึ่งคือ "กับดับ" กับดักหนึ่ง คือการฟัง อ่าน ถก อภิปราย สอน เทศน์ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ลงมือทำจริง จึงคิดว่าคุณประสิทธิ์ พูดชัดแจ้งมาก อาจต้องขออนุญาตอ้างต่อคะ ขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญเรื่องกับดักแบบรอบด้านสำหรับคต. ไทยเอง และรอบตัวดัวเอง ที่จริงที่เริ่มคิดหนักคือหลังจากได้อ่านและคิดทบทวน หนังสือสองเล่ม คือ J Paul Pennington Christian Barriers to Jesus: conversations and questions from the Indian context (William Carey Library, 2017)
    The Burden of Baggage: First-Generation Issues in Coming to Christ
    by
    Roy Oksnevad 2018
    คุณอาจจะมีผู้ติดตามฟัง อ่าน แต่จะคิดและเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นี่ซิ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าก็เจอ นั่นคือขุดลึกแล้ว ระดับความคิดของคต. ไม่เฉพาะไทย ก็ติดกับดักเสียแล้ว ทำให้การตั้งคำถาม ตรวจสอบ เกิดยาก ระดับจิตวิญญาน ก็เริ่มตอน "รับเชื่อ" เลย พระเยซูทรงตัดปัญหาแต่ต้นลม ใช่มั้ยคะ แม้จะอยากติดตาม ดูเหมือนโฟกัสกับพระองค์ แต่สัมภาระตัวตนยังซ่อนอยู่ จึงต้องทรงท้าทาย กระทั่งดึงออกหมดแล้ว แต่ระหว่างทาง เพิ่มสัมภาระตัวตนอันใหม่ หรือเชื้อยีสต์ อันนี้บางทีตัวเองก็ถูกถ่วงอยู่ในอดีต อย่างที่หนังสือสองเล่มนั้นพูด ก็ขอพระวิญญานให้กำลังและนำทางสู่บางคนที่จะเดินทางแคบ อย่างน้อยภาษาที่คุณใช้ก็ยอดเลย ชัดคมดีคะ

    ตอบลบ