21 กันยายน 2555

ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลวัฒนธรรมคนชอบเยาะเย้ย


อ่านพระธรรม สดุดี 1:1-6

ความสุขมีแก่คนเหล่านั้น...
ที่ไม่เดินตามรอยเท้าของคนชั่ว
หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป
หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนชอบเยาะเย้ย
(สดุดี 1:1 อมตธรรม)

เราท่านใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันที่มีวัฒนธรรมที่ชอบเยาะเย้ยถากถาง

คนที่พูดจาเยาะเย้ยเหน็บแนมคนอื่นคือคนที่มักมองว่าตนเองดีกว่า และ เหนือกว่าคนอื่น!   เขาจะพูดจาเยาะเย้ยถากถางคนๆ นั้นเมื่อเขาไม่ชอบหน้า  ไม่ชอบความคิด  ไม่ชอบท่าทีที่คนนั้นแสดงออก   ซึ่งการพูดแบบเยาะเย้ยถากถางมักเป็นการพูดที่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดถึงคนๆ นั้น   เป็นการพูดและแสดงออกอย่างไม่ให้เกียรติและนับถือต่อคนๆ นั้น   และเป็นการพูดจาที่ “ถล่ม” คนอื่นที่คนที่ถูกเยาะเย้ยนั้นไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงความจริง และ  ปกป้องตนเอง   จุดประสงค์ในส่วนลึกแห่งหัวใจของคนชอบเยาะเย้ยเหล่านี้   คือการบดขยี้ ทำร้ายและทำลายคนที่ตนไม่ชอบ  หรือคนที่ตนมองว่าเป็นศัตรู คู่ปรปักษ์  คนที่ตนไม่อยากให้คนอื่นเชื่อถือ และในเวลาเดียวกันก็พยายามพูดเพื่อยกตนเองให้สูงเด่นขึ้นเหนือคนอื่น

การพูดเยาะเย้ยถากถางทำลายคนอื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมของเราในปัจจุบัน   กลายเป็นเส้นทางหนึ่งที่จะเลือกเดินได้ในวัฒนธรรมของเราทุกวันนี้   ในที่นี้ขอแยกออกจากการเขียนภาพล้อเลียนในหนังสือพิมพ์   แต่หมายถึงลักษณะท่าทีของคนที่ตั้งใจเยาะเย้ย  ถากถาง เพื่อความสะใจ   สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลถึงขนาดสื่อสารเผยแพร่ทั้งในทางโทรทัศน์ และ อินเตอร์เน็ท

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ในยุคในเวลาของการหาเสียงทางการเมืองไม่ว่าประเทศเล็กหรือมหาอำนาจนักการเมืองทั้งขั้วหัวก้าวหน้า หรือ อนุรักษ์นิยม ต่างตกใต้อิทธิพลของการพูดจาเยาะเย้ย ถากถาง สร้างความเสื่อมเสียแก่ผู้อื่น  และมักเป็นการพูดจาความจริงเพียงครึ่งเดียว   อิทธิพลความชั่วของการพูดจาถากถางเยาะเย้ยเช่นนี้ไม่วายที่จะเข้ามามีอิทธิพลในวงการคริสต์ศาสนาในประเทศไทยของเราอย่างซึมลึกและรุนแรง   และคนที่ต้องตกใต้อิทธิพลชั่วเช่นนี้มิใช่ใครที่ไหนอื่นไกลเลย   กลับพบว่าก็เป็นผู้นำทางศาสนาคริสต์ที่เข้าไป “เล่นการเมือง”  แล้วตกลงในกับดักใช้การพูดจาเยาะเย้ยเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่นโดยเฉพาะคู่แข่ง  แล้วสร้างความถูกต้องชอบธรรมแก่ตนเอง

ในวัฒนธรรมที่เปียกเปื้อนด้วยการพูดจาเยาะเย้ย ถากถาง เพื่อทำลายคนอื่น   เป็นการง่ายเหลือเกินที่คริสตชนจะตกลงใต้การครอบงำแห่งวิญญาณชั่วของการดูหมิ่น ดูถูก เยาะเย้ย   วิญญาณที่หาทางทำร้ายทำลายคนอื่นอย่างไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน   อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า   การพูดเยาะเย้ยคนอื่นมิเพียงแต่เป็นการเหยียบบี้ขยี้คนที่ตนไม่ชอบขี้หน้า ความคิด คู่ปรปักษ์ทางการเมืองเท่านั้น   แต่ยังยกตนข่มท่านให้คนอื่นเห็นว่าตนนั้นอยู่เหนือกว่าคู่ต่อสู้

ในภาวะกาลเช่นนี้   ให้เราฟังเสียงเตือนของผู้ประพันธ์ สดุดี 1:1

ผู้เขียนพระธรรมสดุดี 1:1 บอกเราว่า  “ความสุข” หรือ คนที่มีชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้านั้น  คือคนที่  ...
ไม่เดินตามรอยเท้าของคนชั่ว” 
ไม่ยืนอยู่ในทางของคนบาป”  และ 
ไม่นั่งในที่นั่งของคนชอบเยาะเย้ย” 
ทำให้คิดถึงพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9   ที่เตือนอิสราเอลให้รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลัง  และให้พูดถึงถ้อยคำของพระเจ้าทั้งที่อยู่ในบ้าน  เดินไปตามทาง  ไม่ว่าจะนอนหรือจะลุกขึ้น   ให้ถ้อยคำของพระเจ้าผูกติดที่มือ(การกระทำ)  ที่เท้า(ทางชีวิตที่จะดำเนินไป)  คาดไว้ที่หน้าผาก(ความคิด  แนวทางการคิด และ  การ ตัดสินใจ)

วลีสุดท้ายของสดุดี 1:1 เขียนไว้ว่า “นั่งอยู่ในที่นั่งของคนชอบเยาะเย้ย”  หรือคนที่ชอบถากถาง  พูดจาดูหมิ่น ดูถูกดูแคลนคนอื่น  พูดจาที่เหยียดหยาม ไม่เคารพคนอื่น   ศัพท์ภาษาฮีบรูที่ใช้ในพระธรรมข้อนี้คือ letzim  (เลทซิม)  ซึ่งคำฮีบรูคำนี้ที่ใช้ในพระธรรมสดุดี  แต่เราก็สามารถพบการใช้ในพระธรรมสุภาษิต เช่น  มองว่าคนที่ชอบเยาะเย้ยคือคนโง่ (สุภาษิต 1:22)   คนที่ชอบเยาะเย้ยเป็นคนที่ไม่ยอมรับคำตักเตือน  “คนที่ตักเตือนคนชอบเยาะเย้ยมีแต่จะถูกตอกกลับ  คนที่ตักเตือนคนชั่วร้าย  มีแต่จะถูกทำร้าย” (สุภาษิต 9:7 อมตธรรม)   คนที่ชอบเยาะเย้ย  เป็นผู้ที่หยิ่ง จองหอง และยโสโอหัง  “คนเย่อหยิ่ง คนจองหอง มีชื่อว่า “นักเยาะเย้ย”  เขาทำด้วยยโสโอหัง” (สุภาษิต 21:24 อมตธรรม) 

ในพระธรรมสดุดี บทที่ 1 ไม่ได้บอกให้เราเลิกหรือไม่คบค้าสัมพันธ์กับคนชอบเยาะเย้ย   แต่ผู้เขียนสดุดีบอกเราว่า  เราไม่เดิน  ไม่ยืน และ ไม่นั่งในที่ของคนชอบเยาะเย้ย   ทั้งนี้เพราะถ้าเราเข้าไป “ร่วมวงไพบูลย์กับพวกชอบเยาะเย้ย”  เราจะถูกเชื้อโรคร้ายของการเยาะเย้ยแผ่อิทธิพลเข้ามาครอบงำทั้งชีวิตของเรา   เรารักเราสัมพันธ์เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า   แต่เราต้องระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ตกในกับดักที่จะ นั่ง ยืน และ เดินร่วมกับเขาในการเยาะเย้ย

พระธรรมในวันนี้ท้าทายให้เราต้องกลับมาใคร่ครวญพิจารณาถึงนิสัยของเราเองว่า  

เรามีท่าทีและคำพูดที่เยาะเย้ยคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า   คนที่คิดต่างจากเรา   คนที่อยู่ต่างพรรคต่างพวกต่างกลุ่มการเมืองจากเราหรือไม่?  

เราได้พูดจาดูหมิ่นคนอื่นและความคิดของเขาหรือไม่?  

แล้วเราตกอยู่ใต้การครอบงำของอิทธิพลวิญญาณชั่วในการชอบเยาะเย้ยหรือไม่?  

หรือว่าทุกวันนี้ เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยความจริงใจ รับผิดชอบต่อคนอื่น  ด้วยจิตใจที่เคารพ  ยอมรับ  ยอมฟัง ในความคิดของเขา  แม้จะดูแปลกแตกต่างจากเราก็ตามหรือไม่?   คำถามสุดท้ายครับ

แล้วเราได้สำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์แก่ทุกผู้ทุกคน  แม้แต่คู่ปรปักษ์  ศัตรูคู่อาฆาตของเราหรือไม่?

ใคร่ครวญภาวนา

ข้าแต่พระเจ้า   เป็นการเสี่ยงอย่างมากที่ข้าพระองค์จะตกลงอยู่ใต้การครอบงำของวิญญาณแห่งการเยาะเย้าคนอื่น   บ่อยครั้งที่ข้าพระองค์มิได้พูดจาเยาะเย้ยคนอื่น  แต่ข้าพระองค์คิดเยาะเย้ยคนอื่นในใจ  ขอพระองค์โปรดเมตตาอภัยความบาปผิดของข้าพระองค์ด้วย   เพราะง่ายเหลือเกินที่ข้าพระองค์จะดูถูกดูหมิ่น และ หัวเราะเยาะคนที่คิดต่างจากข้าพระองค์  คนที่ข้าพระองค์ไม่ชอบขี้หน้า   ข้าแต่พระเจ้าโปรดเมตตา  อภัยโทษ  และโปรดเปลี่ยนชีวิตของข้าพระองค์ด้วย

พระองค์เจ้าข้า  โปรดช่วยข้าพระองค์เอาใจใส่ สนใจผู้อื่นด้วยความจริงใจ   ให้ความเคารพนับถือคนอื่นแม้คนๆ นั้นแสดงออกถึงการไม่เคารพนับถือข้าพระองค์ก็ตาม   และโปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนที่ชอบเยาะเย้ย ถากถาง และดูหมิ่นคนอื่น อย่างสร้างสรรค์ตามพระประสงค์ของพระองค์ในแต่ละสถานการณ์   เพื่อว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดการยกย่องสรรเสริญพระองค์  อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น