อ่านพระธรรม สดุดี 1:1-6
ความสุขมีแก่คนเหล่านั้น...
ที่ไม่เดินตามรอยเท้าของคนชั่ว
หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป
หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนชอบเยาะเย้ย
(สดุดี 1:1 อมตธรรม)
เราท่านใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันที่มีวัฒนธรรมที่ชอบเยาะเย้ยถากถาง
คนที่พูดจาเยาะเย้ยเหน็บแนมคนอื่นคือคนที่มักมองว่าตนเองดีกว่า
และ เหนือกว่าคนอื่น!
เขาจะพูดจาเยาะเย้ยถากถางคนๆ นั้นเมื่อเขาไม่ชอบหน้า ไม่ชอบความคิด
ไม่ชอบท่าทีที่คนนั้นแสดงออก ซึ่งการพูดแบบเยาะเย้ยถากถางมักเป็นการพูดที่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดถึงคนๆ
นั้น
เป็นการพูดและแสดงออกอย่างไม่ให้เกียรติและนับถือต่อคนๆ นั้น และเป็นการพูดจาที่ “ถล่ม”
คนอื่นที่คนที่ถูกเยาะเย้ยนั้นไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงความจริง และ ปกป้องตนเอง
จุดประสงค์ในส่วนลึกแห่งหัวใจของคนชอบเยาะเย้ยเหล่านี้ คือการบดขยี้
ทำร้ายและทำลายคนที่ตนไม่ชอบ หรือคนที่ตนมองว่าเป็นศัตรู
คู่ปรปักษ์
คนที่ตนไม่อยากให้คนอื่นเชื่อถือ และในเวลาเดียวกันก็พยายามพูดเพื่อยกตนเองให้สูงเด่นขึ้นเหนือคนอื่น
การพูดเยาะเย้ยถากถางทำลายคนอื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมของเราในปัจจุบัน
กลายเป็นเส้นทางหนึ่งที่จะเลือกเดินได้ในวัฒนธรรมของเราทุกวันนี้
ในที่นี้ขอแยกออกจากการเขียนภาพล้อเลียนในหนังสือพิมพ์ แต่หมายถึงลักษณะท่าทีของคนที่ตั้งใจเยาะเย้ย ถากถาง เพื่อความสะใจ
สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลถึงขนาดสื่อสารเผยแพร่ทั้งในทางโทรทัศน์ และ
อินเตอร์เน็ท
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในยุคในเวลาของการหาเสียงทางการเมืองไม่ว่าประเทศเล็กหรือมหาอำนาจนักการเมืองทั้งขั้วหัวก้าวหน้า
หรือ อนุรักษ์นิยม ต่างตกใต้อิทธิพลของการพูดจาเยาะเย้ย ถากถาง
สร้างความเสื่อมเสียแก่ผู้อื่น และมักเป็นการพูดจาความจริงเพียงครึ่งเดียว อิทธิพลความชั่วของการพูดจาถากถางเยาะเย้ยเช่นนี้ไม่วายที่จะเข้ามามีอิทธิพลในวงการคริสต์ศาสนาในประเทศไทยของเราอย่างซึมลึกและรุนแรง
และคนที่ต้องตกใต้อิทธิพลชั่วเช่นนี้มิใช่ใครที่ไหนอื่นไกลเลย กลับพบว่าก็เป็นผู้นำทางศาสนาคริสต์ที่เข้าไป
“เล่นการเมือง”
แล้วตกลงในกับดักใช้การพูดจาเยาะเย้ยเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่นโดยเฉพาะคู่แข่ง แล้วสร้างความถูกต้องชอบธรรมแก่ตนเอง
ในวัฒนธรรมที่เปียกเปื้อนด้วยการพูดจาเยาะเย้ย
ถากถาง เพื่อทำลายคนอื่น
เป็นการง่ายเหลือเกินที่คริสตชนจะตกลงใต้การครอบงำแห่งวิญญาณชั่วของการดูหมิ่น
ดูถูก เยาะเย้ย
วิญญาณที่หาทางทำร้ายทำลายคนอื่นอย่างไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า การพูดเยาะเย้ยคนอื่นมิเพียงแต่เป็นการเหยียบบี้ขยี้คนที่ตนไม่ชอบขี้หน้า
ความคิด คู่ปรปักษ์ทางการเมืองเท่านั้น
แต่ยังยกตนข่มท่านให้คนอื่นเห็นว่าตนนั้นอยู่เหนือกว่าคู่ต่อสู้
ในภาวะกาลเช่นนี้ ให้เราฟังเสียงเตือนของผู้ประพันธ์ สดุดี 1:1
ผู้เขียนพระธรรมสดุดี 1:1
บอกเราว่า “ความสุข” หรือ
คนที่มีชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้านั้น
คือคนที่ ...
“ไม่เดินตามรอยเท้าของคนชั่ว”
“ไม่ยืนอยู่ในทางของคนบาป” และ
“ไม่นั่งในที่นั่งของคนชอบเยาะเย้ย”
ทำให้คิดถึงพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-9
ที่เตือนอิสราเอลให้รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลัง
และให้พูดถึงถ้อยคำของพระเจ้าทั้งที่อยู่ในบ้าน เดินไปตามทาง
ไม่ว่าจะนอนหรือจะลุกขึ้น ให้ถ้อยคำของพระเจ้าผูกติดที่มือ(การกระทำ) ที่เท้า(ทางชีวิตที่จะดำเนินไป) คาดไว้ที่หน้าผาก(ความคิด แนวทางการคิด และ การ ตัดสินใจ)
วลีสุดท้ายของสดุดี 1:1
เขียนไว้ว่า “นั่งอยู่ในที่นั่งของคนชอบเยาะเย้ย”
หรือคนที่ชอบถากถาง พูดจาดูหมิ่น
ดูถูกดูแคลนคนอื่น พูดจาที่เหยียดหยาม
ไม่เคารพคนอื่น
ศัพท์ภาษาฮีบรูที่ใช้ในพระธรรมข้อนี้คือ letzim (เลทซิม) ซึ่งคำฮีบรูคำนี้ที่ใช้ในพระธรรมสดุดี แต่เราก็สามารถพบการใช้ในพระธรรมสุภาษิต
เช่น มองว่าคนที่ชอบเยาะเย้ยคือคนโง่
(สุภาษิต 1:22)
คนที่ชอบเยาะเย้ยเป็นคนที่ไม่ยอมรับคำตักเตือน
“คนที่ตักเตือนคนชอบเยาะเย้ยมีแต่จะถูกตอกกลับ คนที่ตักเตือนคนชั่วร้าย มีแต่จะถูกทำร้าย” (สุภาษิต 9:7 อมตธรรม) คนที่ชอบเยาะเย้ย เป็นผู้ที่หยิ่ง จองหอง และยโสโอหัง “คนเย่อหยิ่ง คนจองหอง มีชื่อว่า
“นักเยาะเย้ย” เขาทำด้วยยโสโอหัง”
(สุภาษิต 21:24 อมตธรรม)
ในพระธรรมสดุดี บทที่ 1
ไม่ได้บอกให้เราเลิกหรือไม่คบค้าสัมพันธ์กับคนชอบเยาะเย้ย แต่ผู้เขียนสดุดีบอกเราว่า เราไม่เดิน
ไม่ยืน และ ไม่นั่งในที่ของคนชอบเยาะเย้ย
ทั้งนี้เพราะถ้าเราเข้าไป “ร่วมวงไพบูลย์กับพวกชอบเยาะเย้ย” เราจะถูกเชื้อโรคร้ายของการเยาะเย้ยแผ่อิทธิพลเข้ามาครอบงำทั้งชีวิตของเรา
เรารักเราสัมพันธ์เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่เราต้องระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ตกในกับดักที่จะ
นั่ง ยืน และ เดินร่วมกับเขาในการเยาะเย้ย
พระธรรมในวันนี้ท้าทายให้เราต้องกลับมาใคร่ครวญพิจารณาถึงนิสัยของเราเองว่า
เรามีท่าทีและคำพูดที่เยาะเย้ยคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า คนที่คิดต่างจากเรา
คนที่อยู่ต่างพรรคต่างพวกต่างกลุ่มการเมืองจากเราหรือไม่?
เราได้พูดจาดูหมิ่นคนอื่นและความคิดของเขาหรือไม่?
แล้วเราตกอยู่ใต้การครอบงำของอิทธิพลวิญญาณชั่วในการชอบเยาะเย้ยหรือไม่?
หรือว่าทุกวันนี้ เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยความจริงใจ
รับผิดชอบต่อคนอื่น
ด้วยจิตใจที่เคารพ ยอมรับ ยอมฟัง ในความคิดของเขา แม้จะดูแปลกแตกต่างจากเราก็ตามหรือไม่? คำถามสุดท้ายครับ
แล้วเราได้สำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์แก่ทุกผู้ทุกคน แม้แต่คู่ปรปักษ์ ศัตรูคู่อาฆาตของเราหรือไม่?
ใคร่ครวญภาวนา
ข้าแต่พระเจ้า
เป็นการเสี่ยงอย่างมากที่ข้าพระองค์จะตกลงอยู่ใต้การครอบงำของวิญญาณแห่งการเยาะเย้าคนอื่น
บ่อยครั้งที่ข้าพระองค์มิได้พูดจาเยาะเย้ยคนอื่น แต่ข้าพระองค์คิดเยาะเย้ยคนอื่นในใจ ขอพระองค์โปรดเมตตาอภัยความบาปผิดของข้าพระองค์ด้วย เพราะง่ายเหลือเกินที่ข้าพระองค์จะดูถูกดูหมิ่น
และ หัวเราะเยาะคนที่คิดต่างจากข้าพระองค์
คนที่ข้าพระองค์ไม่ชอบขี้หน้า
ข้าแต่พระเจ้าโปรดเมตตา อภัยโทษ และโปรดเปลี่ยนชีวิตของข้าพระองค์ด้วย
พระองค์เจ้าข้า
โปรดช่วยข้าพระองค์เอาใจใส่ สนใจผู้อื่นด้วยความจริงใจ ให้ความเคารพนับถือคนอื่นแม้คนๆ นั้นแสดงออกถึงการไม่เคารพนับถือข้าพระองค์ก็ตาม
และโปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนที่ชอบเยาะเย้ย ถากถาง
และดูหมิ่นคนอื่น อย่างสร้างสรรค์ตามพระประสงค์ของพระองค์ในแต่ละสถานการณ์
เพื่อว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดการยกย่องสรรเสริญพระองค์ อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น