อ่านพระธรรมเยเรมีย์ 17:5-11
จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด
มันเลวทรามอย่างเลวร้ายทีเดียว
ใครจะรู้จักใจนั้นเล่า
(เยเรมีย์ 17:9 อมตธรรม)
เพราะพระเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์ ดังนั้น
พระองค์จึงทรงเตือนถึงภัยอันตรายที่เข้ามาเผชิญหน้าพวกเขา และภัยอันตรายที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับประชากรของพระองค์นั้น มิใช่สิ่งที่ถาโถมจู่โจมจากภายนอก แต่สิ่งที่เป็นภัยอันตรายสุดๆ ของประชากรของพระองค์กลับเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด
ใช่ครับ
คือจิตใจของมนุษย์เอง!
เมื่อพูดถึง “จิตใจ” ในพระธรรมตอนนี้มีความหมายครอบคลุมไปถึง ความคิด
ความเข้าใจ สติปัญญา เหตุผล
และความมุ่งมั่นตั้งใจของมนุษย์
คนยิวเรียกสิ่งเหล่านี้รวมกันว่า “จิตใจ”
พระเจ้าทรงเตือนประชากรของพระองค์ผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า จิตใจของมนุษย์นั้น “เลวทรามอย่างเลวร้าย” และบอกอีกว่า
จิตใจมนุษย์นั้น “เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด” เพราะมันล่อลวงแม้แต่ตนเอง แม้แต่ในวัฒนธรรมไทยของเราก็ยังมีคำกล่าวว่า
“จิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง”
“จิตใจ” มักบอกกับตนเองว่า ตนเป็นคนดี
ตนเป็นคนทำถูก
ตนเองไม่ได้เป็นผู้ทำผิด ทั้งๆ ที่ทำผิดลงไปแล้ว แต่มักจะกล่าวโทษโยนกลองให้คนอื่น โทษสภาพแวดล้อม หรือ
สถานการณ์แวดล้อมที่เป็นผู้ที่ทำให้เกิดความผิดพลาด สิ่งที่ “จิตใจ” พยายามบอกกับตนเองคือ ให้ตนเองวางใจในจิตใจของตนเอง แต่พระเจ้าตรัสเตือนเราผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า
“คำสาปแช่งตกอยู่แก่ผู้ที่วางใจในมนุษย์
พึ่งพละกำลังของเขา
และเอาใจออกห่างองค์พระผู้เป็นเจ้า”
(ข้อ 5 อมตธรรม)
แท้จริงแล้ว “จิตใจ” ที่เป็นทั้งความคิด
ความเข้าใจ สติปัญญา เหตุผล
และความมุ่งมั่นตั้งใจของมนุษย์ก็คือพลังที่ขับเคลื่อนการกระทำ และ
ความประพฤติของคนๆ นั้น
ตราบใดที่ใครก็ตามพึ่งพิงแต่ “จิตใจ” ของมนุษย์หรือแม้กระทั่งพึ่งแต่จิตใจตนเอง
บ่อยครั้งจะพบว่าเราไม่สามารถรู้เท่าทันจิตใจของตนเอง จิตใจของมนุษย์ และในที่สุดผลร้ายก็เกิดขึ้นกับตนเอง เพราะการที่คนใดคนหนึ่งเอาความคิดจิตใจยึดติดอยู่กับความนึกคิด
และ สติปัญญาของตนเอง
เขาคนนั้นก็ไม่ได้ใกล้ชิด ติดสนิท และยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระธรรมตอนนี้ใช้คำว่า “เอาใจออกห่างองค์พระผู้เป็นเจ้า”
ดังนั้น
ในแต่ละวันพระเจ้าทรงเอาใจใส่ชีวิตทั้งชีวิตของเรา ทั้งส่วนลึกในชีวิตและสิ่งที่ชีวิตสำแดงออกมาภายนอกให้เห็น “...พระยาห์เวห์พิเคราะห์ดูจิตใจ และ
ตรวจสอบความคิด
เพื่อให้บำเหน็จแก่ทุกคนตามผลการกระทำ
และตามความประพฤติของเขา (ข้อ 10 อมตธรรม)
ผู้เผยพระวจนะยืนยันชัดเจนว่า
“แต่ความสุขมีแก่ผู้ที่ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในพระองค์
เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากลงไปริมธารน้ำ
มันไม่กลัวความร้อนที่มาถึง มันไม่วิตกในปีที่แห้งแล้ง และไม่หยุดออกผล”
(ข้อ 7,
8 อมตธรรม)
ในวันนี้ ให้เราระมัดระวังที่จะไม่ไว้วางใจใน “จิตใจ”
ของตนเอง
ไม่วางใจในความคิด
กำลัง สติปัญญา
และความมุ่งมั่นตั้งใจในตนเอง
แต่ให้เราไว้วางใจและพึ่งพิงในพระวิญญาณ
และ พระปัญญาของพระเจ้า
แสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกสถานการณ์ชีวิต
ว่าพระองค์มีพระประสงค์อะไรในชีวิตของเราในเวลานั้นๆ ในสถานการณ์นั้นๆ
ให้เราไม่หวั่นไหวแม้ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย
ถึงแม้ชีวิตจะถึงทางตันหาทางออกไม่ได้
ถึงแม้ชีวิตจะได้รับความอยุติธรรม ถูกข่มเหง
ถูกเอาเปรียบ ถูกทำร้าย
ในเวลาเช่นนั้น อย่าพึ่งพละกำลัง ความสามารถ สติปัญญา
และเชื่อใจตนเอง
แต่ให้เราหันหน้าเข้าหาพระเจ้า
เข้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์
เชื่อมั่นและไว้วางใจพระองค์
เมื่อนั้นเราจะเห็นพระหัตถ์อันชูช่วยของพระองค์ท่ามกลางความโกลาหลแห่งชีวิต
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น