19 กันยายน 2555

จิตใจ...ตัวล่อลวง


อ่านพระธรรมเยเรมีย์ 17:5-11

จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด
มันเลวทรามอย่างเลวร้ายทีเดียว
ใครจะรู้จักใจนั้นเล่า
(เยเรมีย์ 17:9 อมตธรรม)

เพราะพระเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์    ดังนั้น พระองค์จึงทรงเตือนถึงภัยอันตรายที่เข้ามาเผชิญหน้าพวกเขา   และภัยอันตรายที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับประชากรของพระองค์นั้น   มิใช่สิ่งที่ถาโถมจู่โจมจากภายนอก   แต่สิ่งที่เป็นภัยอันตรายสุดๆ ของประชากรของพระองค์กลับเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด

ใช่ครับ  คือจิตใจของมนุษย์เอง!

เมื่อพูดถึง “จิตใจ” ในพระธรรมตอนนี้มีความหมายครอบคลุมไปถึง  ความคิด  ความเข้าใจ  สติปัญญา  เหตุผล   และความมุ่งมั่นตั้งใจของมนุษย์   คนยิวเรียกสิ่งเหล่านี้รวมกันว่า “จิตใจ”  พระเจ้าทรงเตือนประชากรของพระองค์ผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า  จิตใจของมนุษย์นั้น “เลวทรามอย่างเลวร้าย”   และบอกอีกว่า  จิตใจมนุษย์นั้น “เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด”   เพราะมันล่อลวงแม้แต่ตนเอง   แม้แต่ในวัฒนธรรมไทยของเราก็ยังมีคำกล่าวว่า “จิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง” 

“จิตใจ” มักบอกกับตนเองว่า  ตนเป็นคนดี  ตนเป็นคนทำถูก  ตนเองไม่ได้เป็นผู้ทำผิด   ทั้งๆ ที่ทำผิดลงไปแล้ว   แต่มักจะกล่าวโทษโยนกลองให้คนอื่น  โทษสภาพแวดล้อม หรือ สถานการณ์แวดล้อมที่เป็นผู้ที่ทำให้เกิดความผิดพลาด   สิ่งที่ “จิตใจ” พยายามบอกกับตนเองคือ  ให้ตนเองวางใจในจิตใจของตนเอง   แต่พระเจ้าตรัสเตือนเราผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่า

“คำสาปแช่งตกอยู่แก่ผู้ที่วางใจในมนุษย์
พึ่งพละกำลังของเขา
และเอาใจออกห่างองค์พระผู้เป็นเจ้า”
(ข้อ 5 อมตธรรม)

แท้จริงแล้ว “จิตใจ” ที่เป็นทั้งความคิด ความเข้าใจ สติปัญญา เหตุผล และความมุ่งมั่นตั้งใจของมนุษย์ก็คือพลังที่ขับเคลื่อนการกระทำ และ ความประพฤติของคนๆ นั้น   ตราบใดที่ใครก็ตามพึ่งพิงแต่ “จิตใจ” ของมนุษย์หรือแม้กระทั่งพึ่งแต่จิตใจตนเอง   บ่อยครั้งจะพบว่าเราไม่สามารถรู้เท่าทันจิตใจของตนเอง จิตใจของมนุษย์   และในที่สุดผลร้ายก็เกิดขึ้นกับตนเอง   เพราะการที่คนใดคนหนึ่งเอาความคิดจิตใจยึดติดอยู่กับความนึกคิด และ สติปัญญาของตนเอง   เขาคนนั้นก็ไม่ได้ใกล้ชิด ติดสนิท และยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า   ในพระธรรมตอนนี้ใช้คำว่า “เอาใจออกห่างองค์พระผู้เป็นเจ้า”

ดังนั้น ในแต่ละวันพระเจ้าทรงเอาใจใส่ชีวิตทั้งชีวิตของเรา   ทั้งส่วนลึกในชีวิตและสิ่งที่ชีวิตสำแดงออกมาภายนอกให้เห็น  “...พระยาห์เวห์พิเคราะห์ดูจิตใจ และ ตรวจสอบความคิด   เพื่อให้บำเหน็จแก่ทุกคนตามผลการกระทำ   และตามความประพฤติของเขา (ข้อ 10 อมตธรรม)

ผู้เผยพระวจนะยืนยันชัดเจนว่า

“แต่ความสุขมีแก่ผู้ที่ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า  ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในพระองค์
เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ   ซึ่งหยั่งรากลงไปริมธารน้ำ
มันไม่กลัวความร้อนที่มาถึง  มันไม่วิตกในปีที่แห้งแล้ง  และไม่หยุดออกผล”
(ข้อ 7, 8 อมตธรรม)

ในวันนี้  ให้เราระมัดระวังที่จะไม่ไว้วางใจใน “จิตใจ” ของตนเอง  
ไม่วางใจในความคิด กำลัง สติปัญญา  และความมุ่งมั่นตั้งใจในตนเอง   
แต่ให้เราไว้วางใจและพึ่งพิงในพระวิญญาณ และ พระปัญญาของพระเจ้า  
แสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกสถานการณ์ชีวิต
ว่าพระองค์มีพระประสงค์อะไรในชีวิตของเราในเวลานั้นๆ  ในสถานการณ์นั้นๆ  
ให้เราไม่หวั่นไหวแม้ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย  
ถึงแม้ชีวิตจะถึงทางตันหาทางออกไม่ได้  
ถึงแม้ชีวิตจะได้รับความอยุติธรรม  ถูกข่มเหง  ถูกเอาเปรียบ  ถูกทำร้าย  
ในเวลาเช่นนั้น   อย่าพึ่งพละกำลัง ความสามารถ  สติปัญญา  และเชื่อใจตนเอง  
แต่ให้เราหันหน้าเข้าหาพระเจ้า 
เข้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์  
เชื่อมั่นและไว้วางใจพระองค์
เมื่อนั้นเราจะเห็นพระหัตถ์อันชูช่วยของพระองค์ท่ามกลางความโกลาหลแห่งชีวิต


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น