17 กันยายน 2555

ชีวิต การงาน และพระประสงค์!


เวลาที่เราทำธุรกิจ หรือ ประกอบอาชีพการงาน  รวมไปถึงการรับจ้าง หรือ ขายแรงงาน   เรามักมองและคิดสิ่งที่เราทำอาชีพที่เราทำบนฐาน “คุณค่าเชิงเศรษฐกิจ”    ในฐานะคริสเตียนเราเชื่อและค่อยๆ เรียนรู้ชัดยิ่งขึ้นว่า   พระเจ้ายังทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์มาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ 
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“พระบิดาของเราทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์เสมอตราบจนทุกวันนี้
และเรากำลังทำงานเช่นกัน”
(ยอห์น 5:17 อมตธรรม)

เป้าหมายการกระทำพระราชกิจของพระองค์คือ พระราชกิจแห่งการกอบกู้  เสริมสร้างใหม่  การมาของแผ่นดินของพระเจ้าอย่างเป็นรูปธรรม  และการเกิดแผ่นดินโลกใหม่
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย
เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิต  และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”
(ยอห์น 10:10 อมตธรรม)

“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประการอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ
และให้คนตาบอดมองเห็น
ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่
ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
(ลูกา 4:18-19 อมตธรรม)

เป้าประสงค์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าคือ   การทรงกอบกู้ หรือ ไถ่ถอน มนุษย์ และ สรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงสร้างให้หลุดรอดออกจากการครอบงำแห่งอำนาจของความชั่วร้ายในหลากหลายรูปแบบที่เราพบเจอในปัจจุบันนี้    
  • เพื่อให้มาอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองและการทรงปกครองในระบอบการปกครองด้วยพระคุณ (ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย หรือ เผด็จการจากคนหมู่มากและกลุ่มอำนาจ)
  • พระราชกิจของพระองค์ขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจพระคุณ (มิใช่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม-เสรีนิยม   ที่มุ่งไขว่คว้าหาคุณค่าด้วยการได้กำไรและสั่งสมทุนให้มากยิ่งขึ้น   แล้วเกิดความรู้สึกว่านั่นเป็นความมั่นคงในเศรษฐกิจและคุณค่าในชีวิตของตน)  
  • พระราชกิจของพระเจ้ามุ่งมั่นไปสู่การมีคุณภาพชีวิตร่วมกัน “ในแผ่นดินของพระเจ้า”  ที่พระเยซูคริสต์ทรงนำมา เริ่มต้น  และค่อยๆ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นในโลกนี้  
  • พระเยซูคริสต์ยังทรงเรียกให้สาวกของพระองค์ทุกคนที่จะสานต่อพระราชกิจดังกล่าวนี้ในพระนามของพระองค์ และด้วยพระกำลังของพระองค์ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตประจำวัน และ การดำรงชีพ การทำมาหากินของแต่ละคน   ซึ่งเป็นพันธกิจชีวิตที่กระทำด้วยสำนึกในพระคุณของพระเจ้า (มิใช่ทำเพราะพระเจ้าสั่งให้ทำ  มิใช่ทำเพราะคิดว่า ไม่ทำไม่ได้เพราะนี่เป็นเป็นพระมหาบัญชาเท่านั้น)  “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า  ผู้ที่เชื่อในเราจะทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่  เขาจะทำแม้กระทั่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก...” (ยอห์น 14:12 อมตธรรม)  
  • รากฐานการกระทำพันธกิจชีวิตนี้มิใช่กระทำด้วยพลังอำนาจของ “เงิน หรือ ทุน”  แต่ด้วย “พลังอำนาจแห่งพระคุณ” และ จิตใจที่สำนึกในพระคุณของพระเจ้าที่ควรจะมีในสาวกเราท่านแต่ละคน
  • แท้จริงแล้ว เป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเรา และ ผ่านชีวิตประจำวันของรา   ด้วยพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 


ดังนั้น   เมื่อเรากล่าวถึงการทำพันธกิจด้านใดๆ ก็ตาม   เราไม่สามารถกล่าวถึงการทำพันธกิจที่แยกออกเฉพาะต่างหากจากการกระทำกิจต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แต่เป็นการทำพันธกิจชีวิตที่สานต่อจากพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่มุ่งหมายให้เกิดแผ่นดินของพระเจ้าชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น   ซึ่งเป็นพันธกิจชีวิตแห่งการทรงกอบกู้ ช่วยเหลือ ไถ่ถอน การสร้างชีวิตใหม่บนรากฐานแห่งพระคุณของพระเจ้า   เป็นการกระทำพันธกิจชีวิตที่เชื่อมสัมพันธ์เป็นเนื้อเดียวไปกับการดำรงชีพ การทำมาหากินในชีวิตประจำวันของสาวกแต่ละคนของพระเยซูคริสต์   ไม่ว่าจะเป็นการทำ...  
  • พันธกิจแห่งการสำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์ 
  • พันธกิจแห่งการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ 
  •  พันธกิจแห่งการเสริมสร้างชีวิตจิตวิญญาณของแต่ละคนให้เป็นสาวกของพระคริสต์และมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาเป็นเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกวัน  
  • พันธกิจชีวิตสามัคคีธรรมที่เอาใจใส่เกื้อกูล  หนุนเสริม  ช่วยเหลือกันและกันด้วยจิตใจที่ต้องการอภิบาลกันและกันทั้งในชุมชนคริสตจักร  ในครอบครัว  และในสังคม  และ
  • พันธกิจชีวิตที่มีพระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นต้นเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิต ในการทำมาหากิน  และในการรับใช้พระองค์  ในการคิดและการตัดสินใจของเรา   ด้วยจิตใจและจิตวิญญาณที่มีชีวิตที่นำมาซึ่งการยกย่อง สรรเสริญ  อันเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง


นอกจากที่คริสเตียนแต่ละคนพึงใคร่ครวญพิจารณาถึงเป้าหมายในการดำเนินชีวิตประจำวัน การงานอาชีพที่ทำให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า  ที่เป็นการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่นำแผ่นดินของพระเจ้าเข้ามายังโลกนี้แล้ว   ยังเป็นการน่าท้าทายอย่างยิ่งที่เราจะพิจารณาถึงโรงเรียน  มหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาลของคริสเตียนว่า  องค์กร หรือ สถาบันคริสเตียนเหล่านี้ก็เป็นผู้ที่ร่วมกันทำงานที่สานต่อจากพระราชกิจของพระเยซูคริสต์   และมีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นวิสัยทัศน์หรือนิมิตหมายในการดำเนินกิจการของตน   แท้จริงแล้ว สถาบันคริสเตียนเหล่านี้คือ “เครื่องมือ” การทำพระราชกิจของพระเจ้า   ที่นำพระคุณ และ พระพรไปยังประชาชนทั้งหลาย

โรงพยาบาลคริสเตียน   โรงเรียนคริสเตียน   มหาวิทยาลัยคริสเตียน  ที่มีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นวิสัยทัศน์นำของสถาบันเหล่านี้   มิได้พิจารณาเพียงว่า   สถาบันเหล่านี้มีพิธีนมัสการพระเจ้าในแต่ละวัน   มีกิจกรรมการประกาศพระกิตติคุณปีละ 1-2 กิจกรรม   หรือไม่ก็มีสัปดาห์ฟื้นฟูปีละครั้ง   มีการเฉลิมฉลองคริสต์มาส   มีการรีทรีตบุคลากรคริสเตียน   สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกระพี้เท่านั้น  

สถาบันแต่ละแห่งจะต้องกลับมาพิจารณากันอย่างจริงจังว่า   ถ้าสถาบันนี้เป็นสถาบันของพระเยซูคริสต์จริง   พระองค์ประสงค์ให้สถาบันนี้ทำอะไรเป็นหลักในปัจจุบัน?  และพระองค์มีประสงค์ให้เราทำอะไร และ ทำอย่างไรในสถานการณ์ปัจจุบัน?

พระเยซูคริสต์มีพระประสงค์อะไรสำหรับโรงพยาบาลคริสเตียนในประเทศไทยปัจจุบัน ?  

ถ้าพระองค์ทำงานในโรงพยาบาลคริสเตียนในประเทศไทยปัจจุบัน   พระองค์จะทำอะไรและทำอย่างไร?   พระองค์ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง?   พระองค์จะทำต่อคนไข้อย่างไร?   พระองค์จะทำต่อญาติคนไข้อย่างไร?   พระองค์จะบริหารจัดการอย่างไร?   พระองค์จะทำอย่างไรกับคนทำงานในโรงพยาบาล?   พระองค์จะทำอย่างไรในเรื่องความอยู่รอดของโรงพยาบาล?   พระองค์จะทำอย่างไรกับคนเจ็บคนป่วยที่ไม่มีเงินพอที่จะเสียค่ารักษาในโรงพยาบาล?    พระองค์จะทำอย่างไรกับคนไข้ที่เคยมารักษากับโรงพยาบาลคริสเตียนแล้วไม่สามารถเข้ามารับการรักษาต่อเนื่องอีกต่อไป?   พระองค์จะมีหลักเกณฑ์ในการเก็บค่ารักษาและบริการอย่างไร?    คนไข้และญาติที่ค้างชำระหรือเป็นหนี้โรงพยาบาลพระองค์จะบริหารจัดการอย่างไร?   ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของโรงพยาบาลคริสเตียนเหล่านี้พระองค์จะให้โรงพยาบาลเหล่านี้มีภารกิจหลักอะไร?  

สภาคริสตจักร   มูลนิธิสภาคริสตจักร  มีหลักเกณฑ์แนวทางต่อคำถามเหล่านี้อย่างไรบ้าง?

สำหรับโรงเรียน และ สถาบันอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย) คริสเตียน   พระเยซูคริสต์มีพระประสงค์อะไรต่อสถาบันการศึกษาเหล่านี้ในสังกัดสภาคริสตจักร?   ถ้าพระเยซูคริสต์มาทำงานในสถาบันการศึกษาเหล่านี้ในประเทศไทยปัจจุบัน   พระองค์จะจัดการศึกษาแบบไหน?   มุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์แบบใด?   พระองค์จะบริหารจัดการบุคลากรในสถาบันนี้แบบใด?   พระองค์จะมีแนวทางการคัดเลือกและเปิดโอกาสให้ใครบ้างที่เข้ามาเรียนในสถาบันเหล่านี้?   พระองค์จะบริหารจัดการอย่างไรกับค่าหน่วยกิต  ค่าเล่าเรียน?   พระองค์จะมีแนวทางบริหารอย่างไรกับความอยู่รอดของสถาบันกับการเอาจริงเอาจังในการสานต่อพระราชกิจของพระบิดา?   ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นครูผู้สอนในสถาบันเหล่านี้   พระองค์จะเป็นครูแบบไหน และ พระองค์จะสอนอย่างไร?    ถ้าสถาบันการศึกษาเหล่านี้จะต้องทำธุรกิจการศึกษา อะไรคือจุดสมดุลระหว่างธุรกิจกับพันธกิจของสถาบัน?   และคงต้องตอบด้วยว่าทำไมจะต้องทำธุรกิจการศึกษา?   และคงต้องเน้นเด่นชัดว่า   โรงเรียนของพระเยซูคริสต์มีแนวทางเช่นไรต่อเด็กจรจัด  เด็กข้างถนน  เด็กรอโอกาส  เด็กชาติพันธุ์  เด็กลูกแรงงานต่างด้าว   เด็กที่พ่อแม่ยากจนหาเช้ากินค่ำ   หรือโรงเรียนของพระเยซูคริสต์มีไว้สำหรับพ่อแม่ที่สามารถจ่ายเงินกินเปล่าที่เรียกในนามว่า “เงินบริจาค”  “เงินช่วยสร้างตึก”  หรือ “เงินแปะเจียะ”

สภาคริสตจักร  มูลนิธิสภาคริสตจักร   มีหลักเกณฑ์หรือแนวทางที่ชัดเจนต่อคำถามเหล่านี้อย่างไรบ้าง?   ที่จะเป็น Guideline สำหรับสถาบันเหล่านี้ภายใต้สังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทย

ในการแสวงหาคำตอบเหล่านี้   จำเป็นอย่างยิ่งที่พระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องเป็นตัวชี้นำของวิสัยทัศน์  เป้าหมาย  และพันธกิจของสถาบันเหล่านี้  

มิใช่พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นพันธกิจหรือกิจกรรมเสริมของสถาบันเท่านั้น!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น