เวลาที่เราทำธุรกิจ หรือ ประกอบอาชีพการงาน รวมไปถึงการรับจ้าง หรือ ขายแรงงาน เรามักมองและคิดสิ่งที่เราทำอาชีพที่เราทำบนฐาน
“คุณค่าเชิงเศรษฐกิจ” ในฐานะคริสเตียนเราเชื่อและค่อยๆ
เรียนรู้ชัดยิ่งขึ้นว่า
พระเจ้ายังทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์มาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“พระบิดาของเราทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์เสมอตราบจนทุกวันนี้
และเรากำลังทำงานเช่นกัน”
(ยอห์น 5:17 อมตธรรม)
เป้าหมายการกระทำพระราชกิจของพระองค์คือ
พระราชกิจแห่งการกอบกู้
เสริมสร้างใหม่ การมาของแผ่นดินของพระเจ้าอย่างเป็นรูปธรรม และการเกิดแผ่นดินโลกใหม่
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย
เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”
(ยอห์น 10:10 อมตธรรม)
“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประการอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ
และให้คนตาบอดมองเห็น
ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่
ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
(ลูกา 4:18-19
อมตธรรม)
เป้าประสงค์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าคือ การทรงกอบกู้ หรือ ไถ่ถอน มนุษย์ และ
สรรพสัตว์
สรรพสิ่งทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงสร้างให้หลุดรอดออกจากการครอบงำแห่งอำนาจของความชั่วร้ายในหลากหลายรูปแบบที่เราพบเจอในปัจจุบันนี้
- เพื่อให้มาอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองและการทรงปกครองในระบอบการปกครองด้วยพระคุณ (ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย หรือ เผด็จการจากคนหมู่มากและกลุ่มอำนาจ)
- พระราชกิจของพระองค์ขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจพระคุณ (มิใช่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม-เสรีนิยม ที่มุ่งไขว่คว้าหาคุณค่าด้วยการได้กำไรและสั่งสมทุนให้มากยิ่งขึ้น แล้วเกิดความรู้สึกว่านั่นเป็นความมั่นคงในเศรษฐกิจและคุณค่าในชีวิตของตน)
- พระราชกิจของพระเจ้ามุ่งมั่นไปสู่การมีคุณภาพชีวิตร่วมกัน “ในแผ่นดินของพระเจ้า” ที่พระเยซูคริสต์ทรงนำมา เริ่มต้น และค่อยๆ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นในโลกนี้
- พระเยซูคริสต์ยังทรงเรียกให้สาวกของพระองค์ทุกคนที่จะสานต่อพระราชกิจดังกล่าวนี้ในพระนามของพระองค์ และด้วยพระกำลังของพระองค์ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตประจำวัน และ การดำรงชีพ การทำมาหากินของแต่ละคน ซึ่งเป็นพันธกิจชีวิตที่กระทำด้วยสำนึกในพระคุณของพระเจ้า (มิใช่ทำเพราะพระเจ้าสั่งให้ทำ มิใช่ทำเพราะคิดว่า ไม่ทำไม่ได้เพราะนี่เป็นเป็นพระมหาบัญชาเท่านั้น) “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เขาจะทำแม้กระทั่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก...” (ยอห์น 14:12 อมตธรรม)
- รากฐานการกระทำพันธกิจชีวิตนี้มิใช่กระทำด้วยพลังอำนาจของ “เงิน หรือ ทุน” แต่ด้วย “พลังอำนาจแห่งพระคุณ” และ จิตใจที่สำนึกในพระคุณของพระเจ้าที่ควรจะมีในสาวกเราท่านแต่ละคน
- แท้จริงแล้ว เป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเรา และ ผ่านชีวิตประจำวันของรา ด้วยพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ดังนั้น
เมื่อเรากล่าวถึงการทำพันธกิจด้านใดๆ ก็ตาม
เราไม่สามารถกล่าวถึงการทำพันธกิจที่แยกออกเฉพาะต่างหากจากการกระทำกิจต่างๆ
ในชีวิตประจำวัน แต่เป็นการทำพันธกิจชีวิตที่สานต่อจากพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่มุ่งหมายให้เกิดแผ่นดินของพระเจ้าชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นพันธกิจชีวิตแห่งการทรงกอบกู้
ช่วยเหลือ ไถ่ถอน การสร้างชีวิตใหม่บนรากฐานแห่งพระคุณของพระเจ้า เป็นการกระทำพันธกิจชีวิตที่เชื่อมสัมพันธ์เป็นเนื้อเดียวไปกับการดำรงชีพ
การทำมาหากินในชีวิตประจำวันของสาวกแต่ละคนของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นการทำ...
- พันธกิจแห่งการสำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์
- พันธกิจแห่งการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
- พันธกิจแห่งการเสริมสร้างชีวิตจิตวิญญาณของแต่ละคนให้เป็นสาวกของพระคริสต์และมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาเป็นเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
- พันธกิจชีวิตสามัคคีธรรมที่เอาใจใส่เกื้อกูล หนุนเสริม ช่วยเหลือกันและกันด้วยจิตใจที่ต้องการอภิบาลกันและกันทั้งในชุมชนคริสตจักร ในครอบครัว และในสังคม และ
- พันธกิจชีวิตที่มีพระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นต้นเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิต ในการทำมาหากิน และในการรับใช้พระองค์ ในการคิดและการตัดสินใจของเรา ด้วยจิตใจและจิตวิญญาณที่มีชีวิตที่นำมาซึ่งการยกย่อง สรรเสริญ อันเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง
นอกจากที่คริสเตียนแต่ละคนพึงใคร่ครวญพิจารณาถึงเป้าหมายในการดำเนินชีวิตประจำวัน
การงานอาชีพที่ทำให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า
ที่เป็นการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่นำแผ่นดินของพระเจ้าเข้ามายังโลกนี้แล้ว ยังเป็นการน่าท้าทายอย่างยิ่งที่เราจะพิจารณาถึงโรงเรียน มหาวิทยาลัย และ โรงพยาบาลของคริสเตียนว่า องค์กร หรือ สถาบันคริสเตียนเหล่านี้ก็เป็นผู้ที่ร่วมกันทำงานที่สานต่อจากพระราชกิจของพระเยซูคริสต์
และมีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นวิสัยทัศน์หรือนิมิตหมายในการดำเนินกิจการของตน แท้จริงแล้ว สถาบันคริสเตียนเหล่านี้คือ
“เครื่องมือ” การทำพระราชกิจของพระเจ้า
ที่นำพระคุณ และ พระพรไปยังประชาชนทั้งหลาย
โรงพยาบาลคริสเตียน โรงเรียนคริสเตียน มหาวิทยาลัยคริสเตียน
ที่มีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นวิสัยทัศน์นำของสถาบันเหล่านี้ มิได้พิจารณาเพียงว่า
สถาบันเหล่านี้มีพิธีนมัสการพระเจ้าในแต่ละวัน มีกิจกรรมการประกาศพระกิตติคุณปีละ 1-2 กิจกรรม หรือไม่ก็มีสัปดาห์ฟื้นฟูปีละครั้ง มีการเฉลิมฉลองคริสต์มาส มีการรีทรีตบุคลากรคริสเตียน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกระพี้เท่านั้น
สถาบันแต่ละแห่งจะต้องกลับมาพิจารณากันอย่างจริงจังว่า ถ้าสถาบันนี้เป็นสถาบันของพระเยซูคริสต์จริง พระองค์ประสงค์ให้สถาบันนี้ทำอะไรเป็นหลักในปัจจุบัน? และพระองค์มีประสงค์ให้เราทำอะไร และ ทำอย่างไรในสถานการณ์ปัจจุบัน?
พระเยซูคริสต์มีพระประสงค์อะไรสำหรับโรงพยาบาลคริสเตียนในประเทศไทยปัจจุบัน
?
ถ้าพระองค์ทำงานในโรงพยาบาลคริสเตียนในประเทศไทยปัจจุบัน พระองค์จะทำอะไรและทำอย่างไร? พระองค์ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง? พระองค์จะทำต่อคนไข้อย่างไร? พระองค์จะทำต่อญาติคนไข้อย่างไร? พระองค์จะบริหารจัดการอย่างไร? พระองค์จะทำอย่างไรกับคนทำงานในโรงพยาบาล?
พระองค์จะทำอย่างไรในเรื่องความอยู่รอดของโรงพยาบาล? พระองค์จะทำอย่างไรกับคนเจ็บคนป่วยที่ไม่มีเงินพอที่จะเสียค่ารักษาในโรงพยาบาล?
พระองค์จะทำอย่างไรกับคนไข้ที่เคยมารักษากับโรงพยาบาลคริสเตียนแล้วไม่สามารถเข้ามารับการรักษาต่อเนื่องอีกต่อไป? พระองค์จะมีหลักเกณฑ์ในการเก็บค่ารักษาและบริการอย่างไร? คนไข้และญาติที่ค้างชำระหรือเป็นหนี้โรงพยาบาลพระองค์จะบริหารจัดการอย่างไร? ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของโรงพยาบาลคริสเตียนเหล่านี้พระองค์จะให้โรงพยาบาลเหล่านี้มีภารกิจหลักอะไร?
สภาคริสตจักร
มูลนิธิสภาคริสตจักร
มีหลักเกณฑ์แนวทางต่อคำถามเหล่านี้อย่างไรบ้าง?
สำหรับโรงเรียน และ สถาบันอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย)
คริสเตียน
พระเยซูคริสต์มีพระประสงค์อะไรต่อสถาบันการศึกษาเหล่านี้ในสังกัดสภาคริสตจักร?
ถ้าพระเยซูคริสต์มาทำงานในสถาบันการศึกษาเหล่านี้ในประเทศไทยปัจจุบัน พระองค์จะจัดการศึกษาแบบไหน? มุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์แบบใด? พระองค์จะบริหารจัดการบุคลากรในสถาบันนี้แบบใด? พระองค์จะมีแนวทางการคัดเลือกและเปิดโอกาสให้ใครบ้างที่เข้ามาเรียนในสถาบันเหล่านี้?
พระองค์จะบริหารจัดการอย่างไรกับค่าหน่วยกิต ค่าเล่าเรียน?
พระองค์จะมีแนวทางบริหารอย่างไรกับความอยู่รอดของสถาบันกับการเอาจริงเอาจังในการสานต่อพระราชกิจของพระบิดา?
ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นครูผู้สอนในสถาบันเหล่านี้ พระองค์จะเป็นครูแบบไหน และ
พระองค์จะสอนอย่างไร?
ถ้าสถาบันการศึกษาเหล่านี้จะต้องทำธุรกิจการศึกษา
อะไรคือจุดสมดุลระหว่างธุรกิจกับพันธกิจของสถาบัน? และคงต้องตอบด้วยว่าทำไมจะต้องทำธุรกิจการศึกษา? และคงต้องเน้นเด่นชัดว่า
โรงเรียนของพระเยซูคริสต์มีแนวทางเช่นไรต่อเด็กจรจัด เด็กข้างถนน
เด็กรอโอกาส เด็กชาติพันธุ์ เด็กลูกแรงงานต่างด้าว เด็กที่พ่อแม่ยากจนหาเช้ากินค่ำ
หรือโรงเรียนของพระเยซูคริสต์มีไว้สำหรับพ่อแม่ที่สามารถจ่ายเงินกินเปล่าที่เรียกในนามว่า
“เงินบริจาค” “เงินช่วยสร้างตึก” หรือ “เงินแปะเจียะ”
สภาคริสตจักร
มูลนิธิสภาคริสตจักร
มีหลักเกณฑ์หรือแนวทางที่ชัดเจนต่อคำถามเหล่านี้อย่างไรบ้าง? ที่จะเป็น Guideline สำหรับสถาบันเหล่านี้ภายใต้สังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทย
ในการแสวงหาคำตอบเหล่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่พระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องเป็นตัวชี้นำของวิสัยทัศน์ เป้าหมาย
และพันธกิจของสถาบันเหล่านี้
มิใช่พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นพันธกิจหรือกิจกรรมเสริมของสถาบันเท่านั้น!
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น