ท่านเคยพูดกับตนเองว่า “สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย”
หรือมีเพื่อนสนิทคนใดคนหนึ่งพูดกับท่านเช่นนี้หรือไม่? ถ้าเคย
ตอนนี้ท่านรู้เลยใช่ไหมครับว่า
คนที่พูดประโยคนี้มีความรู้สึกเช่นไร
ผมก็เคยได้ยินประโยคนี้จากเพื่อนสนิท(รุ่นน้อง)ของผมคนหนึ่งเช่นกันครับ
เพื่อนคนนี้ของผมคุณพ่อติดเหล้างอมแงมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ที่วงการแพทย์เรียกว่าโรคพิษสุราเรื้องรัง จนในที่สุดพ่อแม่เลิกกัน สิ่งต่างๆ ที่เธอคาดหวัง ความมั่นคงในชีวิตที่เธอต้องการละลายหายสูญไป เธอรู้สึกว่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเธอเลย เพราะเขาถูกเลี้ยงดูในครอบครัวคริสเตียน เธอบอกผมว่า
ในเวลานั้นเธอเกิดคำถามมากมายในชีวิต
เธอบอกอย่างไม่อายว่า
เธอแปลกประหลาดใจว่า
ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยประคับประคองครอบครัวของเธอไว้? ทำไมพระเจ้าไม่ทรงปกป้องครอบครัวเธอที่ต้องประสบกับชีวิตที่
“ฉีกขาด” “แตกแหลกละเอียด” หาความสุขมิได้? เธอบอกผมว่าในเวลานั้นเธอรู้สึกว่า ดูเหมือนพระเจ้านิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้เย็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตครอบครัวและชีวิตของเธอ
จนวันหนึ่ง เธอได้รับการปลอบประโลมใจ ทำให้ชีวิตภายในเธอค่อยๆ สงบลง คำถามที่ถกถามวุ่นวายในจิตใจเงียบลง เมื่อเธออ่านข้อพระคัมภีร์ตอนหนึ่ง ที่สะดุดความคิดในชีวิตของเธอ
“เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า
ทั้งวิถีทางของเจ้าไม่เป็นวิถีทางของเรา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด
วิถีของเราก็สูงกว่าทางของเจ้า
และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”
(อิสยาห์ 55:8-9)
เธอเป็นพยานว่า นั่นเป็นเสียงที่พระเจ้าตรัสกับเธอว่า
“เรารู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเจ้า และเรารู้ด้วยว่าเจ้าไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เจ้าต้องไว้ใจเราในเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น ที่กำลังเกิดขึ้น และที่จะเกิดขึ้น”
ในการใคร่ครวญคำตรัสนั้นเองที่เธอพบความจริงว่า แท้จริงแล้วไม่สำคัญและจำเป็นอะไรมากมายที่เธอจะต้องเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เลวร้ายนี้ถึงเกิดขึ้นในชีวิตของเธอ ทำไมเธอถึงจะต้องมารับความเจ็บปวดในชีวิต แต่เธอพบสัจจะความจริงที่ว่า สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ การที่เธอจะไว้วางใจพระเจ้าที่รักเธอ
ที่อนุญาตให้เหตุการณ์ร้ายๆ และความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้นในชีวิตเธอต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ
เธอเล่าต่อไปด้วยความภาคภูมิใจว่า ตั้งแต่วันนั้นที่เธอเลือกไว้วางใจพระเจ้า
มากกว่าที่จะมีคำถามมากมายให้พระเจ้าตอบจนถึงวันนี้เป็นเวลา 30 ปี
พระเจ้าทรงกระทำงานในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ ยิ่งกว่านั้นเธอยืนยันว่า
พระเจ้าทรงกระทำงานของพระองค์ลงลึกในชีวิตเธอ
แล้วสำแดงให้เธอเห็นว่า เธอจะมีความรักเมตตากรุณาต่อคนอื่นๆ ที่กำลังตกในความเจ็บปวดภายในชีวิตได้อย่างไร
เธอบอกผมว่า พ่อที่เคยเป็น “ขี้เหล้า”
ตอนนี้เลิกเหล้าได้แล้วประมาณ 30
ปี แล้วทำพันธกิจช่วยเหลือเอาใจใส่ผู้คนที่ติดเหล้างอมแงมจำนวนมากมาย และช่วยเหลือชีวิตครอบครัวของผู้คนเหล่านั้น
พระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายเจ็บปวดขึ้นในครอบครัวของเธอหรือ? คำตอบของเธอคือ “ไม่ใช่” มนุษย์เป็นผู้พาชีวิตของตนเองเข้าในสถานการณ์เลวร้ายนั้นต่างหาก และความเลวร้ายนั้นสร้างความเจ็บปวดแก่ตนเองและผู้อื่น
แต่พระเจ้าทรงเมตตากระทำพระราชกิจของพระองค์ในสถานการณ์เลวร้ายและเจ็บปวดในชีวิตของเรา
แล้วทรงมีพระประสงค์ที่จะทำให้เกิดสิ่งดีในสถานการณ์เลวร้ายและเจ็บปวดของมนุษย์ และเป็นสิ่งดีอย่างคิดไม่ถึงสำหรับเธอ
พ่อ และคนอื่นๆ ที่เจ็บปวดในชีวิต
ใช่เลยครับ ชีวิตมักไม่เป็นไปตามแผนการที่เราวาดฝันคาดหวังในใจ แต่ขอให้เราหยุดตนเองแล้วคิดสักนิดว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามีไหมที่ทำให้เราแปลกประหลาดใจในพระเจ้า
จากประสบการณ์ความเจ็บปวดในชีวิตของเพื่อนคนนี้ และประสบการณ์ที่เธอได้ทำพันธกิจในการดูแล
รักษาและเยียวยาหญิงที่เกิดบาดแผลภายในชีวิต
เธอยืนยันอย่างแข็งแรงว่า
พระเจ้าทรงทราบอย่างดีเมื่อชีวิตของเราตกลงในความเจ็บปวด
และพระองค์ทรงมีจุดประสงค์ที่ทรงอนุญาตให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นในชีวิตของเรา หรือยอมให้ “หัวใจ” ของเราแตกสลาย หรือทำให้ชีวิตของเราเคลื่อนช้าลง หรือยอมให้เราต้องได้รับความโศกเศร้า
จากหนังสือเรื่อง When a Women Overcomes Life’s Hurt (ขออนุญาตแปลเล่นๆ ว่า
“เมื่อแม่หญิงเอาชนะความเจ็บปวดในชีวิต”) ที่เขียนโดย Cindi McMenamin เป็นหนังสือที่นำเสนอเกี่ยวกับการเยียวภายในชีวิตและการเสริมสร้างชีวิตที่ครบบริบูรณ์
หนังสือได้เสนอขั้นตอนต่างๆไว้อย่างน่าสนใจ ขอเลือกบางขั้นตอนมาพูดคุยกัน
ขั้นตอนแรกที่สำคัญคือ รู้เท่าทันว่า
ในทุกความเจ็บปวดของชีวิตย่อมมีเหตุผลหรือจุดประสงค์เบื้องหลังของความเจ็บปวดนั้น ผมรู้ครับว่าพูดเช่นนี้มันง่ายแต่ทำจริงมันยาก
ซึ่งหนังสือได้เสนอแนะหลักการเชิงปฏิบัติไว้
ขอเอาหลักการปฏิบัติที่สำคัญมาพูดคุยกันในที่นี้สัก 3 ขั้นตอน ที่นำสู่การไว้วางใจพระเจ้าผู้ที่รักเมตตาเรา
และทรงรู้ลึกซึ้งในทุกสถานการณ์ชีวิตของเราในแต่ละวัน รวมถึงเวลาที่ชีวิตของเราต้องได้รับความเจ็บปวดด้วย
1. ขอบพระคุณพระเจ้าท่ามกลางความเจ็บปวดในชีวิต
พระวจนะของพระเจ้าได้เตือนสติเราว่า “จงขอบพระคุณ(พระเจ้า)ในทุกสถานการณ์
เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับท่านทั้งหลาย ในพระเยซูคริสต์” (1โครินธ์ 5:18 อมตธรรม) การที่ใครคนใดคนหนึ่งสามารถ “ขอบพระคุณพระเจ้า ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้นั้น
นี่มิใช่การปฏิบัติออกถึงความเชื่อฟังในชีวิตของคนๆ นั้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตหรือ และนี่เป็นชีวิตที่แสดงออกมาด้วยความเชื่อศรัทธาด้วย (ถ้าไม่มีความเชื่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย... ฮีบรู 11:6 อมตธรรม)
เราจะสามารถปฏิบัติขั้นตอนที่เป็นความเชื่อศรัทธา
และ การเชื่อฟังที่สำคัญยิ่งนี้ได้หรือไม่ ทุกครั้งเมื่อเกิดความเจ็บปวดในชีวิต
ให้เราก้มศีรษะลงอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าในเหตุการณ์นั้นและในความเจ็บปวดนั้น หรือ ในความทรงจำที่เจ็บปวดเกิดขึ้นในชีวิตของเราทันที นี่ไม่ใช่เพราะเรารู้สึก
ขอบพระคุณพระเจ้า แต่เพราะพระวจนะของพระเจ้ากำชับให้เราขอบพระคุณ และเพราะเราตั้งใจและวางใจที่จะให้พระเจ้าเป็นผู้ชี้นำและกระทำกิจของพระองค์ในสถานการณ์นั้นในชีวิตของเรา
2. ทูลต่อพระเจ้าว่าท่านพร้อมจะเติบโต
เมื่อชีวิตต้องประสบกับความเจ็บปวดเป็นโอกาสที่ชีวิตของเราจะเติบโตขึ้นในการมีชีวิตที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า
ทูลต่อพระเจ้าว่าเราพร้อมที่เห็นในสิ่งที่พระองค์พระประสงค์ให้เราเห็นและเรียนรู้ ด้วยการนี้จะช่วยให้เรายอมตนลงพร้อมที่จะให้พระเจ้าทรงสอนในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราเรียนรู้ เยเรมีย์ 29:13 กล่าวว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดใจของเจ้า” (อมตธรรม) การที่เราทูลต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า
ข้าพระองค์พร้อมที่จะเติบโต”
เป็นอีกวิธีหนึ่งในการแสวงหาพระองค์ และ รับการทรงสร้างชีวิตของเราขึ้นใหม่
3. ไว้วางใจในกระบวนการทำงานของพระเจ้า
ถึงแม้ว่าท่านยังไม่สามารถเห็นสิ่งดีอันใดจากการที่ชีวิตของท่านต้องเจ็บปวด จงไว้วางใจในกระบวนการทำงานของพระเจ้า
ที่อนุญาตให้ชีวิตของท่านประสบกับเหตุการณ์เหล่านั้นที่เกิดขึ้น ว่าจะเป็นกระบวนการที่ทรงกระทำให้สิ่งใหญ่สำคัญในชีวิตของท่านในเวลาที่เหมาะสมข้างหน้า จงไว้วางใจว่า “...ในทุกสิ่ง
พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์...” (โรม 8:28 อมตธรรม) และในข้อต่อไปได้บอกเราว่า
พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งให้เกิดผลดีในชีวิตของเราอย่างไร “พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้วให้(เรา)เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์”
(ข้อ 29 อมตธรรม
ในวงเล็บเติมโดยผู้เขียน)
ดังนั้น เมื่อชีวิตต้องตกท่ามกลางความเจ็บปวด จิตใจพบกับความปวดร้าว และเราไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จงไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์กำลังทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเราให้มีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
เมื่อเราคิดถึงการที่พระคริสต์ทรงอดทนในความทุกข์ เจ็บปวด
บาดแผลและความตายด้วยความเชื่อฟังและอดทน
และเรากำลังรับการทรงสร้างให้เหมือนพระองค์ เพื่อเราจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ในงานแห่งพระประสงค์ของพระองค์ในอนาคต
ให้เราไว้วางใจในพระเจ้าเถิดครับ เมื่อชีวิตต้องประสบกับความเจ็บปวด จิตใจแตกสลาย
โปรดรู้ว่าพระเจ้าอยู่เคียงข้างเรา
และพระองค์พร้อมที่จะเสริมสร้างชีวิตของเราให้เติบโตขึ้น และทรงมีพระประสงค์ยิ่งใหญ่สำคัญในชีวิตของเรา
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น