24 ตุลาคม 2555

อ่านแล้วอ่านเล่าแต่ไม่เข้าใจ?


อ่าน 1โครินธ์ 2:6-16

ผมเชื่อคริสตชนส่วนมากเห็นความสำคัญว่า ควรอ่านพระคัมภีร์ หรือ อ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำและต่อเนื่องในชีวิต   ยิ่งกว่านั้น หลายต่อหลายคนได้ทดลอง  ได้พยายาม  และบ่มเพาะสร้างวินัยชีวิตคริสตชนในด้านนี้   แต่หลายคนเหลือเกินในปัจจุบันพบว่า   ในที่สุดก็หยุดอ่านพระคัมภีร์  เลิกอ่านพระวจนะ   หรือหมดกำลังใจที่จะอ่าน   อะไรที่เป็นสาเหตุเบื้องหลังของความตั้งใจดีแต่ไปไม่ถึงไหนของการอ่านพระคัมภีร์ในชีวิตประจำวันของคริสตชน?   คำตอบส่วนมากที่ผมได้จากการแลกเปลี่ยนพูดคุยในเรื่องนี้กับคริสตชนคือ...

“เพราะอ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจว่า พระคัมภีร์ตอนนั้นหมายความว่าอย่างไร  ต้องการบอกสัจจะความจริงแก่ผู้อ่านว่าอะไร/อย่างไร”

ใช่ครับเมื่ออ่านไม่รู้เรื่อง อ่านแล้วไม่เข้าใจ  แล้วจะมีพลังใจที่ไหนที่ทำให้อดทนอ่านต่อไป!

ผมได้ยินคำอธิษฐานของผู้คนบ่อยครั้งมักอธิษฐานเมื่อจะอ่านพระคัมภีร์ หรือ เมื่อจะเทศนาว่า “ขอพระเจ้าโปรดช่วยให้ข้าพระองค์ มีสติปัญญา ที่จะเข้าใจถึงพระวจนะของพระองค์...” 

ใช่ครับ หลายต่อหลายคนโหยหาอยากได้ สติปัญญา ที่จะช่วยให้ตนเข้าใจและเรียนรู้ถึงความหมายของพระคัมภีร์ และลึกลงไปถึง พระประสงค์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ตอนนั้นๆ ที่ตนอ่านตนเทศน์

เปาโลช่วยเราให้เข้าใจชัดเจนแบบง่ายๆ ในเรื่องนี้ใน 1โครินธ์ 2:6-16

เปาโลเล่าถึงการที่ท่านพบและสอนสมาชิกในคริสตจักรโครินธ์ว่า  “ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยคำพูดที่สละสลวยหรือสติปัญญาเลอเลิศ...” (ข้อ1 อมตธรรม)  “คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำโน้มน้าวใจด้วยสติปัญญา   แต่เป็นการสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ  เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่อาศัยสติปัญญาของมนุษย์   แต่พึ่งฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า” (ข้อ 4 และ 5)

เป็นอันชัดเจนนะครับว่า   พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า  เป็นการบ่งชี้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า  ที่ไม่สามารถอ่านด้วยพึ่งพิงเพียงสติปัญญา หรือ หลักการ  ทฤษฎีต่างๆ ที่เราเรียนรู้  หรือ  กระบวนการนึกคิดปัญญาแบบกระแสสังคมโลกในปัจจุบัน   แต่เราต้องอ่านด้วยการเปิดใจเปิดจิตวิญญาณของเรา ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยความจริงในพระวจนะนั้นๆ แก่เรา  มิใช่คิดใคร่ครวญด้วยสติปัญญาแบบกระแสโลกที่ครอบงำในวิธีคิดของเรา   แต่ด้วย การทรงสำแดง การทรงเปิดเผยสัจจะความจริงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  

ด้วยเหตุนี้กระมัง  ที่เราท่านหลายครั้งอ่านพระคัมภีร์  อ่านแล้วอ่านเล่าแต่ไม่เข้าใจ?

มิใช่เพราะเราอ่านผ่านๆ หรือ อ่านอย่างไม่ใคร่ครวญ  

แท้จริงเราอ่านอย่างใส่ใจและอ่านอย่างใคร่ครวญ  แต่ด้วยการพยายามใช้เพียงสติปัญญาของเรามาหาความหมายความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า  เอาตรรกะเหตุผลของเรามาพิจารณาหาพระประสงค์ของพระเจ้า   มันจึงสร้างความสับสนงุนงง สร้างความไม่เข้าใจ   หรือไม่ก็สร้างแต่คำถามในใจของเรา   จนอ่อนอกอ่อนใจพาลพาไม่อ่านต่อไป!   นี่ยังไม่รวมถึงการอ่านพระคัมภีร์แบบพยายามค้นหาตีความให้เข้ากับความคิดข้อสมมติฐานของเราเอง หรือ ความคิดที่เรายึดถือยึดมั่น

เปาโลชี้ชัดว่า  การที่ผู้อ่านพระวจนะพระเจ้าเข้าใจถึงความหมาย และมีความเข้าใจในพระวจนะนั้นต้องรู้เท่าทันความจริงก่อนว่า

“ไม่มีใครได้เห็น   ไม่มีใครได้ยิน   ไม่เคยมีจิตใจใดหยั่งรู้  
สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์  
แต่พระเจ้า ทรงเปิดเผย สิ่งนั้นแก่เราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์...”
(ข้อ 9-10 อมตธรรม)

ทั้งนี้เปาโลชี้ชัดว่า   ที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจ และ เข้าถึงความหมายและความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าก็เพราะว่า   พระวจนะเป็นทั้งเรื่องความคิด พระประสงค์ น้ำพระทัยของพระเจ้า   จึงเป็น ความล้ำลึก ของพระเจ้า (ข้อ 10)  และ พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่รู้อย่างทะลุปรุโปร่งในความล้ำลึกนี้  ดังนั้น การที่จะเข้าใจถึงความ ล้ำลึก ในพระวจนะของพระเจ้าได้ก็ด้วยการสำแดงเปิดเผยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  ดังที่เปาโลบอกว่า

“...ไม่มีใครหยั่งรู้พระดำริของพระเจ้าได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า”
(ข้อ 11 อมตธรรม)

การที่เราจะอ่านพระคัมภีร์หรือ พระวจนะของพระเจ้า  ซึ่งเป็นพระดำริของพระองค์   เราจึงไม่สามารถพึ่งพิงเพียงสติปัญญา  ความรอบรู้  หลักการ  ความคิด  ทฤษฎีแห่งโลกนี้ได้   แต่เราต้องพึ่งการทรงสำแดงเปิดเผยจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์   ดังนั้น เมื่อเวลาใดก็ตามที่เราอ่านพระคัมภีร์ ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าต้องรู้เท่าทันและตระหนักชัดเสมอว่า

“เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก   แต่เรารับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า  
เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จำกัด”
(ข้อ 12 อมตธรรม)

ดังนั้น  ให้เราอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะ พระดำริ  พระประสงค์  น้ำพระทัยของพระเจ้า   ด้วยการทูลขอพึ่งพาการทรงเปิดเผยของพระวิญญาณบริสุทธิ์   เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนเราในสิ่งที่เป็นความจำเป็นต้องการในชีวิตเวลานั้นของเราแต่ละคน   ฉะนั้น สิ่งที่เราเรียนรู้เข้าใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่จำเป็นต้องนำไปเปรียบเทียบว่าเหมือนและต่างกันอย่างไร   เพราะพระเจ้าทรงทราบดีกว่า  อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด  จำเป็นที่สุด และสำคัญที่สุดสำหรับแต่ละบริบทของชีวิต

เป้าหมายขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเปิดเผยแก่เราในแต่ละวันที่เราอ่านพระคัมภีร์  มิใช่เพื่อ ใส่ข้อมูลเรื่องราวความรู้ ของพระคัมภีร์ลงในสมอง ความจำของเรา   แต่เป้าหมายของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเปิดเผยสัจจะความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าที่เราอ่านในแต่ละวัน  เพื่อเสริมสร้างให้เรามีชีวิตที่หยั่งรากลึกลงสนิทสัมพันธ์กับพระคริสต์มากยิ่งๆ ขึ้น   และเพื่อช่วยให้เราสามารถเห็น ได้ยิน และเข้าใจถึงสัจจะความจริงที่พระองค์ประสงค์จะหนุนนำ และ พระองค์ทรงเคียงข้างไปกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา   และจะทรงสอนเราในทุกย่างก้าวที่จะเดินไปในสถานการณ์ต่างๆ   เพื่อเสริมสร้างให้เราเป็น “คนของพระองค์” เดินไปบนเส้นทางชีวิตที่พระองค์ประสงค์   และเสริมสร้างเราให้เป็นคริสตชนที่มีน้ำพระทัยของพระคริสต์

การอ่านพระคัมภีร์ การใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า  จึงมิใช่อยู่ที่ครึ่งชั่วโมง หรือ หนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันเท่านั้น   แต่เราจะใคร่ครวญ ภาวนาพระวจนะที่เราอ่านในวันนั้นไปตลอดวัน  ในทุกสถานการณ์/เหตุการณ์ที่เราประสบพบเจอ   แล้วใส่ใจต่อการสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในทุกสถานการณ์ชีวิต   เพื่อเราจะเรียนรู้สัจจะความจริงแห่งชีวิตสำหรับเราจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสอนเราในบริบทชีวิตจริงในวันนั้นของเรา

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น