อ่าน 1โครินธ์
2:6-16
ผมเชื่อคริสตชนส่วนมากเห็นความสำคัญว่า
ควรอ่านพระคัมภีร์ หรือ อ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำและต่อเนื่องในชีวิต ยิ่งกว่านั้น หลายต่อหลายคนได้ทดลอง ได้พยายาม
และบ่มเพาะสร้างวินัยชีวิตคริสตชนในด้านนี้ แต่หลายคนเหลือเกินในปัจจุบันพบว่า ในที่สุดก็หยุดอ่านพระคัมภีร์ เลิกอ่านพระวจนะ หรือหมดกำลังใจที่จะอ่าน อะไรที่เป็นสาเหตุเบื้องหลังของความตั้งใจดีแต่ไปไม่ถึงไหนของการอ่านพระคัมภีร์ในชีวิตประจำวันของคริสตชน? คำตอบส่วนมากที่ผมได้จากการแลกเปลี่ยนพูดคุยในเรื่องนี้กับคริสตชนคือ...
“เพราะอ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจว่า
พระคัมภีร์ตอนนั้นหมายความว่าอย่างไร
ต้องการบอกสัจจะความจริงแก่ผู้อ่านว่าอะไร/อย่างไร”
ใช่ครับเมื่ออ่านไม่รู้เรื่อง
อ่านแล้วไม่เข้าใจ
แล้วจะมีพลังใจที่ไหนที่ทำให้อดทนอ่านต่อไป!
ผมได้ยินคำอธิษฐานของผู้คนบ่อยครั้งมักอธิษฐานเมื่อจะอ่านพระคัมภีร์
หรือ เมื่อจะเทศนาว่า “ขอพระเจ้าโปรดช่วยให้ข้าพระองค์ มีสติปัญญา ที่จะเข้าใจถึงพระวจนะของพระองค์...”
ใช่ครับ หลายต่อหลายคนโหยหาอยากได้ สติปัญญา ที่จะช่วยให้ตนเข้าใจและเรียนรู้ถึงความหมายของพระคัมภีร์
และลึกลงไปถึง พระประสงค์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ตอนนั้นๆ ที่ตนอ่านตนเทศน์
เปาโลช่วยเราให้เข้าใจชัดเจนแบบง่ายๆ ในเรื่องนี้ใน
1โครินธ์ 2:6-16
เปาโลเล่าถึงการที่ท่านพบและสอนสมาชิกในคริสตจักรโครินธ์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยคำพูดที่สละสลวยหรือสติปัญญาเลอเลิศ...”
(ข้อ1 อมตธรรม) “คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำโน้มน้าวใจด้วยสติปัญญา แต่เป็นการสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ
เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่พึ่งฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า” (ข้อ 4 และ 5)
เป็นอันชัดเจนนะครับว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นการบ่งชี้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ไม่สามารถอ่านด้วยพึ่งพิงเพียงสติปัญญา หรือ
หลักการ ทฤษฎีต่างๆ ที่เราเรียนรู้ หรือ
กระบวนการนึกคิดปัญญาแบบกระแสสังคมโลกในปัจจุบัน แต่เราต้องอ่านด้วยการเปิดใจเปิดจิตวิญญาณของเรา
ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยความจริงในพระวจนะนั้นๆ แก่เรา
มิใช่คิดใคร่ครวญด้วยสติปัญญาแบบกระแสโลกที่ครอบงำในวิธีคิดของเรา แต่ด้วย การทรงสำแดง
การทรงเปิดเผยสัจจะความจริงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ด้วยเหตุนี้กระมัง ที่เราท่านหลายครั้งอ่านพระคัมภีร์ อ่านแล้วอ่านเล่าแต่ไม่เข้าใจ?
มิใช่เพราะเราอ่านผ่านๆ หรือ อ่านอย่างไม่ใคร่ครวญ
แท้จริงเราอ่านอย่างใส่ใจและอ่านอย่างใคร่ครวญ แต่ด้วยการพยายามใช้เพียงสติปัญญาของเรามาหาความหมายความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า เอาตรรกะเหตุผลของเรามาพิจารณาหาพระประสงค์ของพระเจ้า มันจึงสร้างความสับสนงุนงง สร้างความไม่เข้าใจ หรือไม่ก็สร้างแต่คำถามในใจของเรา จนอ่อนอกอ่อนใจพาลพาไม่อ่านต่อไป!
นี่ยังไม่รวมถึงการอ่านพระคัมภีร์แบบพยายามค้นหาตีความให้เข้ากับความคิดข้อสมมติฐานของเราเอง
หรือ ความคิดที่เรายึดถือยึดมั่น
เปาโลชี้ชัดว่า
การที่ผู้อ่านพระวจนะพระเจ้าเข้าใจถึงความหมาย
และมีความเข้าใจในพระวจนะนั้นต้องรู้เท่าทันความจริงก่อนว่า
“ไม่มีใครได้เห็น
ไม่มีใครได้ยิน
ไม่เคยมีจิตใจใดหยั่งรู้
สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์
แต่พระเจ้า
ทรงเปิดเผย สิ่งนั้นแก่เราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์...”
(ข้อ 9-10 อมตธรรม)
ทั้งนี้เปาโลชี้ชัดว่า ที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจ และ เข้าถึงความหมายและความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าก็เพราะว่า พระวจนะเป็นทั้งเรื่องความคิด พระประสงค์
น้ำพระทัยของพระเจ้า จึงเป็น ความล้ำลึก
ของพระเจ้า (ข้อ 10)
และ
พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่รู้อย่างทะลุปรุโปร่งในความล้ำลึกนี้ ดังนั้น การที่จะเข้าใจถึงความ ล้ำลึก
ในพระวจนะของพระเจ้าได้ก็ด้วยการสำแดงเปิดเผยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ดังที่เปาโลบอกว่า
“...ไม่มีใครหยั่งรู้พระดำริของพระเจ้าได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า”
(ข้อ 11 อมตธรรม)
การที่เราจะอ่านพระคัมภีร์หรือ
พระวจนะของพระเจ้า
ซึ่งเป็นพระดำริของพระองค์
เราจึงไม่สามารถพึ่งพิงเพียงสติปัญญา
ความรอบรู้ หลักการ ความคิด
ทฤษฎีแห่งโลกนี้ได้
แต่เราต้องพึ่งการทรงสำแดงเปิดเผยจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น เมื่อเวลาใดก็ตามที่เราอ่านพระคัมภีร์
ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าต้องรู้เท่าทันและตระหนักชัดเสมอว่า
“เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่เรารับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า
เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไม่จำกัด”
(ข้อ 12 อมตธรรม)
ดังนั้น
ให้เราอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระวจนะ พระดำริ พระประสงค์
น้ำพระทัยของพระเจ้า
ด้วยการทูลขอพึ่งพาการทรงเปิดเผยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนเราในสิ่งที่เป็นความจำเป็นต้องการในชีวิตเวลานั้นของเราแต่ละคน ฉะนั้น
สิ่งที่เราเรียนรู้เข้าใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่จำเป็นต้องนำไปเปรียบเทียบว่าเหมือนและต่างกันอย่างไร เพราะพระเจ้าทรงทราบดีกว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด จำเป็นที่สุด
และสำคัญที่สุดสำหรับแต่ละบริบทของชีวิต
เป้าหมายขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเปิดเผยแก่เราในแต่ละวันที่เราอ่านพระคัมภีร์ มิใช่เพื่อ ใส่ข้อมูลเรื่องราวความรู้ ของพระคัมภีร์ลงในสมอง
ความจำของเรา
แต่เป้าหมายของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเปิดเผยสัจจะความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าที่เราอ่านในแต่ละวัน เพื่อเสริมสร้างให้เรามีชีวิตที่หยั่งรากลึกลงสนิทสัมพันธ์กับพระคริสต์มากยิ่งๆ
ขึ้น และเพื่อช่วยให้เราสามารถเห็น
ได้ยิน และเข้าใจถึงสัจจะความจริงที่พระองค์ประสงค์จะหนุนนำ และ พระองค์ทรงเคียงข้างไปกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา
และจะทรงสอนเราในทุกย่างก้าวที่จะเดินไปในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อเสริมสร้างให้เราเป็น “คนของพระองค์”
เดินไปบนเส้นทางชีวิตที่พระองค์ประสงค์
และเสริมสร้างเราให้เป็นคริสตชนที่มีน้ำพระทัยของพระคริสต์
การอ่านพระคัมภีร์
การใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า
จึงมิใช่อยู่ที่ครึ่งชั่วโมง หรือ หนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันเท่านั้น แต่เราจะใคร่ครวญ ภาวนาพระวจนะที่เราอ่านในวันนั้นไปตลอดวัน ในทุกสถานการณ์/เหตุการณ์ที่เราประสบพบเจอ
แล้วใส่ใจต่อการสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในทุกสถานการณ์ชีวิต
เพื่อเราจะเรียนรู้สัจจะความจริงแห่งชีวิตสำหรับเราจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสอนเราในบริบทชีวิตจริงในวันนั้นของเรา
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น