ผมพบกับพี่ชาตรี(นามสมมติ)และภรรยาของท่าน
เพิ่งกลับจากการเข้าร่วมฟังการบรรยายพิเศษ
ที่เชิญชวนให้ผู้ฟังมีส่วนในการถวายทรัพย์เพื่อพันธกิจคริสตจักร ประโยคหลักที่พี่ชาตรีได้ฟังคือ
“เราเพียงขอแต่ละท่านลดการดื่มกาแฟสัปดาห์ละแก้ว...แล้ว... ท่านก็มีส่วนในการประกาศพระกิตติคุณ”
ภรรยาพี่ชาตรีพูดเสริมขึ้นมาว่า “แต่พี่สองคนไม่ดื่มกาแฟ
อ้ายผีกาแฟมันเลยไม่สามารถมีอำนาจครอบงำเราทั้งสอง” พี่ชาตรีพูดต่อไปว่า
หัวเรื่องพูดคุยมันทำให้ผู้ฟังเขวจากประเด็นที่ผู้พูดต้องการนำเสนอ
แท้จริงแล้วผู้บรรยายต้องการเชิญชวนผู้ฟังว่า การที่คริสตชนต้องการมีชีวิตที่ร่วมในพันธกิจของพระเจ้าระดับพื้นฐานง่ายๆ
คือ
การที่แต่ละคนจะยอมสละความสะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ของตนในชีวิตประจำวัน แล้วนำเงินที่ได้จากการลดความสะดวกสบายมาถวายเพื่อการทำพันธกิจ
เพื่อเราจะมีความรู้สึกผิดลดน้อยลงกับการที่เรายังดำเนินชีวิตแบบริโภคนิยม หรือ
การมีนิสัยชอบบริโภคนิยม และอาจจะทำให้เรารู้สึกดีกับการมีชีวิตแบบบริโภคนิยมเสียอีก
พวกเราคริสตชนส่วนมากต้องการมีชีวิตที่แตกต่างจากการดำเนินชีวิตของคนทั่วไปภายใต้อิทธิพลกระแสนิยมในสังคม
เราต้องการมีชีวิตที่มีคุณค่า เราต้องการมีชีวิตที่มีส่วนร่วมในพันธกิจคริสตจักร แต่ความต้องการดังกล่าวจริงๆ
กำลังบ่งบอกถึงความต้องการลึกๆ ในเรื่องอะไรกันแน่?
แต่ปัจจุบัน คริสตชนหลายคนก็หนีไม่พ้นจากหลักคิดและแนวทางดำเนินชีวิตตามกระแสนิยมในสังคมปัจจุบัน และมักจะตอบประเด็นข้างต้นว่า คุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่ของเราซึ่งรวมถึงคริสตชนส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเงินทองที่เรามีอยู่ในชีวิต
และการที่เราตอบสนองต่อ “ผู้ตั้งใจดี” ที่จะรับเอาเงินบริจาค หรือ
เงินถวายของเราเพื่อนำไปทำพันธกิจคริสตจักร หรือ ช่วยเหลือคนเล็กน้อย ยากไร้
น่าสงสาร
เมื่อเราบริจาคหรือถวายทรัพย์ไปแล้ว ทำให้เรารู้สึกดีว่า
เราเป็นคริสตชนที่มีชีวิตทำพันธกิจ ดังนั้น
การถวายทรัพย์หรือการบริจาคเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ไปเป็นการทดแทนแก้ไขความรู้สึกว่าตน
“ละเลย หรือ ไม่ได้ทำ” พันธกิจ และที่สำคัญกว่านั้น คนกลุ่มนี้จะทำพันธกิจด้วย
“เงิน” มิใช่ด้วยชีวิตจิตใจ ในชีวิตประจำวันจึงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการดำเนินชีวิตคริสตชนที่มีส่วนร่วมในพันธกิจของคริสตจักรและพระราชกิจของพระคริสต์ในโลกนี้
เพราะตนได้ถวายทรัพย์ส่วนพิเศษสำหรับการทำพันธกิจด้านนั้นๆ แล้ว!
จากผลการวิจัยเรื่องชีวิตและการทำพันธกิจคริสตจักร
ผมได้พบข้อมูลความจริงในหลักคิดหลักปฏิบัติในชีวิตของสมาชิกคริสตจักรในเรื่องนี้เป็นเช่นที่กล่าวข้างต้นอย่างชัดเจน
และขอเรียนตรงไปตรงมาว่า หลักคิดหลักปฏิบัตินี้มิได้แพร่ครอบงำและซึมลึกลงในชีวิตสมาชิกคริสตจักรเมือง คริสตชนที่มีเงินทอง ชุมชนคริสตชนที่ตกในอิทธิพลบริโภคนิยมและหลักคิดแบบเงินนิยมเท่านั้น แต่ขอเรียนว่า
อิทธิพลของหลักคิดและหลักปฏิบัติของคริสต์ชนดังกล่าวแผ่ขยายครอบคลุมเจาะลึกลงในชีวิตและหลักคริสต์ของสมาชิกคริสตจักรของพี่น้องชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงชีวิตคริสตชนที่มีชีวิตประจำวันที่ประกาศถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ทั้งคริสตจักรให้ข้อมูลว่า คริสตจักรของตนทำเรื่องนี้ได้ดี เพราะ
“เรามีการถวายทรัพย์ แล้วจ้างให้ครอบครัวผู้ประกาศไปประกาศที่....” การถวายทรัพย์ทดแทนและเปลี่ยนความรู้สึกผิดที่ตนไม่ได้มีชีวิตที่ประกาศถึงข่าวดีของพระเยซูคริสต์ด้วยการที่ตนมีส่วนร่วมในการถวายทรัพย์เพื่อพันธกิจการประกาศข่าวประเสริฐของคริสตจักร!
ในการสนทนากลุ่มที่คริสตจักรดังกล่าว ผมถามต่อไปว่า
แค่การถวายทรัพย์เพื่อพันธกิจการประกาศพระกิตติคุณฯ เท่านั้นเพียงพอไหม? และการถวายทรัพย์โดยในชีวิตของเรามิได้มีเป็นชีวิตที่ประกาศและสำแดงถึงพระคริสต์เพียงพอไหม?
มีผู้นำคริสตจักรท่านหนึ่งตอบผมด้วยคำถามที่สุภาพ
แต่เป็นคำถามที่ “อุดปากของผม” จนผมไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อไป เขาถามในกลุ่มสนทนาว่า “อาจารย์ครับ เราก็ทำอย่างที่มิชชันนารีที่มาจากประเทศต่างๆ
เขาทำกันครับ สมาชิกในคริสตจักรของเขาถวายทรัพย์ แล้วก็ส่งมิชชันนารีมาประกาศกับพวกเรา...
เราก็ถวายทรัพย์แล้วส่งครอบครัวผู้ประกาศไปประกาศที่ฝั่งพม่า... เราทำเหมือนมิชชันนารี
แค่นี้ไม่พอหรือครับ... เราไม่มีเวลาประกาศ
เราจึงถวายทรัพย์ให้คนมีเวลาและมีความสามารถไปประกาศแทนเรา...” และเขาเน้นว่า
“...พวกเราจึงมีส่วนร่วมในพันธกิจการประกาศพระกิตติคุณ...”
หลายต่อหลายคนในจิตใจลึกๆ ต้องการที่จะเป็นคนดี
และไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า คริสตชนหลายคนคอยมองหาและเลือกเฟ้นข้อเสนอของกิจกรรม/พันธกิจที่ดีๆ
ที่ตนจะสามารถมีส่วนร่วมในการบริจาค/ถวายทรัพย์ อันเป็นการตอบสนองเสียงเรียกร้องลึกๆ
ในชีวิตจิตวิญญาณของเขา เพื่อเป็นการลบล้าง หรือ
ลดหย่อนความรู้สึกผิดรู้สึกพร่องในชีวิตจิตวิญญาณของตน เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกดีๆ
ความรู้สึกว่าตนได้ทำสิ่งที่ถูก เพื่อที่ตนจะสามารถดำเนินชีวิตตามกระแสเงินนิยม บริโภคนิยม
และปัจเจกนิยมต่อไปด้วยความรู้สึกดี หรือ มีความรู้สึกผิดที่ลดน้อยลง ทั้งสิ้นนี้เป็นการทำพันธกิจ หรือ
ทำสิ่งดีเพื่อ “ลดความรู้สึกผิด เพิ่มความรู้สึกดี สร้างคุณค่าในตนเอง”
ในชีวิตที่ผ่านมาผมได้พบหลายต่อหลายคนที่เมื่อต้องการสิ่งของใหม่ๆ
จึงเอาของที่ตนมีอยู่ใช้อยู่ให้คนอื่น
เพื่อตนจะสามารถซื้อของใหม่ด้วยความรู้ที่ดี ที่ตนได้ให้สิ่งที่ยังดีใช้ได้กับคนอื่น และตนเองมีความสุขกับการได้บริโภคสิ่งใหม่ที่
“อยากได้” เช่น แฟชั่นเสื้อผ้ารุ่นใหม่ๆ คอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุด
นอกจากนั้นแล้วหลายบริษัทและหลายกลุ่มก็นำเอาจิตวิทยาประเด็นนี้ไปเป็นประโยชน์สำหรับการตลาดสินค้าของตน
เช่น
“กาแฟทุกแก้วที่คุณดื่มคุณได้บริจาคให้กับบ้านเด็กกำพร้า.... 5 บาท”
“ถ้าคุณซื้อวิตามินชนิดใดชนิดหนึ่ง 1ขวด ท่านได้ช่วยเด็กขาดอาหารในโครงการ... 12 บาท” “ถ้าท่านซื้อกระเป๋าทุกใบ เงินจำนวน 50% จะถวายให้กับการประกาศพระกิตติคุณของคริสตจักรของเรา”...
นอกจากเป็นการฉกฉวยโอกาสเพื่อเพิ่มมูลค่าการตลาดของตนแล้ว
จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตามกลับเป็นการเสริมสร้าง “แรงกระตุ้น” และ “ความรู้สึกชอบธรรม”
ที่ตกลงใต้อิทธิพลครอบงำของบริโภคนิยม เสริมเพิ่มความแรงและเหนียวแน่นติดยึดในบริโภคนิยม
และ สร้างปัจเจกนิยมในจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้นในคริสตชน
ถ้าอย่างนั้น คริสตชนก็ไม่ต้องให้ใช่ไหม? เพราะให้แล้วไม่ถูก
ให้แล้วไม่มีคุณค่า แล้วให้ไปทำไม?
การให้ เป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมในชีวิตคริสตชน
และการให้ทรัพย์สินเงินทองก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมครับ แต่สิ่งที่เป็นอันตรายจากการให้ก็คือ “การให้แบบพระคริสต์” ถูกแทนที่และเสริมสร้างขึ้นให้เป็นการให้แบบ “ชีวิตที่กระตุ้นบริโภคนิยม”
อย่างไม่รู้ตัวนี่สิครับที่เป็นกับดักวางล่ออยู่ข้างหน้าเรา
เปาโลพูดถึงการให้ว่า
การให้มิได้มีคุณค่าความหมายในตัวของมันเอง อาจจะสร้างคุณค่า หรือ
อาจจะเป็นยาพิษทำลายชีวิตก็ได้
การให้ที่เสริมสร้างคุณค่าแบบพระคริสต์คือ การให้ที่หยั่งรากบนความรักเมตตาแบบพระองค์
ในจดหมายฉบับแรก เปาโลได้เขียนถึงคริสตชนในเมืองโครินธ์ว่า...
“...แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ
แต่ไม่มีความรักก็เปล่าประโยชน์”
(1โครินธ์ 13:3 อมตธรรม)
ประเด็นสำคัญในที่นี้คือ ชีวิตคริสตชนที่ทำพันธกิจคริสตจักร
และ สานต่อพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของตน ไม่ใช่วัดกันที่ “เงินถวาย” แต่เขาดูกันที่ชีวิตประจำวันนั้นเป็นเช่นไร ขอเน้นว่าเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตที่ติดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าในแต่ละมิติในแต่ละด้านในชีวิตของเราแต่ละคน
พระวจนะของพระเจ้าได้ช่วยเราให้มีความเข้าใจที่ชัดเจนว่า ชีวิตคริสตชนที่เป็นชีวิตแห่งพันธกิจ
และเป็นการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์นั้น
มีลักษณะหลักที่ชัดเจน ดังนี้
ประการแรก
กระทำบนรากฐานแห่งความรักเมตตา
จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต
สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน
และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (ลูกา 10:27 อมตธรรม)
ประการที่สอง กระทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือ ทำอะไรก็ตาม
จงกระทำทุกสิ่งเพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า (1โครินธ์ 10:31)
ประการที่สาม กระทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะกระทำสิ่งใด
จงทุ่มเททำอย่างสุดใจเหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ (โคโลสี 3:23 อมตธรรม)
การดำเนินชีวิตในประจำวันของเราควรจะสอดคล้องกับความเชื่อศรัทธาของเรา สิ่งที่เราพูดถึงการรับใช้ด้วยปากพึงสำแดงเป็นรูปธรรมในการดำเนินชีวิต
วินัยชีวิต และ นิสัยชีวิตคริสตชนของเราในแต่ละวัน
วันนี้ เราตั้งใจที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้องใช่ไหม?
ให้เริ่มต้นสร้างความแตกต่าง จากการมีชีวิตที่แตกต่างจากกระแสนิยมในสังคม วันนี้ในเราฟังเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่าจดจ้องมองและฟังที่เสียงเชิญชวนของ
“การตลาด” ที่ดังกระหึ่มรอบข้างชีวิตของเรา และเมื่อใดที่เราให้และแบ่งปัน อย่าลืมที่จะตระหนักชัดว่าเรารับใช้ เราให้เพราะความรักเมตตาของพระคริสต์ เราต้องการกระทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
และเราต้องการกระทำทุ่มเทเพื่อพระองค์เท่านั้น
ประเด็นเพื่อการใคร่ครวญ
1. การให้ตามกระแสนิยมในสังคมปัจจุบันหรือการให้แบบบริโภคนิยม กับ
การให้แบบพระคริสต์มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
2.
ปัจจุบันนี้ การให้แบบใดที่มีอิทธิพลเหนือชีวิตทุกวันนี้ของเรา? ระหว่างอิทธิพลการให้แบบกระแสสังคม หรือ
แบบบริโภคนิยม กับ
อิทธิพลการให้แบบพระเยซูคริสต์
ขอช่วยยกตัวอย่างเพื่อความชัดเจน
3.
ถ้าเราต้องการมีชีวิตที่อยู่ภายใต้อิทธิพลการให้แบบพระคริสต์ เราจะสามารถเริ่มต้นได้อย่างไร? ขอกรุณายกตัวอย่างในชีวิตจริงประกอบ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น