03 ตุลาคม 2555

ความรู้เท่านั้นไม่พอหรอก


...ทุกคนก็มีความรู้   ความรู้นั้นทำให้ลำพอง  แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น 
(1 โครินธ์ 8:1 ฉบับมาตรฐาน)

คริสตชนแต่ละคนต่างจะต้องจาริกไปบนเส้นทางชีวิต  แล้วก้าวหน้าสู่หลักชัย

ใครก็ตาม  เมื่อตนได้รับการทรงช่วยกู้จากพระคริสต์ให้มีชีวิตที่หลุดรอดออกมาจากอำนาจแห่งความบาปผิด   และมีชีวิตที่อยู่ภายใต้การครอบครองของพระคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอดแล้ว   ชีวิตแห่งความเชื่อศรัทธาของคนๆ นั้นเริ่มต้นจาริกไปบนเส้นทางชีวิตตามพระประสงค์ของพระคริสต์  หรือการใช้ชีวิตตามคุณภาพชีวิตใน “แผ่นดินของพระเจ้า”    เพื่อชีวิตคริสตชนของเราจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้น

แต่ก็มีคำถามว่า  แล้วการจาริกเพื่อเติบโตเข้มแข็งขึ้นนั้น  เป็นการเติบโตแบบไหนกันแน่?

คริสตชนส่วนมากในปัจจุบันนี้จะให้ความสนใจและสำคัญต่อการเจริญเติบโตขึ้นในความรู้เกี่ยวกับด้านจิตวิญญาณ  ความรู้เรื่องพระเจ้า   ความรู้เรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าเป็น พระเจ้าทำ  พระเจ้าต้องการ  มีความรู้มากมายที่คริสตชนในปัจจุบันต่างแสวงหา

แต่เราท่านต่างประสบพบเจอแล้วว่า  ความรู้เท่านั้นมิได้เสริมสร้างให้ชีวิตคริสตชนเติบโต เข้มแข็งขึ้นในพระคริสต์ได้เลย  เช่น  เราพบมากมายในอเมริกาและยุโรปและในอาเซีย และ ในประเทศไทยของเรา   ที่นักเทศน์ชื่อดัง  เทศน์เก่ง สอนเก่ง  มีความรู้พระคัมภีร์มาก   เวลาเทศน์มีคนนิยมชมชอบมาก   แต่เราก็พบความจริงว่า   ชีวิตของอาจารย์  ศาสนาจารย์  ดร.  เหล่านั้นที่มีความรู้ท่วมหัว   แต่ชีวิตกลับมิได้เติบโตในพระเยซูคริสต์   กลับเสื่อมทรุดลงจนทำลายชีวิตของคริสตจักร และ ชีวิตตนเอง

พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเตือนเราว่า   ความรู้นอกจากมิได้ช่วยให้ชีวิตคริสตชนที่จาริกไปนั้นเติบโต เข้มแข็งในพระคริสต์แล้ว   แต่กลับจะเสริมสร้างให้คนนั้น ลำพอง หยิ่งผยอง  ยโส  โอหัง  ยกตนข่มท่าน   พูดทับถมคนอื่น  มุ่งทำลายคนอื่น   แต่ในที่สุดสิ่งเหล่านั้นกลับทำลายชุมชนคริสตจักร และ ชีวิตของคนนั้นด้วย

ผมมีอายุแก่เฒ่ามาจนถึงปูนนี้ผมพบว่า  คนที่ทำตนว่ามีความรู้เรื่องพระเจ้ามาก  มักทำตัวเป็นพระเจ้าทั้งที่ตั้งใจและลืมตน   คนเช่นนี้อาจจะมีความรู้ภาษาฮีบรู ภาษากรีกลึกซึ้งมากมายกว่าคนทั้งหลาย   แล้วสามารถที่จะใช้ความรู้ที่โดดเด่นดังกล่าวประกอบอาชีพทำมาหากิน   แต่ที่น่าสงสารคนเหล่านี้คือ  เขามีความรู้ท่วมหัว   แต่เจ้าตัวกลับไม่มีความรักเมตตา   ความรู้เหล่านั้นกลับปิดบังสายตาการมองเห็นในชีวิตของเขา   เขากลายเป็นชีวิตที่บอดมืดในพระคริสต์   คนเหล่านี้มักผยองในใจว่า “ฉันรู้ทุกเรื่องที่จะต้องรู้   แล้วใครกล้าจะมาสอนความรู้เหล่านั้นให้แก่ฉัน”    และจะเป็นสิ่งที่น่าสมเพชปานใด   เมื่อเขาเผชิญหน้ากับพระคริสต์  พระองค์สำแดงให้เขาเห็นถึงสิ่งที่เขาไม่มี   แต่คนเช่นนี้ยโสเกินกว่าที่จะยอมรับความจริงจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ในที่นี้ผมขอย้ำว่า ความรู้เป็นสิ่งที่ดี และ จำเป็นสำหรับชีวิตคริสตชน   แต่ความรู้ที่แยกตัวออกจากความรักเมตตาแบบพระคริสต์เป็นพลังอำนาจที่อันตรายอย่างยิ่ง   ดังนั้น  พระคัมภีร์จึงเตือนคริสตชนว่าอย่ามีเพียงความรู้ที่ปราศจากความรักเมตตาของพระเจ้า    แต่ความรู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้สาวกของพระองค์ทุกคนมีคือความรู้ที่เปี่ยมด้วยความรักเมตตาแบบพระคริสต์   ที่จะเสริมสร้างกันและกันขึ้นในชุมชนคริสตจักร  ในชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

อย่าเข้าใจผิด หรือ หลอกตนเองว่า  การคิดว่าตนมีความรู้ด้านจิตวิญญาณแล้วก็บอกว่า “รู้แล้ว” หรือ “เพียงพอแล้ว”   แต่ให้เรามีใจที่ถ่อมลงและทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะสร้างชีวิตของเราที่เปี่ยมด้วย ความรักเมตตา  และความรู้ถึง พระคุณ และ พระประสงค์ ของพระองค์
 
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น