...ทุกคนก็มีความรู้
ความรู้นั้นทำให้ลำพอง
แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น
(1 โครินธ์ 8:1 ฉบับมาตรฐาน)
คริสตชนแต่ละคนต่างจะต้องจาริกไปบนเส้นทางชีวิต แล้วก้าวหน้าสู่หลักชัย
ใครก็ตาม
เมื่อตนได้รับการทรงช่วยกู้จากพระคริสต์ให้มีชีวิตที่หลุดรอดออกมาจากอำนาจแห่งความบาปผิด
และมีชีวิตที่อยู่ภายใต้การครอบครองของพระคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ชีวิตแห่งความเชื่อศรัทธาของคนๆ นั้นเริ่มต้นจาริกไปบนเส้นทางชีวิตตามพระประสงค์ของพระคริสต์ หรือการใช้ชีวิตตามคุณภาพชีวิตใน
“แผ่นดินของพระเจ้า” เพื่อชีวิตคริสตชนของเราจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้น
แต่ก็มีคำถามว่า แล้วการจาริกเพื่อเติบโตเข้มแข็งขึ้นนั้น เป็นการเติบโตแบบไหนกันแน่?
คริสตชนส่วนมากในปัจจุบันนี้จะให้ความสนใจและสำคัญต่อการเจริญเติบโตขึ้นในความรู้เกี่ยวกับด้านจิตวิญญาณ ความรู้เรื่องพระเจ้า ความรู้เรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าเป็น
พระเจ้าทำ พระเจ้าต้องการ มีความรู้มากมายที่คริสตชนในปัจจุบันต่างแสวงหา
แต่เราท่านต่างประสบพบเจอแล้วว่า ความรู้เท่านั้นมิได้เสริมสร้างให้ชีวิตคริสตชนเติบโต
เข้มแข็งขึ้นในพระคริสต์ได้เลย เช่น เราพบมากมายในอเมริกาและยุโรปและในอาเซีย และ
ในประเทศไทยของเรา
ที่นักเทศน์ชื่อดัง เทศน์เก่ง สอนเก่ง
มีความรู้พระคัมภีร์มาก เวลาเทศน์มีคนนิยมชมชอบมาก แต่เราก็พบความจริงว่า ชีวิตของอาจารย์ ศาสนาจารย์
ดร. เหล่านั้นที่มีความรู้ท่วมหัว แต่ชีวิตกลับมิได้เติบโตในพระเยซูคริสต์ กลับเสื่อมทรุดลงจนทำลายชีวิตของคริสตจักร และ
ชีวิตตนเอง
พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเตือนเราว่า ความรู้นอกจากมิได้ช่วยให้ชีวิตคริสตชนที่จาริกไปนั้นเติบโต
เข้มแข็งในพระคริสต์แล้ว
แต่กลับจะเสริมสร้างให้คนนั้น ลำพอง หยิ่งผยอง ยโส
โอหัง ยกตนข่มท่าน พูดทับถมคนอื่น
มุ่งทำลายคนอื่น
แต่ในที่สุดสิ่งเหล่านั้นกลับทำลายชุมชนคริสตจักร และ ชีวิตของคนนั้นด้วย
ผมมีอายุแก่เฒ่ามาจนถึงปูนนี้ผมพบว่า คนที่ทำตนว่ามีความรู้เรื่องพระเจ้ามาก มักทำตัวเป็นพระเจ้าทั้งที่ตั้งใจและลืมตน คนเช่นนี้อาจจะมีความรู้ภาษาฮีบรู
ภาษากรีกลึกซึ้งมากมายกว่าคนทั้งหลาย
แล้วสามารถที่จะใช้ความรู้ที่โดดเด่นดังกล่าวประกอบอาชีพทำมาหากิน แต่ที่น่าสงสารคนเหล่านี้คือ เขามีความรู้ท่วมหัว แต่เจ้าตัวกลับไม่มีความรักเมตตา
ความรู้เหล่านั้นกลับปิดบังสายตาการมองเห็นในชีวิตของเขา เขากลายเป็นชีวิตที่บอดมืดในพระคริสต์ คนเหล่านี้มักผยองในใจว่า “ฉันรู้ทุกเรื่องที่จะต้องรู้
แล้วใครกล้าจะมาสอนความรู้เหล่านั้นให้แก่ฉัน” และจะเป็นสิ่งที่น่าสมเพชปานใด เมื่อเขาเผชิญหน้ากับพระคริสต์ พระองค์สำแดงให้เขาเห็นถึงสิ่งที่เขาไม่มี
แต่คนเช่นนี้ยโสเกินกว่าที่จะยอมรับความจริงจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในที่นี้ผมขอย้ำว่า ความรู้เป็นสิ่งที่ดี และ
จำเป็นสำหรับชีวิตคริสตชน
แต่ความรู้ที่แยกตัวออกจากความรักเมตตาแบบพระคริสต์เป็นพลังอำนาจที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้น
พระคัมภีร์จึงเตือนคริสตชนว่าอย่ามีเพียงความรู้ที่ปราศจากความรักเมตตาของพระเจ้า
แต่ความรู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้สาวกของพระองค์ทุกคนมีคือความรู้ที่เปี่ยมด้วยความรักเมตตาแบบพระคริสต์ ที่จะเสริมสร้างกันและกันขึ้นในชุมชนคริสตจักร ในชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า
อย่าเข้าใจผิด หรือ หลอกตนเองว่า การคิดว่าตนมีความรู้ด้านจิตวิญญาณแล้วก็บอกว่า
“รู้แล้ว” หรือ “เพียงพอแล้ว”
แต่ให้เรามีใจที่ถ่อมลงและทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะสร้างชีวิตของเราที่เปี่ยมด้วย
ความรักเมตตา และความรู้ถึง พระคุณ
และ พระประสงค์ ของพระองค์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น