อ่านพระธรรมปฐมกาล 25:21-34
แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อฟัง หรือ เงี่ยหูฟัง
แต่กลับเดินตามแผนการของตนเอง
และในความดื้อกระด้างตามจิตใจชั่วของเขา
(เขา)เดินถอยหลัง
แทนที่จะเดินไปข้างหน้า
(เยเรมีย์ 7:24 ฉบับมาตรฐาน)
เมื่ออ่านเรื่องของยาโคบกับเอซาวครั้งใด ผมเกิดความรู้สึกเสมอว่า ยาโคบใช้โอกาสในการสร้างการได้เปรียบหรือเอาเปรียบเอซาวซึ่งเป็นพี่ชายในสายเลือดเดียวกัน แต่ก็ลงท้ายด้วยการที่เขาได้รับสิ่งดีๆ จากพระเจ้า นี่เป็นเรื่องที่เป็นธรรมแล้วหรือ? ผมคิดว่าการใช้กลโกงแบบนี้ชีวิตไม่น่าจะรุ่งเรืองมิใช่หรือ?
อ่านเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็ทำให้ความคิดของผมอยู่ไม่เป็นสุขครับ?
เมื่ออ่านเรื่องนี้เมื่อใดก็เกิดคำถามในใจว่า
ทำไมพระเจ้าถึงอวยพระพรแก่จอมโกง โป้ปดมดเท็จเช่นยาโคบ?
ครั้งนี้เลยตัดสินใจค้นหาเจาะลึกลงในพระคัมภีร์... ในที่สุดผมได้คำตอบบ้างต่อคำถามที่ผุดขึ้นมาปล้ำสู้ในจิตสำนึกของผม
เรื่องราวในพระคัมภีร์ตอนนี้ ยาโคบใช้กลโกงเพื่อฮุบเอาสิทธิบุตรหัวปี(ได้รับทรัพย์สมบัติจากพ่อในส่วนของบุตรหัวปี ในขณะที่เขาไม่ได้เป็นบุตรหัวปี) อีกทั้งได้รับพรในฐานะบุตรหัวปีอีกด้วย เมื่ออ่านในพระคัมภีร์ก็พบว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ก่อนแล้วว่ายาโคบจะปกครองเหนือเอซาว
(ปฐมกาล 25:23 “พี่จะรับใช้น้อง” ฉบับมาตรฐาน) และในเวลาเดียวกันพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า
ยาโคบใช้โอกาสที่เอซาวกำลังหิวตาลายบีบรัดให้พี่ชายขายสิทธิบุตรหัวปีแลกกับถั่วแดงและขนมปังอันโอชะในเวลานั้น
(25:30-33)
ยิ่งกว่านั้น
พระคัมภีร์บันทึกชัดไว้ว่า ด้วยการตัดสินใจเช่นนั้น “เอซาวดูหมิ่นสิทธิบุตรหัวปีของเขา” (ข้อ 34) กล่าวคือเอซาวมองข้าม หรือ
ดูถูกคุณค่าและความสำคัญพระพรสำหรับบุตรหัวปีจากพระเจ้า
แต่เมื่อเราขุดค้นเจาะลึกลงไปในพระคัมภีร์เราพบอีกว่า ถึงแม้จะเป็นพระสัญญาของพระเจ้า เรากลับพบว่าทั้งเรเบคาห์แม่ของยาโคบและยาโคบมิได้เชื่อและไว้วางใจในพระสัญญาของพระเจ้า ที่บอกว่า “พี่จะรับใช้น้อง”
และในเวลาเดียวกันยาโคบก็ไม่ไว้ใจเอซาวที่สาบานยกสิทธิบุตรหัวปีให้ แต่ทั้งสองคบคิดกันวางแผนโดยเรเบคาห์รับลงมือจัดการให้
เมื่อรู้ว่าอิสอัคแก่มากใกล้ตายและเรียกเอซาวเข้าไปพบเพื่อเตรียมจะอวยพระพรแก่เขาในฐานะบุตรหัวปีก่อนตาย
เรเบคาห์วางแผนซ้อนกลโกงให้ยาโคบปลอมตัวเป็นเอซาวเพื่อเข้าไปรับพรบุตรหัวปีจากพ่อก่อนที่เอซาวพี่ชายจะกลับจากล่าสัตว์เพื่อทำอาหารให้พ่อ
(ปฐมกาล 27:1-40)
ทั้งแม่ลูกวางแผนโกงในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาที่จะให้ก่อนหน้านี้แล้ว
แต่เขาทั้งสองกลับเลือกลงมือจัดการด้วยแผนกลโกง
เพื่อจะมั่นใจว่าเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงสัญญาจะเกิดขึ้นจริงไม่คาดเคลื่อน แทนการไว้วางใจในพระเจ้าที่จะทรงกระทำตามพระสัญญาของพระองค์ ตามแนวทาง และเวลาของพระองค์!
ผมเห็นคนเราตัดสินใจลงมือทำแทนพระเจ้า
ในพระสัญญาของพระองค์ อย่างเรเบคาห์และยาโคบได้ทำ
และกระบวนการเช่นนี้ก็เกิดขึ้นในปัจจุบันและในวิธีการของเราบางครั้งมิใช่หรือ? เราพบภาพเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ เช่น พระเจ้าทรงเปิดเผยพระสัญญาว่า
จะประทานพงศ์พันธุ์เป็นอันมากแก่อับราฮามและนางซาราห์ แต่ทั้งสองอดรนทนไม่ไหว หาทางที่จะช่วยพระเจ้าให้พระสัญญาสำเร็จเป็นจริง นางซาราห์จึงจัดการส่งสาวใช้นางฮาการ์
ให้หลับนอนกับอับราฮาม
สาวใช้ของซาราห์ให้บุตรชายสมใจ (ปฐมกาล 16:-6)
แต่อะไรเกิดขึ้นกับนางฮาการ์และอิชมาเอลผู้เป็นบุตร
และคงไม่ต้องสาธยายถึงผลที่เกิดขึ้นระหว่างเผ่าพันธุ์ของอิชมาเอล และ
เผ่าพันธุ์ของอิสราเอล
พระเจ้าทรงสัญญาว่า พระองค์จะเป็นผู้ดูแล และ
ประทานสิ่งจำเป็นแก่เราในชีวิต
แต่บ่อยครั้งพระสัญญามาไม่ทันใจหวังของเรา จนเราอดรนทนไม่ได้ เราวิตกกังวล ไม่ว่าทั้งด้านอาชีพการงาน รายได้
ความสัมพันธ์ และผลงานที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนปัญหา
วิกฤติที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
เราไม่มั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงจัดการสิ่งเหล่านั้นในชีวิตของเรา ในที่สุดเราตัดสินใจจัดการด้วยตัวเรา
วิธีการของเราเอง แล้วหลอกตนเองว่า
พระเจ้าคงให้พระสัญญาสำเร็จผ่านวิธีการจัดการของตนเอง แต่ถ้าพูดตรงไปตรงมา คนๆ นั้นกำลังไม่ไว้ใจพระเจ้าว่าจะทำสิ่งที่ตนคาดหวังให้สำเร็จทันใจตนเอง แทนการเฝ้ามองว่า
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรในเหตุการณ์นี้
และพระองค์จะทรงกระทำอะไร อย่างไรในชีวิตของตน
อีกประการหนึ่ง
คริสตชนหลายต่อหลายคนมักจะอ้างว่า
เราต้องช่วยตนเองให้เต็มที่ก่อน
แล้วพระเจ้าถึงจะทรงช่วยเรา
กรุณาตรวจสอบดูว่าพระคัมภีร์มีคำสอนแบบนี้หรือไม่? ผมว่าไม่มีนะ!
พระคัมภีร์ได้บันทึกชัดเจนว่า
การที่ยาโคบพร้อมแม่ใช้กลโกงหลอกล่อเอาพระพรบุตรหัวปีจากผู้เป็นพ่อ ความเจ็บปวดที่ยาโคบต้องรับในชีวิตนั้นแสนสาหัส
ตั้งแต่วันที่เขาออกจากบ้านหนีความโกรธของพี่ชาย
ยาโคบไม่มีโอกาสกลับมาพบหน้าเรเบคาห์ผู้เป็นแม่อีกเลยแม้เมื่อแม่เสียชีวิตก็ตาม
ชีวิตต้องหลบลี้หนีพเนจรไปอาศัยในบ้านของลุง
ครอบครัวของอิสอัคต้องแตกหักฉีกขาดในวัยแก่เพราะกลโกงของแม่ลูกคู่นี้ และเมื่อตนจะแต่งงานกับนางราเชลก็ถูกลุงใช้กลโกงให้แต่งงานกับนางเลอาห์ผู้เป็นพี่สาวของราเชลก่อน
(ปฐมกาล 29:1-30)
แต่ก็น่าสังเกตว่า
แม้ยาโคบและเรเบคาห์ใช้กลโกงทำให้กระบวนการสำเร็จตามพระสัญญาถึงเบี่ยงเบนออกไป มิได้เป็นไปตามแผนการ วิธีการ
และเวลาของพระองค์ แต่พระสัญญาของพระเจ้ายังคงดำเนินต่อไป
เพราะกลโกงของมนุษย์ไม่สามารถที่จะทำลายพระประสงค์และพระสัญญาของพระองค์ได้ ท่ามกลางความเสียหาย เจ็บปวด
บิดเบือนจากผลการที่เรเบคาห์และยาโคบไม่ได้ไว้วางใจในพระสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปท่ามกลางความเสียหายที่เกิดขึ้น
ซึ่งมิใช่เป็นแผนการของพระเจ้าแต่แรกเริ่ม
ลองจินตนาการดูเถิดว่า
ถ้าทั้งยาโคบและเรเบคาห์ยอมไว้วางใจในพระสัญญา รอคอยเวลาที่เหมาะสมจากพระเจ้า และให้พระสัญญาเกิดขึ้นเป็นจริงตามวิธีการของพระเจ้า เหตุการณ์ต่างๆ จะแตกต่างจากที่เป็นอยู่นี้อีกมากมายแค่ไหน?
ความจริงจากพระคัมภีร์ได้เปิดตาเปิดใจเปิดมิติความเข้าใจของผมใหม่ในวันนี้ ผมต้องระมัดระวังทุกวันว่า
จะไม่พยายามบีบรัดบังคับการทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของผมตามการตัดสินใจหรือวิธีการที่ผมคิดว่าต้องทำ
หรือ ใช้กลโกงเพื่อให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จเป็นจริงในชีวิตผม
ท่ามกลางการที่เราจะตัดสินใจเลือกงานที่จะทำ การตัดสินใจเลือกคู่ชีวิตของเรา
การตัดสินใจที่จะบริหารจัดการกับข่าวร้ายที่มาถึงเรา หรือการจัดการกับวิกฤติที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราเชื่อและไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์ทรงสนใจ
เอาใจใส่เรา
และมีแผนการและพระประสงค์ในชีวิตของเราหรือไม่?
ถ้าเราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ ขอให้เราดำเนินตามข้ามขั้นตอนอย่างเนหะมีย์
(บทใคร่ครวญก่อนหน้านี้) “อดอาหารและอธิษฐาน” งดเลิกสิ่งต่างๆ ที่เราทำในชีวิตที่เกิดจากการมุ่งมองที่ตนเอง
หรือ ปัญหาที่เกิดขึ้น
แต่ให้มุ่งมองไปที่พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอธิษฐานกับพระองค์ คือการเปิดพื้นที่ชีวิตทั้งหมดในชีวิตสำหรับพระเจ้า
น้อมรับการทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา
และผ่านชีวิตของเราตามพระประสงค์
มั่นคงและมั่นใจในพระสัญญา และ ไว้วางใจในพระประสงค์ แล้วให้เรารอคอยเวลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับชีวิตของเราตามแผนการของพระองค์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น