27 ตุลาคม 2555

จุดหักเหในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ


อ่านพระธรรมสดุดี บทที่ 106

พระธรรมสดุดีบทที่ 106 ได้บันทึกถึงความบาปผิดคิดชั่ว  จนหลงเจิ่นจากพระเจ้าของอิสราเอลประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ตั้งแต่ในอียิปต์  ในถิ่นทุรกันดาร   บทสดุดีเชิงประวัติศาสตร์บทนี้ชี้ชัดว่า  ที่พระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลเป็นประชากรของพระองค์นั้น  อิสราเอลมิใช่ชนชาติที่ดีดักอะไร    แต่กลับมีชีวิตที่ล้มเหลวในการที่จะติดตามกระทำตามพระสัญญาของพระเจ้า   พวกเขาทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า   ออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้า  ดูแล้วตลอดประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเป็นชนชาติมักกระทำผิด  มักกบฏต่อพระเจ้า   พระคัมภีร์ใช้ภาพว่า  พวกอิสราเอลกระทำการเช่นนี้เป็นเหมือนการยั่วยุความโกรธของพระเจ้า

แต่ในสดุดีบทเดียวกันนี้เอง  พอไปถึงข้อ 44-45 เกิด “จุดหักเห”  สดุดีตอนนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  กล่าวคือ เปลี่ยนจากการมุ่งมองเจาะจงความสำคัญลงที่การกระทำความผิดบาปของอิสราเอล  ไปสู่การมุ่งมองและให้ความสำคัญของพระคุณเมตตาและความรักมั่นคงของพระเจ้า  ดังนี้

“แต่ถึงกระนั้น  พระองค์ก็ยังทรงเหลียวแลความทุกข์ลำเค็ญของพวกเขา  
เมื่อทรงได้ยินเสียงร่ำร้องของพวกเขา  
เพราะเห็นแก่พวกเขา   พระองค์ทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์  
และพระทัยอ่อนลงเพราะความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์”
(อมตธรรม)

เพราะความรักมั่นคงและพระคุณของพระเจ้านี้เองที่ก่อเกิด “จุดหักเหของชีวิต” ของอิสราเอล  มีผลทำให้น้ำเสียงในพระธรรมสดุดีบทนี้เปลี่ยนไปทันที   จากเสียงแห่งการคร่ำครวญโศกเศร้าและสิ้นหวัง  กลับกลายเป็นเสียงเฉลิมฉลองและการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี

ประเด็นสำคัญในที่นี้ก็คือว่า  
ประการแรก     พระวจนะของพระเจ้ามิได้มองข้ามความคิดและการกระทำที่ชั่วร้ายบาปผิดของอิสราเอล   แต่พระวจนะของพระเจ้าสำแดงชัดเจนว่า  อิสราเอลกระทำความบาปผิดในชีวิตมากมายมหันต์  จนจมปรักในอำนาจแห่งความชั่วร้าย  แต่นั่นมิใช่จุดจบชีวิตของอิสราเอล (มิใช่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”)
ประการที่สอง  เมื่ออิสราเอลกระทำผิดต่อพระสัญญาของพระเจ้า  สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการได้รับการลงโทษที่เหมาะสมตามการกระทำผิดของอิสราเอล   แต่ท่ามกลางหายนะแห่งชีวิตอิสราเอลนั้นเอง   พระเจ้าทรงสำแดงความรักอันมั่นคงของพระองค์ต่ออิสราเอล   พระองค์ทรงมีพระเมตตาคุณต่ออิสราเอล  นี่คือจุดหักเหครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมนุษยชาติ   ที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตที่ตกลงในหายนะแห่งความตาย ให้กลับมีโอกาสใหม่ด้วยพระเมตตาคุณอันอุดมของพระองค์   ดังนั้น คริสตชนจึงมิได้มีหลักเชื่อที่การ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”   แต่หลักเชื่อของคริสตชนอยู่ที่  “เรารอดพ้นจากอำนาจชั่วร้าย  และมีชีวิตใหม่ด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”   และนี่คือรากฐานแห่งความหวังของอิสราเอล และ มนุษยชาติในปัจจุบัน
ประการที่สาม   จุดเปลี่ยนแปลงหักเหนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะเหตุ มนุษย์กลับมาทำความดีถูกต้อง  แต่เป็นเพราะ “พระคุณของพระเจ้า”   ที่ทรงเปิดโอกาสใหม่สำหรับคนผิดบาป   ด้วยพระคุณของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มีชีวิตใหม่  และพระเมตตาคุณของพระองค์หนุนเสริม  บ่มเพาะ  ชีวิตใหม่ให้มีชีวิตตามพระประสงค์ของพระคริสต์    จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของคริสตชนจึงมิได้ใช้หลัก  “เหตุและปัจจัย” แต่คริสตชนพึ่งใน “พระคุณของพระเจ้า” 
ประการที่สี่       คริสตชนเชื่อและตระหนักชัดว่า   เราไม่สามารถพึ่งพิงในกำลังความสามารถของตนเองที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้   และไม่สามารถที่จะดึงตนเองให้ขึ้นจากโคลนตมแห่งอำนาจบาปชั่วได้   เราต้องพึ่งพระคุณพระเจ้า  พระกำลังจากพระองค์  และพระปัญญาจากเบื้องบน  
แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราใหม่   เพื่อเราจะมีกำลังในชีวิตที่จะดำเนินไปแต่ละวันตามพระประสงค์พระเจ้า (มิใช่ตามใจปรารถนาของตนเอง)   และ ใช้โอกาสในชีวิตใหม่ที่จะรักเมตตาต่อคนรอบข้างเยี่ยงพระคริสต์   และเราเชื่อว่านี่เป็นภารกิจหลักที่พระคริสต์ทรงเรียกและมอบหมายให้เรากระทำทุกครั้งเมื่อมีโอกาส   เพื่อเปิดโอกาสใหม่ให้ชีวิตของผู้คนได้สัมผัสกับ "พระคุณของพระเจ้า"    
ประการที่ห้า     ดังนั้น   วันนี้  ในการดำเนินชีวิตประจำวัน  เราจึงมิได้ใช้หลัก “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”  และในเวลาเดียวกันเราไม่ได้วางใจในกำลังของตนเอง  เราไม่สามารถ “พึ่งตนเอง”   ในทุกสถานการณ์ชีวิตในวันนี้เราขับเคลื่อนชีวิตของเราบนรากฐานและพลังแห่ง “พระคุณของพระเจ้า”   เราต้องพึ่งพระคุณของพระเจ้าครับ!

เราพึงตระหนักชัดว่า   ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่กระทำผิดบาปตกอยู่ใต้อำนาจของความชั่วร้าย  จะเป็นอิสราเอล หรือ เราในปัจจุบัน  จุดสุดท้ายมิได้อยู่ที่การรับโทษ ให้ตกอยู่ท่ามกลางหายนะตลอดไป   แต่สำหรับคริสตชนแล้ว  จุดสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่คือ พระคุณของพระเจ้า  โอกาสใหม่  การกลับใจใหม่  ที่จะทำให้มนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่  เพราะพระคุณของพระเจ้า   จุดเปลี่ยนนี้จะสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนระดับครอบครัว  สังคม  ประเทศชาติและสังคมโลกนี้ด้วย

ดังนั้น   การที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาปผิด และ การที่เราให้อภัยกันและกันจึงเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องใหญ่ของคริสตชน    สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะ “พระคุณของพระเจ้า” ที่เปิดโอกาสแห่งชีวิต  ทั้งการทรงฉุดให้เราหลุดรอดขึ้นจากโคลนตมแห่งอำนาจของความชั่วร้ายบาปผิด   การได้รับโอกาสเริ่มต้นใหม่ในชีวิต   รับการเสริมสร้างบ่มเพาะชีวิตที่มีความรักเมตตาที่มาจากพระคุณของพระเจ้า   โอกาสที่จะมีชีวิตที่จะรับใช้  ช่วยเหลือผู้คนเพียงเพื่อให้คนรอบข้างได้สัมผัสและรับพระคุณพระเจ้าในชีวิตของเขา   ทั้งสิ้นนี้  เราเป็นเพียงผู้สานต่อพระราชกิจที่ทรงพระคุณของพระเจ้า   ที่จะทรงเปลี่ยนแปลงและสร้างสังคม และ โลกใบนี้ขึ้นใหม่ในแต่ละวัน

ท่านเชื่อในการเปลี่ยนแปลงจาก “จุดหักเหครั้งใหญ่” ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินี้หรือไม่?

ท่านเชื่อในพระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้าหรือไม่?

ท่านพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อสานต่อพระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้าแล้วหรือยัง?

นี่คือเหตุผลหลักที่เรามาเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์คือ  เราพบความจริงในตนเองว่า  เราไม่สามารถช่วยตัวเราเองให้หลุดรอดออกจากกับดักแห่งความบาปชั่วได้   เราจึงมาพึ่งพระคุณของพระเจ้าที่ทรงกอบกู้ช่วยเราให้รอด   แล้วยังบ่มเพาะเสริมสร้างเราให้ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้มีชีวิตเหมือนพระคริสต์มากขึ้นทุกวัน   อีกทั้งยังทรงไว้วางใจเราให้รับใช้สานต่อพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้   ทั้งทรงประทานองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นกำลังของเรา  และกระทำพระราชกิจของพระเจ้าเคียงข้างเราไปในแต่ละวัน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น