19 ตุลาคม 2555

ความประทับใจที่ผิดๆ


อ่านมาระโก 13:1-2

ขณะที่พระเยซูเสด็จออกจากพระวิหาร   สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า 
“ดูซิ พระอาจารย์!  หินก้อนมหึมาทั้งนั้น!   ช่างเป็นอาคารที่งดงามตระการตายิ่งนัก
(มาระโก 13:1 อมตธรรม)

เฮโรดมหาราชได้สร้างพระวิหาร  ด้วยการปรับปรุงซ่อมแซมพระวิหารที่เคยได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยของเอสรา(เอสรา 6:14-15)  ที่ผ่านพ้นมากว่า 500 ปีแล้ว  เพื่อเอาใจพวกยิวเพื่อให้สนับสนุนตนและยอมอยู่ภายใต้การปกครองของตน    โดยได้ทำการซ่อมแซมและก่อสร้างประมาณในปี 20 ก.ค.ศ.  ก่อนการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ประมาณ 15 ปี    ใช้เวลาทั้งหมดในการก่อสร้างถึง 45 ปี   ซึ่งเป็นยุคที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าในแผ่นดินนี้พอดี   อาคารนี้เสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 64 (หลังจากสมัยพระเยซูอีก 30 ปี)  รากฐานของพระมหาวิหารดังกล่าวใช้หินน้ำหนักประมาณถึง 600 ตัน รากฐานดังกล่าวยังพบได้ในกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน   อาคารพระวิหารทำจากหินอ่อนสีขาวฝีมือประณีต และกำแพงอาคารด้านตะวันออกหุ้มด้วยทองคำ ในยามเช้าเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงทำให้เกิดแสงประกายสะท้อนแวววาวระยิบระยับตา

ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้คนได้เห็นพระวิหารแห่งนี้จึงทึ่งและตื่นตาตื่นใจชื่นชมในความสวยงามของพระวิหารแห่งนี้   และไม่เว้นแม้แต่สาวกของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน   ถึงกับชวนพระเยซูให้หลงใหลในความงดงามยิ่งใหญ่ของพระมหาวิหารดังกล่าว   แต่พระเยซูคริสต์กลับมองและมีความประทับใจต่อตึกอาคารดังกล่าวที่แตกต่างจากสาวกและคนอื่น   พระองค์กล่าวตอบว่า

 “พวกท่านเห็นอาคารใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ใช่ไหม  
ศิลาที่นี่จะไม่เหลือซ้อนทับกันสักก้อนเดียว  ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมาหมด
(มาระโก 13:2 อมตธรรม) 
(หรือฉบับมาตรฐานแปลว่า “แต่จะถูกทำลายลงหมด” )

แทนที่พระเยซูคริสต์จะร่วมในความประทับใจในความโอ่อ่าตระการตา ในความสง่างามของอาคารพระวิหารร่วมกับเหล่าสาวก   แต่พระองค์มองลึกลงไปถึงเบื้องหลังและเบื้องหน้าของอาคารมหึมาแห่งนี้   พระองค์ทรงมองว่า เบื้องหลังของอาคารนี้สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองอำนาจทางการเมืองการปกครองของเฮโรด   เบื้องหน้าอาคารที่งดงามยิ่งใหญ่นี้ก็จะถูกทำลายลงอย่างราบคาบเพราะการเมืองและอำนาจด้วยเช่นกัน   และจากประวัติศาสตร์เราพบว่า  อาคารวิหารแห่งนี้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบในปี ค.ศ. 70   ด้วยกองกำลังของโรมัน

คำตรัสของพระเยซูคริสต์ได้เตือนสติเหล่าสาวกว่า   อย่าหลงใหลประทับใจกับความโอ่อ่าตระการตา  ใหญ่ยิ่งงดงามของอาคาร  และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว   แต่ในที่สุด  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็มีเวลาที่เหี่ยวเฉา  ล่วงลับ  จบสิ้น หักพัง  และสูญเสียไป   ไม่ว่าสิ่งนั้น คนนั้นจะน่าพิศวงหลงใหล  หรือ มีเสน่ห์น่าเย้ายวนใจปานใดก็ตามในเวลานี้

นี่เป็นคำเตือนของพระเยซูคริสต์สำหรับเราทุกคนด้วยเช่นกัน  ในการรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ ของเรา  เรามิได้มุ่งมองและติดอยู่กับสิ่งภายนอกที่เราสามารถมองเห็นด้วยตาของเราเท่านั้น   แต่เราต้องมองลึกลงถึงเบื้องหลังและเบื้องหน้าของสิ่งนั้นและคนๆ นั้น   และจะต้องรู้เท่าทันว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ยิ่งกว่านั้นเราต้องตระหนักชัดในสัจจะความจริงว่า สิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้  ทรัพย์ สิ่งของ  อนุสาวรีย์ที่เราสร้างขึ้น  ชื่อเสียง  ตำแหน่ง  เกียรติยศ  และผลงานที่ผู้คนยกย่องชื่นชมมีวันที่จะจบสิ้นและสาบสูญ แต่ให้เราประทับใจและชื่นชอบในสิ่งที่มาจากเบื้องบน  ที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และ การทรงครอบครองของพระองค์ในชีวิตของเรา  สังคม และโลกนี้ของพระเจ้า   แม้จะมองไม่เห็นด้วยตา  แต่เราสามารถสัมผัสด้วยชีวิตและความเชื่อศรัทธาของเรา   สิ่งนี้นิรันดร์ยั่งยืน

ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องกับสิ่งที่เรามองเห็น   แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น  
เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่จีรังยั่งยืน  
สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์ 
(2 โครินธ์ 4:18  อมตธรรม)

ประเด็นสำหรับใคร่ครวญ

1. ทุกวันนี้อะไรคือสิ่งที่ท่านประทับใจที่สุดในชีวิตของท่าน?
2. ทำไมท่านถึงประทับใจในสิ่งเหล่านั้นอย่างมาก?
3. สิ่งที่ท่านประทับใจอย่างมากมีความสำคัญ คุณค่า และความหมายต่อชีวิตของท่านและคนอื่นเช่นไร?
4. สิ่งที่ท่านประทับใจอย่างมากสอดคล้องกับชีวิตคริสตชนของท่านหรือไม่?  ทำไมท่านถึงคิดและมองเช่นนั้น?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น