อ่านมาระโก 13:1-2
ขณะที่พระเยซูเสด็จออกจากพระวิหาร สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า
“ดูซิ พระอาจารย์!
หินก้อนมหึมาทั้งนั้น! ช่างเป็นอาคารที่งดงามตระการตายิ่งนัก
(มาระโก 13:1 อมตธรรม)
เฮโรดมหาราชได้สร้างพระวิหาร ด้วยการปรับปรุงซ่อมแซมพระวิหารที่เคยได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยของเอสรา(เอสรา
6:14-15) ที่ผ่านพ้นมากว่า 500 ปีแล้ว
เพื่อเอาใจพวกยิวเพื่อให้สนับสนุนตนและยอมอยู่ภายใต้การปกครองของตน โดยได้ทำการซ่อมแซมและก่อสร้างประมาณในปี 20 ก.ค.ศ.
ก่อนการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ประมาณ 15 ปี ใช้เวลาทั้งหมดในการก่อสร้างถึง 45 ปี
ซึ่งเป็นยุคที่พระเยซูคริสต์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าในแผ่นดินนี้พอดี อาคารนี้เสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 64 (หลังจากสมัยพระเยซูอีก 30 ปี)
รากฐานของพระมหาวิหารดังกล่าวใช้หินน้ำหนักประมาณถึง 600 ตัน รากฐานดังกล่าวยังพบได้ในกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน อาคารพระวิหารทำจากหินอ่อนสีขาวฝีมือประณีต และกำแพงอาคารด้านตะวันออกหุ้มด้วยทองคำ
ในยามเช้าเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงทำให้เกิดแสงประกายสะท้อนแวววาวระยิบระยับตา
ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้คนได้เห็นพระวิหารแห่งนี้จึงทึ่งและตื่นตาตื่นใจชื่นชมในความสวยงามของพระวิหารแห่งนี้ และไม่เว้นแม้แต่สาวกของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน
ถึงกับชวนพระเยซูให้หลงใหลในความงดงามยิ่งใหญ่ของพระมหาวิหารดังกล่าว
แต่พระเยซูคริสต์กลับมองและมีความประทับใจต่อตึกอาคารดังกล่าวที่แตกต่างจากสาวกและคนอื่น พระองค์กล่าวตอบว่า
“พวกท่านเห็นอาคารใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ใช่ไหม
ศิลาที่นี่จะไม่เหลือซ้อนทับกันสักก้อนเดียว ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมาหมด
(มาระโก 13:2 อมตธรรม)
(หรือฉบับมาตรฐานแปลว่า
“แต่จะถูกทำลายลงหมด” )
แทนที่พระเยซูคริสต์จะร่วมในความประทับใจในความโอ่อ่าตระการตา
ในความสง่างามของอาคารพระวิหารร่วมกับเหล่าสาวก
แต่พระองค์มองลึกลงไปถึงเบื้องหลังและเบื้องหน้าของอาคารมหึมาแห่งนี้ พระองค์ทรงมองว่า
เบื้องหลังของอาคารนี้สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองอำนาจทางการเมืองการปกครองของเฮโรด เบื้องหน้าอาคารที่งดงามยิ่งใหญ่นี้ก็จะถูกทำลายลงอย่างราบคาบเพราะการเมืองและอำนาจด้วยเช่นกัน และจากประวัติศาสตร์เราพบว่า อาคารวิหารแห่งนี้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบในปี
ค.ศ. 70
ด้วยกองกำลังของโรมัน
คำตรัสของพระเยซูคริสต์ได้เตือนสติเหล่าสาวกว่า อย่าหลงใหลประทับใจกับความโอ่อ่าตระการตา ใหญ่ยิ่งงดงามของอาคาร และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว แต่ในที่สุด
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็มีเวลาที่เหี่ยวเฉา ล่วงลับ
จบสิ้น หักพัง และสูญเสียไป ไม่ว่าสิ่งนั้น คนนั้นจะน่าพิศวงหลงใหล หรือ มีเสน่ห์น่าเย้ายวนใจปานใดก็ตามในเวลานี้
นี่เป็นคำเตือนของพระเยซูคริสต์สำหรับเราทุกคนด้วยเช่นกัน ในการรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ ของเรา เรามิได้มุ่งมองและติดอยู่กับสิ่งภายนอกที่เราสามารถมองเห็นด้วยตาของเราเท่านั้น
แต่เราต้องมองลึกลงถึงเบื้องหลังและเบื้องหน้าของสิ่งนั้นและคนๆ นั้น และจะต้องรู้เท่าทันว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ยิ่งกว่านั้นเราต้องตระหนักชัดในสัจจะความจริงว่า สิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ทรัพย์ สิ่งของ อนุสาวรีย์ที่เราสร้างขึ้น ชื่อเสียง
ตำแหน่ง เกียรติยศ
และผลงานที่ผู้คนยกย่องชื่นชมมีวันที่จะจบสิ้นและสาบสูญ แต่ให้เราประทับใจและชื่นชอบในสิ่งที่มาจากเบื้องบน ที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และ
การทรงครอบครองของพระองค์ในชีวิตของเรา สังคม และโลกนี้ของพระเจ้า แม้จะมองไม่เห็นด้วยตา
แต่เราสามารถสัมผัสด้วยชีวิตและความเชื่อศรัทธาของเรา สิ่งนี้นิรันดร์ยั่งยืน
ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องกับสิ่งที่เรามองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น
เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่จีรังยั่งยืน
สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์
(2 โครินธ์ 4:18 อมตธรรม)
ประเด็นสำหรับใคร่ครวญ
1. ทุกวันนี้อะไรคือสิ่งที่ท่านประทับใจที่สุดในชีวิตของท่าน?
2. ทำไมท่านถึงประทับใจในสิ่งเหล่านั้นอย่างมาก?
3. สิ่งที่ท่านประทับใจอย่างมากมีความสำคัญ คุณค่า
และความหมายต่อชีวิตของท่านและคนอื่นเช่นไร?
4. สิ่งที่ท่านประทับใจอย่างมากสอดคล้องกับชีวิตคริสตชนของท่านหรือไม่? ทำไมท่านถึงคิดและมองเช่นนั้น?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น