เรียนรู้การกระทำงานของพระเจ้าในสถานการณ์ที่เกินความสามารถของเรา
อ่านเนหะมีย์ 2:1-10
ในชีวิตประจำวัน เราท่านต้องเคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ยิ่งกว่านั้น
เราหลายคนเคยพบกับสถานการณ์เลวร้ายที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมและจัดการได้ ในเวลาเช่นนั้นท่านทำอย่างไร? หลายคน
มุมานะพยายามหาทางจัดการ หรือ หาคนมาช่วยจัดการ
บางคนพยายามวางแผนที่จะเอาชนะในสถานการณ์นั้น แต่บางคนบอกว่า
ให้เรายอมรับความจริงของสถานการณ์นั้นที่เกิดขึ้น และยอมรับว่ามันเกินความสามารถที่เราจะทำอะไรได้
หรือ เกินความสามารถที่เราจะจัดการกับสถานการณ์นั้น
ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายและรู้ว่าเป็นสถานการณ์ที่เหนือความสามารถของตนที่จะเข้าไปจัดการได้ คนกลุ่มนี้หยุดชีวิตประจำวัน เปิดชีวิตทั้งหมดแด่พระเจ้า เพื่อทูลขอพระเจ้าว่า
พระองค์มีแผนการอะไรในสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้น และ
แสวงหาความชัดเจนว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรในตัวเขาที่จะมีส่วนในแผนการของพระองค์ อย่างเช่นเนหะมีย์
เมื่อเนหะมีย์
ได้รับทราบคนที่กลับจากกรุงเยรูซาเล็มที่มาเยี่ยมว่า
“คนที่เหลือที่รอดพ้นจากการเป็นเชลยและกลับไปยังแว่นแคว้นเดิมนั้น
มีความทุกข์และความอัปยศอย่างยิ่ง
กำแพงกรุงเยรูซาเล็มปรักหักพัง
ประตูเมืองก็ถูกเผา”
(1:3 อมตธรรม)
เมื่อเนหะมีย์ได้ยินข่าวร้ายที่ไม่รู้จะทำอย่างไร สิ่งที่เนหะมีย์ทำคือ
“...นั่งลงร้องไห้...โศกเศร้า...
ถืออดอาหาร
และอธิษฐานต่อพระเจ้า...” (ข้อ 4)
น่าสังเกตว่า เมื่อเนหะมีย์เลือกที่จะตอบสนองด้วยการ
“อดอาหาร และ อธิษฐาน”
เท่ากับว่าเขาเปิดพื้นที่ในชีวิตของเขาแด่พระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงว่า
พระองค์ประสงค์ใช้ให้เนหะมีย์ทำอะไรตามแผนการของพระองค์ ในพระธรรมตอนนี้มิได้บ่งชี้ว่า
เนหะมีย์พยายามแสวงหาอยากรู้ว่าพระเจ้าจะจัดการอย่างไรในสถานการณ์เลวร้ายนี้ แต่สิ่งที่เนหะมีย์ทำคือ เขา “หยุดตนเอง” จากกิจการอื่นๆ ในชีวิต และ “เปิดชีวิตทั้งหมด” แด่พระเจ้า เพราะเขายอมรับความจริงว่าสถานการณ์นี้เลวร้ายเกินกว่าที่คิด เกินกว่าที่เขาจะจัดการได้
แต่เขามีใจต้องการที่จะช่วยพี่น้องยิวในเยรูซาเล็ม แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร สิ่งที่เขาทำคือการแสวงหาน้ำพระทัย และ
เปิดชีวิตทั้งหมดของตนให้พระเจ้า
นอกจากที่ตนไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ที่เลวร้ายในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว
เขาก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรในการจัดการกับตนเองถ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องร้ายที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะเขาเป็นข้าราชการรับใช้พระราชาในวัง เขาจะไปกรุงเยรูซาเล็มได้อย่างไร? เราท่านก็เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้ใช่ไหม?
เมื่อใดก็ตาม ที่พระเจ้าทรงใส่ภาระใจลงในบุคคลใด
ภาระใจของพระองค์มาพร้อมกับแผนการของพระองค์ในเรื่องนั้น (ไม่ใช่แผนการของผู้ได้รับภาระใจ)
บ่อยครั้งที่เราผิดพลาดคือเมื่อมีภาระใจ เรากระตือรือร้นที่จะทำสิ่งนั้นให้ถูกต้อง ทำสิ่งนี้ให้ชอบธรรม ทำสิ่งโน้นเพื่อคนอื่นจะได้เห็นพระคริสต์ จนกลายเป็นเรา “ใจร้อน” รีบไปจัดการสิ่งต่างๆ ในเรื่องนั้นตามความคิด
ความสามารถ และแผนการของเราเอง
และมีหลายคนวางแผนเงียบๆ ลับๆ ในการตอบโต้สถานการณ์นั้น ทำเหมือนกับว่ากำลังช่วยพระเจ้า หรือ
รีบเร่งช่วยพระเจ้าจัดการบางเรื่องในสถานการณ์นั้น อาการเหล่านี้ส่อชัดว่าเขากำลังไม่วางใจพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจสุดชีวิตสุดความคิดของเขา!
ผลที่ได้รับคือ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายนั้นยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้น
แต่เนหะมีย์มิได้ทำเช่นนั้น เขา “หยุดตนเอง” แล้ว “เปิดชีวิตทั้งหมด”
แด่พระเจ้า ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า
พระเจ้ามิได้ตรัส หรือ ให้นิมิตอะไรเลยแก่เนหะมีย์เลย แต่ทรงเตรียมจิตใจของเนหะมีย์ เตรียมเขาให้พร้อมสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าที่กำลังทำไปข้างหน้าเขา
พระเจ้ามิได้บอกเนหะมีย์ด้วยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แต่พระเจ้าทำมากกว่าบอกเนหะมีย์ครับ
พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ตามแผนการของพระองค์เอง!
พระเจ้าทรงกระทำงานในจิตใจของกษัตริย์และพระราชินี เพราะการอดอาหาร และ
จิตใจที่สงบรอคอยพระเจ้าของเนหะมีย์
ทำให้พระราชาสังเกตเห็น “ความผิดปกติ” ในชีวิตของเนหะมีย์ จนพระราชาออกปากถาม เนหะมีย์ตรงๆ ว่า “ทำไมเจ้าถึงหน้าเศร้าหมองนัก ในเมื่อไม่ได้เจ็บป่วย คงไม่มีอะไรนอกจากจะทุกข์ใจ(ใช่ไหม?)”
เมื่อพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ “โอกาส” ก็เปิดสำหรับเนหะมีย์
ที่จะทูลความในใจแก่กษัตริย์
ด้วยการทูลในรายละเอียดของเนหะมีย์
พระเจ้าทรง “เปิดใจ” พระราชา
มิใช่อนุญาตให้เนหะมีย์ไปเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่พระราชาส่ง เนหะมีย์ให้ไปทำพันธกิจที่ทรงมองหมายในการบูรณะปฏิสังขรณ์เมืองเยรูซาเล็ม
(ข้อ 5, 6) นอกจากนั้น
พระราชายังออกใบเบิกทางเพื่อความสะดวกแก่เนหะมีย์ (ข้อ 7) และออกพระราชสาสน์ให้ทางกรมป่าไม้ตัดไม้ให้เนหะมีย์สำหรับงานนี้
(ข้อ 8)
แล้วให้มีนายทหาร และ กองกำลังทหารม้าคุ้มกันไปร่วมกับขบวนของเนหะมีย์ด้วย
(ข้อ 9)
กลายเป็นว่า
การกลับไปบูรณะซ่อมแซมกำแพงและเมืองเยรูซาเล็มมิใช่งานที่เนหะมีย์อยากจะทำ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้เป็นพันธกิจของพระราชาที่ส่งเนหะมีย์และกองกำลังของพระองค์ไปทำ
นี่คือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเนหะมีย์
เมื่อพระเจ้าใส่ภาระใจแก่ใครผู้ใด พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้คนๆ นั้นต้องไปทำงานนั้นตามยถากรรม แต่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจนั้น
เพื่อเปิดทางนำคนนั้นเข้าสู่สถานการณ์ดังกล่าว เพื่อทำงานสานต่อพระราชกิจร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
และ ประชากรคนอื่นๆ ของพระองค์ด้วย ในข้อที่ 8 ตอนท้าย เนหะมีย์กล่าวว่า...
“แล้วกษัตริย์อนุมัติตามการทูลขอ เพราะพระหัตถ์อันเปี่ยมด้วยพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้า”
เมื่อเราได้รับการทรงเรียกในทำพันธกิจการงานที่เหนือความสามารถที่เราจะทำเองได้
ท่านจะตอบสนองต่อการทรงเรียกนั้นในชีวิตประจำวันอย่างไร?
เราจะเริ่มด้วยการจดรายการที่เราไม่สามารถจะจัดการได้เช่นนั้นหรือ? ไม่ครับบ่อยครั้งที่เรามุ่งมองไปที่ปัญหา เราเน้นย้ำในสิ่งที่เราจัดการไม่ได้ แต่จงมั่นใจในวันนี้ว่า
ก่อนที่พระเจ้าจะทรงเรียกท่านพระองค์รู้สิ่งที่จำกัดขาดด้อยเหล่านี้ในชีวิตของท่านก่อนแล้ว แล้วทรงรู้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง
ให้เราตอบสนองต่อการทรงเรียกในพันธกิจที่เหนือความสามารถในการจัดการของเราด้วยการ
“หยุดตนเอง” แล้ว “เปิดพื้นที่ชีวิต” ทั้งหมดแด่พระเจ้า
และเมื่อพระองค์ทรงเริ่มกระทำพระราชกิจของพระองค์ เมื่อ “โอกาส”
เปิดก็ให้เราพร้อมที่จะเคลื่อนไปสู่ทิศทางที่พระองค์ทรงเปิดแก่เราด้วยความเชื่อฟัง สัตย์ซื่อ
อดทน และรอคอย
เราต้องไม่ลืมว่า ในทุกงานที่พระเจ้าทรงเรียกทรงใช้ให้เรากระทำ
พระองค์จะเสริมสร้างเราให้เติบโตขึ้นผ่านในงานนั้น เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในทุกคนที่เชื่อศรัทธาและไว้วางใจในพระองค์
และพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้เองจะเป็นกำลังด้านต่างๆ ที่จะนำให้การรับใช้ของเราบรรลุความสำเร็จตามแผนการละพระประสงค์ของพระเจ้า
อย่าให้สถานการณ์ที่อยู่เหนือความสามารถในการควบคุมและจัดการของท่านเป็นตัวบั่นทอน
ดึงฉุดให้ท่านให้ออกจากทางแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า แต่จง “หยุดตนเอง” และ
“เปิดพื้นที่ชีวิต” แด่พระเจ้า
แล้วเดินตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการเชื่อฟัง สัตย์ซื่อ
และเต็มใจ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น