21 ธันวาคม 2555

ช่วงเวลาใคร่ครวญชีวิตคริสตชน (6): เมื่อพระเจ้าทรงเรียก...พร้อมฝ่าฝืนคำสั่งที่ฉ้อฉล


สี่สัปดาห์ก่อนวันคริสตสมภพ
เป็นช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญถึงการทรงเรียกและพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราแต่ละคน   แล้วเราจะตอบสนองการทรงเรียกดังกล่าวด้วยท่าทีแบบไหน
และด้วยการอุทิศทุ่มเทชีวิตอย่างไร

อ่านมัทธิว 2:1-16 

พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแค้วนยูเดียในรัชกาลกษัตริย์เฮโรด   ภายหลังมีนักปราชญ์จากทางทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็มถามว่า

“พระกุมารที่ทรงบังเกิดเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน?   เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก  และเรามาเพื่อนมัสการท่าน”

เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็วุ่นวายพระทัย  ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจด้วย   แล้วท่านทรงให้ประชุมพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน  แล้วก็ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์ทรงบังเกิดที่ไหน?”   พวกเขาทูลว่า   “ที่บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย...”

เฮโรดจึงทรงเชิญพวกนักปราชญ์เข้ามาอย่างลับๆ   ทรงสอบถามจนได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น  แล้วท่านทรงให้พวกนักปราชญ์ไปยังบ้านเบธเลเฮมรับสั่งว่า

“จงไปค้นหาพระกุมารที่เกิด   เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เราเพื่อจะไปนมัสการท่านด้วย”

พวกนักปราชญ์ก็ไปตามรับสั่ง  และดาวซึ่งพวกเขาได้เห็นทางทิศตะวันออกนั้นได้นำหน้าพวกเขาไป  จนมาอยู่เหนือสถานที่ซึ่งพระกุมารอยู่นั้น...  เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา  จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น   แล้วเปิดหีบสมบัติของพวกเขาและถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมารคือ  ทองคำ กำยาน และมดยอบ

แล้วพวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน  ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด  พวกเขาจึงกลับไปเมืองของพวกตนทางอื่น (มัทธิว 2:1-12 ฉบับมาตรฐาน)  เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก   จึงทรงสั่งคนไปฆ่าเด็กชายทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮมและในบริเวณใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา   โดยนับตามเวลาที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์ (ข้อ 16)

เหตุการณ์ของพระธรรมตอนนี้  สันนิษฐานว่ามัทธิวบันทึกเรื่องราวในเหตุการณ์ตอนนั้นจากคำบอกเล่าของ   มารีย์   ซึ่งแน่นอนว่าโยเซฟได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้นานแล้ว   และมัทธิวได้ให้ข้อมูลเชิงเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน   เมื่อนักปราชญ์มาเข้าเฝ้านมัสการพระกุมารนั้น  มิใช่ช่วงเวลาที่พระกุมารเป็นทารกแบเบาะที่เกิดในถ้ำ  คอกสัตว์  และวางให้นอนในรางหญ้า   แต่มัทธิวบอกว่า  “...เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา...”  (ข้อ 11)  ในช่วงเวลานั้นพระกุมารเยซูน่าจะอายุประมาณเกือบสองขวบ   เพราะมัทธิวบันทึกรายละเอียดไว้ว่า  เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก   จึงสั่งคนไปฆ่าเด็กชายทั้งหมด... “ที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา   โดยนับเวลาที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์”

ดังนั้น   ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองคริสตสมภพในคริสตจักร   ขอความกรุณาท่านศิษยาภิบาลและครูคริส-เตียนศึกษา รวีวารศึกษา   เวลาจัดการแสดงฉากการบังเกิดของพระกุมาร   อย่ามักง่ายจัดฉากให้นักปราชญ์มาเข้าเฝ้านมัสการพระกุมารที่คอกสัตว์  ที่พระกุมารกำลังบรรทมอยู่ในรางหญ้านะครับ   เพราะเป็นการปลูกฝังข้อมูลความจริงของพระคัมภีร์ที่ผิดๆ ลงในความทรงจำและการเรียนรู้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่กำลังชมครับ   และอีกฉากหนึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นบนเวทีการแสดงคือ   จัดให้ทั้งคนเลี้ยงแกะและนักปราชญ์เข้ามาเฝ้านมัสการพระกุมารในฉากเวลาเดียวกัน   เพราะนี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนจากพระคัมภีร์อีกมากเลยทีเดียวครับ   หรือคริสตจักรจัดภาพวาดขนาดใหญ่เกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูคริสต์ก็โปรดระมัดระวังเลี่ยงความผิดพลาดที่กล่าวข้างต้นด้วยครับ

เมื่อเราอ่านถึงเรื่องราวของนักปราชญ์จากทิศตะวันออกพบดวงดาวของพระกุมารที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ยิวนั้น   นักปราชญ์กลุ่มนี้ไม่น่าจะเป็นคนที่ความรอบรู้ในเรื่องคำสอนความเชื่อของยิวสักเท่าใดนัก   แต่ด้วยความเป็นนักปราชญ์  นักค้นคว้าแสวงหาสัจจะความจริงตามวิถีที่ตนได้ร่ำเรียนรู้มา   เมื่อเห็นดาว (ตกฟาก) ของกษัตริย์องค์หนึ่งมาบังเกิดในโลก  เขารีบแสวงหาและติดตามด้วยจิตใจที่ต้องการไปนมัสการ  ยกย่อง และเทิดทูน   ดังดูได้จากที่นักปราชญ์ได้เตรียมสิ่งที่มีค่าที่ตนมีเพื่อนำมาจะถวาย   อาจจะเป็นเพราะว่า  ดวงดาวได้แสดงให้เห็นว่า  กษัตริย์องค์นี้มิใช่กษัตริย์ธรรมดาเหมือนกษัตริย์ทั่วไปที่มาบังเกิดในโลกนี้

ใครก็ตามที่มีความสนใจในพระราชกิจของพระเจ้า  แสวงหาความจริงที่จะนมัสการ ยกย่อง สรรเสริญพระองค์   แม้เขาจะยังไม่รู้ไม่เชื่อศรัทธาในพระองค์ก็ตาม   แต่พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดเคียงข้างในชีวิตของเขา   และในเวลาเดียวกันพระองค์ทรงเรียกเพื่อให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าในตอนนั้นๆ ด้วย  เฉกเช่นกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียที่มิใช่ยิว มิได้เป็นผู้ประกาศตัวว่ารู้และเชื่อศรัทธาในพระเจ้าของพวกยิว   แต่พระเจ้าทรงใช้เขาให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในเวลานั้น   และในกรณีของนักปราชญ์ที่มาเข้าเฝ้าและนมัสการพระกุมารก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้นักปราชญ์เข้าร่วมในพระราชกิจครั้งยิ่งใหญ่สำคัญของพระองค์

ถ้าเป็นไปตามการบันทึกของหมอลูกา  ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและใช้ให้เป็นผู้จุดประกายสร้างความสนใจในสังคมถึงการมาบังเกิดของพระกุมารเยซูคริสต์คือ “คนเลี้ยงแกะ” ที่ได้รับข่าวสารที่สำคัญนี้มาจากทูตสวรรค์   เมื่อมาเห็นประจักษ์จริงด้วยตาและชีวิตของตนเองแล้ว   คนเลี้ยงแกะเหล่านี้ก็ออกไปป่าวประกาศข่าวดียิ่งที่รอมาเป็นเวลานานในหมู่ประชาชนชาวยิว  “เมื่อพวกเขาเห็นแล้วจึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น   คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่คนเลี้ยงแกะบอกกับเขา”  (ลูกา 2:17-18)   ซึ่งเป็นการจุดประกายความสนใจในบรรดาประชาชนคนธรรมดาถึงการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ในเวลานั้น

ตามการบันทึกของมัทธิวได้ให้อีกภาพหนึ่งในเหตุการณ์นี้   “นักปราชญ์” คือผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงใช้ให้เป็นคนกระตุ้นและจุดประกายสร้างความสนใจในสังคมถึงการมาบังเกิดของพระกุมารเยซูคริสต์   ที่พวกเขาได้รับการทรงเปิดเผยสำแดงผ่านทางดวงดาว   และได้มาเรียนรู้ข้อมูลประกอบข้อเท็จจริงจากพระคัมภีร์ของพวก  ยิวจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์    แต่เป็นการกระตุ้นและจุดประกายเรื่องพระเยซูคริสต์ในอีกชนชั้นหนึ่งของสังคมคือ กระตุ้นพวกผู้มีอำนาจปกครองอาณาจักรอย่างกษัตริย์เฮโรด และ ผู้นำและมีอำนาจในการปกครองด้านศาสนา   การจุดประกายเรื่องนี้ทำให้ กษัตริย์เฮโรด “...วุ่นวายพระทัย  และชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย”  (มัทธิว 2:3 ฉบับมาตรฐาน)   และนี่คือบทบาทหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกและให้นักปราชญ์เข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้

นอกจากการทรงเรียกให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าครั้งนี้   ด้วยการเป็นผู้จุดประกายเรื่องการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ในหมู่ผู้มีอำนาทางการเมือง และ ศาสนาแล้ว   พระเจ้ายังทรงเรียกและใช้ให้นักปราชญ์เข้าร่วมในพระราชกิจ “แห่งการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า”  สำหรับมารีย์ โยเซฟ และพระกุมาร   และร่วมในพระราชกิจการปกป้องคุ้มครองพระกุมารเยซู

ในการเข้าเฝ้าและนมัสการองค์พระกุมารของนักปราชญ์   พวกเขาเตรียมสิ่งที่มีค่ามาเพื่อเป็นการถวายแด่พระกุมารผู้มาบังเกิดเป็นกษัตริย์   แต่เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งของที่เขาถวายเป็นเครื่องบรรณาการนั้นแท้จริงคือ “การทรงจัดเตรียมของพระเจ้า”  สำหรับชีวิตที่ต้องระหกระเหิน  ต้องพบกับความร้อนความหนาว   ความทุกข์ยากในต่างแดนของสามพ่อแม่และลูกในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้   นักพระคัมภีร์บางท่านสันนิษฐานว่า  ของมีค่าทั้งสามถูกแลกเป็นปัจจัยที่จะต้องดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอดในแผ่นดินอียิปต์   และนักปราชญ์ได้มีส่วนร่วมในพระราชกิจที่สำคัญครั้งนี้คือ  การร่วมในการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับคนสำคัญทั้งสามในพระราชกิจของพระองค์

หลังจากเหตุการณ์การเข้าเฝ้าและนมัสการพระกุมารของนักปราชญ์   เหตุร้ายและการมุ่งทำลายล้างผลาญพระกุมารที่ไม่มีความผิดก็ได้เกิดขึ้น   กษัตริย์เฮโรดสั่งให้นักปราชญ์ช่วยกลับไปบอกตนว่าพบพระกุมารอยู่ที่ใด  โดยหลอกว่าตนจะได้ไปนมัสการด้วย   แต่แท้จริงจะได้จัดการเข่นฆ่ากำจัดพระกุมารเยซูให้สิ้นเสี้ยนหนามของแผ่นดิน   แต่พระเจ้าทรงเรียกและใช้ให้นักปราชญ์ที่ไม่รู้จักพระองค์ให้รู้เท่าทันแผนการอันเลวร้ายของเฮโรด   ดังนั้น  เมื่อนักปราชญ์รู้เท่าทันความคิดแผนชั่วของเฮโรดพวกเขาจึง “ขัดคำสั่งกษัตริย์เฮโรด”  หลีกลี้หนีออกนอกประเทศไปอีกทางหนึ่ง   บทเรียนครั้งนี้ชัดเจนว่า   ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและเข้าร่วมในพระราชกิจครั้งสำคัญของพระองค์   ต้องพร้อมที่จะ “ฝ่าฝืนคำสั่งที่ฉ้อฉล”  ของผู้นำผู้ปกครองแม้จะมีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหนก็ตาม

ในการทรงเรียกของพระเจ้าให้เราเข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในแต่ละช่วงเวลาเหตุการณ์   บ่อยครั้งเรามักไม่รู้ว่าเป้าหมายปลายทางของพระเจ้าคืออะไร   แต่เรายอมตนเข้าร่วมและกระทำสานต่อในพระราชกิจของพระองค์ที่ทรงเรียกเราให้กระทำ   หลายครั้งเราจะไม่สามารถเห็นคุณค่าสำคัญที่แท้จริงในพระราชกิจที่ทรงเรียกให้เราสานต่อพระราชกิจของพระองค์   แต่เราต้องสัตย์ซื่อและไว้วางใจในการทรงนำของพระองค์   และอีกประการหนึ่งคือ   ถ้าคิดจะมอบกายถวายชีวิตรับใช้พระราชกิจตามการทรงเรียก  ก็ต้องพร้อมที่จะกบฏต่อคำสั่ง และ อำนาจที่ฉ้อฉลของผู้ปกครองที่มีอำนาจทั้งฝ่ายบ้านเมือง และ ศาสนา   กล้าที่จะมีวิญญาณกบฏต่ออำนาจที่สวนกระแสและท้าทายต่อพระราชกิจแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า

ถ้าเรามั่นใจว่าพระเจ้าทรงเรียกและใช้เราในพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้   เราอาจจะต้องถามตนเองว่า  เราพร้อมที่จะจุดประกายและกระทำให้ผู้คนเห็นถึงพระราชกิจที่พระองค์ต้องการใช้เรากระทำหรือไม่?   เราพร้อมที่จะกระทำตามพระราชกิจที่ทรงมอบหมายทั้งๆ ที่เราเองยังไม่รู้ชัดเจนในเป้าหมายปลายทางของพระเจ้าหรือไม่?   และเราพร้อมที่จะมีวิญญาณกบฏต่ออำนาจที่ฉ้อฉลหรือไม่?   หรือเรายังต้องเป็นคนแบบ “เข้าเมืองโสดมก็ทำอย่างชาวโสดม” หรือ “เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”?

แล้วพวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน  ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด  พวกเขาจึงกลับไปเมืองของพวกตนทางอื่น   เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก  


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น