สี่สัปดาห์ก่อนวันคริสตสมภพ
เป็นช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญถึงการทรงเรียกและพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราแต่ละคน
แล้วเราจะตอบสนองการทรงเรียกดังกล่าวด้วยท่าทีแบบไหน
และด้วยการอุทิศทุ่มเทชีวิตอย่างไร
อ่านมัทธิว 2:1-16
พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแค้วนยูเดียในรัชกาลกษัตริย์เฮโรด
ภายหลังมีนักปราชญ์จากทางทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็มถามว่า
“พระกุมารที่ทรงบังเกิดเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเรามาเพื่อนมัสการท่าน”
เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจด้วย
แล้วท่านทรงให้ประชุมพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน แล้วก็ตรัสถามเขาว่า
“พระคริสต์ทรงบังเกิดที่ไหน?”
พวกเขาทูลว่า
“ที่บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย...”
เฮโรดจึงทรงเชิญพวกนักปราชญ์เข้ามาอย่างลับๆ
ทรงสอบถามจนได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น แล้วท่านทรงให้พวกนักปราชญ์ไปยังบ้านเบธเลเฮมรับสั่งว่า
“จงไปค้นหาพระกุมารที่เกิด
เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เราเพื่อจะไปนมัสการท่านด้วย”
พวกนักปราชญ์ก็ไปตามรับสั่ง
และดาวซึ่งพวกเขาได้เห็นทางทิศตะวันออกนั้นได้นำหน้าพวกเขาไป
จนมาอยู่เหนือสถานที่ซึ่งพระกุมารอยู่นั้น... เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น
แล้วเปิดหีบสมบัติของพวกเขาและถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมารคือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ
แล้วพวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด พวกเขาจึงกลับไปเมืองของพวกตนทางอื่น (มัทธิว 2:1-12 ฉบับมาตรฐาน)
เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก
จึงทรงสั่งคนไปฆ่าเด็กชายทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮมและในบริเวณใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยนับตามเวลาที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์
(ข้อ 16)
เหตุการณ์ของพระธรรมตอนนี้ สันนิษฐานว่ามัทธิวบันทึกเรื่องราวในเหตุการณ์ตอนนั้นจากคำบอกเล่าของ มารีย์
ซึ่งแน่นอนว่าโยเซฟได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้นานแล้ว และมัทธิวได้ให้ข้อมูลเชิงเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน
เมื่อนักปราชญ์มาเข้าเฝ้านมัสการพระกุมารนั้น
มิใช่ช่วงเวลาที่พระกุมารเป็นทารกแบเบาะที่เกิดในถ้ำ คอกสัตว์
และวางให้นอนในรางหญ้า
แต่มัทธิวบอกว่า “...เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา...” (ข้อ 11)
ในช่วงเวลานั้นพระกุมารเยซูน่าจะอายุประมาณเกือบสองขวบ เพราะมัทธิวบันทึกรายละเอียดไว้ว่า
เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก จึงสั่งคนไปฆ่าเด็กชายทั้งหมด... “ที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยนับเวลาที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์”
ดังนั้น ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองคริสตสมภพในคริสตจักร ขอความกรุณาท่านศิษยาภิบาลและครูคริส-เตียนศึกษา
รวีวารศึกษา
เวลาจัดการแสดงฉากการบังเกิดของพระกุมาร
อย่ามักง่ายจัดฉากให้นักปราชญ์มาเข้าเฝ้านมัสการพระกุมารที่คอกสัตว์ ที่พระกุมารกำลังบรรทมอยู่ในรางหญ้านะครับ เพราะเป็นการปลูกฝังข้อมูลความจริงของพระคัมภีร์ที่ผิดๆ
ลงในความทรงจำและการเรียนรู้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่กำลังชมครับ และอีกฉากหนึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นบนเวทีการแสดงคือ
จัดให้ทั้งคนเลี้ยงแกะและนักปราชญ์เข้ามาเฝ้านมัสการพระกุมารในฉากเวลาเดียวกัน
เพราะนี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนจากพระคัมภีร์อีกมากเลยทีเดียวครับ
หรือคริสตจักรจัดภาพวาดขนาดใหญ่เกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูคริสต์ก็โปรดระมัดระวังเลี่ยงความผิดพลาดที่กล่าวข้างต้นด้วยครับ
เมื่อเราอ่านถึงเรื่องราวของนักปราชญ์จากทิศตะวันออกพบดวงดาวของพระกุมารที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ยิวนั้น นักปราชญ์กลุ่มนี้ไม่น่าจะเป็นคนที่ความรอบรู้ในเรื่องคำสอนความเชื่อของยิวสักเท่าใดนัก แต่ด้วยความเป็นนักปราชญ์
นักค้นคว้าแสวงหาสัจจะความจริงตามวิถีที่ตนได้ร่ำเรียนรู้มา เมื่อเห็นดาว (ตกฟาก)
ของกษัตริย์องค์หนึ่งมาบังเกิดในโลก
เขารีบแสวงหาและติดตามด้วยจิตใจที่ต้องการไปนมัสการ ยกย่อง และเทิดทูน ดังดูได้จากที่นักปราชญ์ได้เตรียมสิ่งที่มีค่าที่ตนมีเพื่อนำมาจะถวาย อาจจะเป็นเพราะว่า ดวงดาวได้แสดงให้เห็นว่า
กษัตริย์องค์นี้มิใช่กษัตริย์ธรรมดาเหมือนกษัตริย์ทั่วไปที่มาบังเกิดในโลกนี้
ใครก็ตามที่มีความสนใจในพระราชกิจของพระเจ้า แสวงหาความจริงที่จะนมัสการ ยกย่อง
สรรเสริญพระองค์
แม้เขาจะยังไม่รู้ไม่เชื่อศรัทธาในพระองค์ก็ตาม
แต่พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดเคียงข้างในชีวิตของเขา
และในเวลาเดียวกันพระองค์ทรงเรียกเพื่อให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าในตอนนั้นๆ
ด้วย
เฉกเช่นกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียที่มิใช่ยิว
มิได้เป็นผู้ประกาศตัวว่ารู้และเชื่อศรัทธาในพระเจ้าของพวกยิว แต่พระเจ้าทรงใช้เขาให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในเวลานั้น
และในกรณีของนักปราชญ์ที่มาเข้าเฝ้าและนมัสการพระกุมารก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้นักปราชญ์เข้าร่วมในพระราชกิจครั้งยิ่งใหญ่สำคัญของพระองค์
ถ้าเป็นไปตามการบันทึกของหมอลูกา ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและใช้ให้เป็นผู้จุดประกายสร้างความสนใจในสังคมถึงการมาบังเกิดของพระกุมารเยซูคริสต์คือ
“คนเลี้ยงแกะ” ที่ได้รับข่าวสารที่สำคัญนี้มาจากทูตสวรรค์
เมื่อมาเห็นประจักษ์จริงด้วยตาและชีวิตของตนเองแล้ว
คนเลี้ยงแกะเหล่านี้ก็ออกไปป่าวประกาศข่าวดียิ่งที่รอมาเป็นเวลานานในหมู่ประชาชนชาวยิว “เมื่อพวกเขาเห็นแล้วจึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่คนเลี้ยงแกะบอกกับเขา” (ลูกา 2:17-18)
ซึ่งเป็นการจุดประกายความสนใจในบรรดาประชาชนคนธรรมดาถึงการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ในเวลานั้น
ตามการบันทึกของมัทธิวได้ให้อีกภาพหนึ่งในเหตุการณ์นี้ “นักปราชญ์” คือผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงใช้ให้เป็นคนกระตุ้นและจุดประกายสร้างความสนใจในสังคมถึงการมาบังเกิดของพระกุมารเยซูคริสต์ ที่พวกเขาได้รับการทรงเปิดเผยสำแดงผ่านทางดวงดาว และได้มาเรียนรู้ข้อมูลประกอบข้อเท็จจริงจากพระคัมภีร์ของพวก ยิวจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ แต่เป็นการกระตุ้นและจุดประกายเรื่องพระเยซูคริสต์ในอีกชนชั้นหนึ่งของสังคมคือ
กระตุ้นพวกผู้มีอำนาจปกครองอาณาจักรอย่างกษัตริย์เฮโรด และ ผู้นำและมีอำนาจในการปกครองด้านศาสนา การจุดประกายเรื่องนี้ทำให้ กษัตริย์เฮโรด “...วุ่นวายพระทัย
และชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย” (มัทธิว 2:3 ฉบับมาตรฐาน)
และนี่คือบทบาทหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกและให้นักปราชญ์เข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้
นอกจากการทรงเรียกให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าครั้งนี้
ด้วยการเป็นผู้จุดประกายเรื่องการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ในหมู่ผู้มีอำนาทางการเมือง
และ ศาสนาแล้ว พระเจ้ายังทรงเรียกและใช้ให้นักปราชญ์เข้าร่วมในพระราชกิจ
“แห่งการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า”
สำหรับมารีย์ โยเซฟ และพระกุมาร
และร่วมในพระราชกิจการปกป้องคุ้มครองพระกุมารเยซู
ในการเข้าเฝ้าและนมัสการองค์พระกุมารของนักปราชญ์
พวกเขาเตรียมสิ่งที่มีค่ามาเพื่อเป็นการถวายแด่พระกุมารผู้มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งของที่เขาถวายเป็นเครื่องบรรณาการนั้นแท้จริงคือ
“การทรงจัดเตรียมของพระเจ้า”
สำหรับชีวิตที่ต้องระหกระเหิน
ต้องพบกับความร้อนความหนาว ความทุกข์ยากในต่างแดนของสามพ่อแม่และลูกในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ นักพระคัมภีร์บางท่านสันนิษฐานว่า ของมีค่าทั้งสามถูกแลกเป็นปัจจัยที่จะต้องดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอดในแผ่นดินอียิปต์
และนักปราชญ์ได้มีส่วนร่วมในพระราชกิจที่สำคัญครั้งนี้คือ การร่วมในการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับคนสำคัญทั้งสามในพระราชกิจของพระองค์
หลังจากเหตุการณ์การเข้าเฝ้าและนมัสการพระกุมารของนักปราชญ์ เหตุร้ายและการมุ่งทำลายล้างผลาญพระกุมารที่ไม่มีความผิดก็ได้เกิดขึ้น
กษัตริย์เฮโรดสั่งให้นักปราชญ์ช่วยกลับไปบอกตนว่าพบพระกุมารอยู่ที่ใด โดยหลอกว่าตนจะได้ไปนมัสการด้วย แต่แท้จริงจะได้จัดการเข่นฆ่ากำจัดพระกุมารเยซูให้สิ้นเสี้ยนหนามของแผ่นดิน แต่พระเจ้าทรงเรียกและใช้ให้นักปราชญ์ที่ไม่รู้จักพระองค์ให้รู้เท่าทันแผนการอันเลวร้ายของเฮโรด ดังนั้น
เมื่อนักปราชญ์รู้เท่าทันความคิดแผนชั่วของเฮโรดพวกเขาจึง
“ขัดคำสั่งกษัตริย์เฮโรด”
หลีกลี้หนีออกนอกประเทศไปอีกทางหนึ่ง
บทเรียนครั้งนี้ชัดเจนว่า
ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและเข้าร่วมในพระราชกิจครั้งสำคัญของพระองค์ ต้องพร้อมที่จะ “ฝ่าฝืนคำสั่งที่ฉ้อฉล” ของผู้นำผู้ปกครองแม้จะมีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหนก็ตาม
ในการทรงเรียกของพระเจ้าให้เราเข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ในแต่ละช่วงเวลาเหตุการณ์ บ่อยครั้งเรามักไม่รู้ว่าเป้าหมายปลายทางของพระเจ้าคืออะไร
แต่เรายอมตนเข้าร่วมและกระทำสานต่อในพระราชกิจของพระองค์ที่ทรงเรียกเราให้กระทำ
หลายครั้งเราจะไม่สามารถเห็นคุณค่าสำคัญที่แท้จริงในพระราชกิจที่ทรงเรียกให้เราสานต่อพระราชกิจของพระองค์
แต่เราต้องสัตย์ซื่อและไว้วางใจในการทรงนำของพระองค์ และอีกประการหนึ่งคือ
ถ้าคิดจะมอบกายถวายชีวิตรับใช้พระราชกิจตามการทรงเรียก ก็ต้องพร้อมที่จะกบฏต่อคำสั่ง และ
อำนาจที่ฉ้อฉลของผู้ปกครองที่มีอำนาจทั้งฝ่ายบ้านเมือง และ ศาสนา กล้าที่จะมีวิญญาณกบฏต่ออำนาจที่สวนกระแสและท้าทายต่อพระราชกิจแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า
ถ้าเรามั่นใจว่าพระเจ้าทรงเรียกและใช้เราในพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้ เราอาจจะต้องถามตนเองว่า เราพร้อมที่จะจุดประกายและกระทำให้ผู้คนเห็นถึงพระราชกิจที่พระองค์ต้องการใช้เรากระทำหรือไม่? เราพร้อมที่จะกระทำตามพระราชกิจที่ทรงมอบหมายทั้งๆ
ที่เราเองยังไม่รู้ชัดเจนในเป้าหมายปลายทางของพระเจ้าหรือไม่?
และเราพร้อมที่จะมีวิญญาณกบฏต่ออำนาจที่ฉ้อฉลหรือไม่? หรือเรายังต้องเป็นคนแบบ
“เข้าเมืองโสดมก็ทำอย่างชาวโสดม” หรือ “เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”?
แล้วพวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด พวกเขาจึงกลับไปเมืองของพวกตนทางอื่น เมื่อเฮโรดทรงเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกท่านก็กริ้วยิ่งนัก
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น