คริสตชนจะเข้ามีส่วนร่วมใน
“การเมือง” ที่ก่อเกิดการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไร?
คำถามที่เรามักได้ยินได้ฟังจากสมาชิกคริสตจักรคือ
“แล้วคริสตชนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองได้หรือไม่
อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น
หลายคนวิพากษ์ว่า
ไม่ต้องถามว่าคริสตชนจะยุ่งการเมืองได้หรือไม่?
เพราะทุกวันนี้สององค์กรใหญ่ที่เป็นองค์กรพี่เบิ้มคริสต์ศาสนาในประเทศไทยต่างถูกผู้นำองค์กรเอาระบบ
“การเมืองแบบน้ำเน่า” ในสังคมไทยมาใช้ในการบริหารจัดการเลือกตั้งเพื่อดูว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารองค์กรมาใช้ โดยไม่ได้ปรึกษาและขออนุญาตจากสมาชิกส่วนใหญ่ในองค์กรเลย
ที่ผู้นำองค์กรเหล่านี้ต้องถามตนเอง
จิตสำนึกของตนเอง และสมาชิกส่วนใหญ่ขององค์กรก่อนคือ
กระบวนการการเมืองน้ำเน่าดังกล่าวเป็นการกระทำที่สอดคล้องและตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระวจนะของพระองค์หรือไม่? นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นประเด็นว่า คริสตชนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“การเมืองในองค์กร” หรือไม่? อย่างไร?
อีกประเด็นคำถามหนึ่งก็คือ คริสตชนควรเข้าไป “ยุ่งเกี่ยว” หรือ
“มีส่วนร่วม” หรือ “มีความรับผิดชอบ”
ในด้านการเมืองของประเทศได้หรือไม่อย่างไร? (ทั้งระดับท้องถิ่น และ
ระดับชาติ) ตั้งแต่คำถามที่ว่า คริสตชนจะเป็นสีอะไร จะเป็นสี แดง, เหลือง, ฟ้า, ชมพู, ขาว หรือ
หลากสี? จะสนับสนุนพรรคไหน? จะลงคะแนนเสียงให้กับใคร? คริสตชนใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจเรื่องข้างต้นนี้? คริสตชนมีหลักคิดและความเชื่อศรัทธาที่ใช้ในการตัดสินเรื่องเหล่านี้อะไรหรือไม่?
คริสตชนแต่ละคนมองการเมืองอย่างไร?
การที่คริสตชนจะมองว่า คริสตชนควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือ มีส่วนร่วม
หรือ มีความรับผิดชอบต่อ “การเมือง”
หรือไม่อย่างไรขึ้นอยู่กับมุมองหรือทัศนคติทางการเมืองของคริสตชนคนนั้นหรือกลุ่มนั้น เช่น
ถ้ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องของกิจกรรมที่ “สกปรก” เป็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ช่วงชิงอำนาจ หรือ
การแย่งชิงผลประโยชน์ ก็ทำให้คนกลุ่มหนึ่ง
“อยากเล่นการเมือง”
อีกส่วนหนึ่งไม่ต้องการเข้าไปเกลือกกลั้วตัวเองให้ต้องเปื้อนเปรอะทางการเมือง
แต่ถ้ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการสร้างความขัดแย้ง แบ่งสีแบ่งพวก มีแต่เรื่องโต้เถียง สาดโคลน คนกลุ่มนี้ก็มักจะไม่เข้ามา
ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
เราอยู่ในเมืองไทย เราดูเรื่องคริสตชนกับการเมืองในสหรัฐอเมริกา เรามักมีภาพรวมใหญ่ๆ ว่า พวกอนุรักษ์นิยมส่วนใหญ่จะเลือกพรรครีพับพลิกั้น ส่วนพวกหัวก้าวหน้าส่วนใหญ่จะเลือกเดโมแครต
และที่แบ่งขั้วเลือกตั้งนี้ก็ยังมีมุมมองที่แตกต่างกันในพวกเดียวกันเช่น พวกหนึ่งเป็น “พรรคนิยม”
เลือกเพราะเป็นสมาชิกของพรรคนี้ อีกพวกหนึ่งเลือกเพราะคนที่ตนเลือกมีวิธีคิดวิธีเชื่อใกล้เคียงกับที่ตนคิดตนเชื่อ
เป็นต้น
รากฐานบางประการของคริสตชนที่เข้าไปมีส่วนในทางการเมือง
รากฐานหรือจุดยืนที่สำคัญของคริสตชนที่เข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองทั้งในระดับองค์กร การเมืองระดับท้องถิ่น และการเมืองระดับชาติคือ พระมหาบัญญัติของพระเยซูคริสต์
เรามีส่วนในด้านการเมืองด้วยการยืนหยัดการเข้าไปมีส่วนร่วมการเมืองด้วย การรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดความคิดของเราเป็นรากฐานประการหลัก การคิด การตัดสินใจ
และการทุ่มชีวิตของเราเข้าไปมีส่วนในการเมืองเพราะ “เรารักพระเจ้า” สิ่งนี้ไม่มีใครรู้ชัดถึงน้ำใสใจจริงในเรื่องนี้ของเราได้เท่ากับพระเจ้า
และ ตัวเราเอง เราโกหกคนอื่นได้ เราหลอกลวงตนเองได้ แต่เราปิดบังพระเจ้าไม่ได้!
กล่าวคือเราได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้มีส่วนในงานการเมืองระดับต่างๆ
ในฐานะหน้าที่ที่แตกต่างกันไป แต่ที่สำคัญคือ ต้องถามตนเองเสมอว่า
ในสถานการณ์เช่นนี้พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีส่วนร่วมในด้านการเมืองขององค์กรนั้น
ท้องถิ่นนี้ หรือ ประเทศนี้อย่างไร?
กล่าวคือ...เราเข้าไปมีส่วนร่วมงานการเมืองตามพระประสงค์ของพระเจ้า
เรามิได้เข้าไปมีส่วนร่วมเพราะ คนๆ นั้น พรรคการเมืองโน้น สัญญาจะให้จะแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์อะไรบ้างแก่ส่วนตัวของเรา คริสตจักรของเรา ครอบครัวของเรา เรามิได้เข้าไปมีส่วนทางการเมืองเพราะ
“ผลประโยชน์” ทั้งส่วนตน ส่วนพวก
แต่เราอุทิศตนทำงานการเมืองเพื่อตอบสนองต่อพระมหาบัญญัติของพระคริสต์
รากฐานในพระมหาบัญญัติประการที่สองคือ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราเข้าไปมีส่วนในงานการเมืองครั้งนั้นๆ เพื่อ
“เพื่อนบ้าน” คนในชุมชนรอบข้าง คนในคริสตจักร
คนในชุมชน
คนในประเทศจะได้รับพระพรชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นจากการบริหารจัดการทางการเมืองบนรากฐานพระมหาบัญญัตินี้
การที่คริสตชนเข้าไปมีส่วนการเมืองระดับต่างๆ ก็เพื่อที่จะให้พระประสงค์ของพระคริสต์ตามพระมหาบัญญัติของพระองค์สำเร็จเกิดผลเป็นรูปธรรมในชีวิตทุกด้านในคริสตจักร
ชุมชน และประเทศ
เพื่อคนทั้งหลายเห็นถึงการทุ่มเททำงานการเมืองบนรากฐานพระประสงค์ของพระคริสต์ แล้วทำให้คนที่พบเห็นและสัมผัสเกิดการสรรเสริญยกย่องพระเจ้าของคริสตชน
ศิษยาภิบาลควรวางตัวอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
ศาสนาจารย์
ศิษยาภิบาลที่วางตัวเหมาะสมไม่ควร “เลือกข้างเลือกฝ่าย” แต่ที่ผ่านมามีศิษยาภิบาล
ศาสนาจารย์ส่วนหนึ่งเป็นตัวกลางชักนำเอาพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เข้ามาแสดงจุดยืนในคริสตจักร หรือ ในองค์กรของตนเอง โดยเป็นการสนับสนุนหรือเปิดโอกาสให้บางพรรคบางพวกเข้ามาหาเสียง
กีดกันบางพรรคบางพวกไม่ให้เข้ามาแนะนำตนเองและหาเสียง หรือชักนำ “นักเล่นการเมือง”
เข้ามาเสนอผลประโยชน์ที่สัญญาว่าจะให้แก่คริสตจักร แต่ในที่นี้ผมไม่ได้หมายความว่า ศิษยาภิบาล
หรือ ศาสนาจารย์ไม่ให้พูดหรือทำงานเรื่องการเมือง แต่ศิษยาภิบาล หรือ ศาสนาจารย์ต้องวางตัวอยู่เหนือ
“การเลือกข้าง” แต่หนุนเสริมให้สมาชิกคริสตจักรของตนมี
“พระมหาบัญญัติของพระคริสต์” เป็นหลักคิดหลักเชื่อ และ จุดยืนการเมืองของคริสตชนในการคิดตัดสินใจในการมีส่วนในการเมืองระดับต่างๆ
อีกประการหนึ่ง
ในฐานะศิษยาภิบาล หรือ ศาสนาจารย์
สามารถที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้สมาชิกในคริสตจักร หรือ
องค์กรของตนเองเกิดการเปิดใจกว้างรับฟังกันและกัน ยอมรับฟังความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคน
และมีประเด็นกระตุ้นคิดสมาชิกคริสตจักรหรือองค์กรให้คิดลึกในหลักคิดหลักเชื่อของคริสต์ชน
เช่น ถ้าเราเลือกกลุ่มนั้นพรรคนี้หรือคนนั้นแล้วจะสร้างผลกระทบอย่างไรต่อผู้คนเพื่อนบ้านของเรา คนในชุมชนของเรา? จะสร้างผลกระทบต่อประเทศชาติของเราอย่างไรบ้าง? หน้าที่หนึ่งของศิษยาภิบาลคือช่วยให้ผู้คนใช้สิทธิและโอกาสทางการเมืองของตนอย่างมีเป้าหมายและมีจุดยืนบนพระมหาบัญญัติของพระคริสต์ที่ชัดเจน
ประการต่อมาคือ การใช้พระคัมภีร์เป็นเกณฑ์ในการตัดสินด้านการเมือง เราจะไม่บอกว่าพระคัมภีร์ข้อนั้นข้อนี้สนับสนุนกลุ่มนั้นพรรคนี้หรือคนใดคนหนึ่ง แต่เราจะเน้นว่า พระคัมภีร์ข้อนั้นตอนนี้ได้สอนอะไร
บ่งชี้อะไรถึงพระประสงค์ของพระเจ้า
หรือได้สำแดงให้เห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจอะไร และ
อย่างไร และเราในฐานะคริสตชนจะมีส่วนร่วมสานต่อพระราชกิจของพระองค์ในเรื่องนั้นอย่างไรบ้าง พระวจนะของพระเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า
เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพระองค์อย่างไรบ้าง ศิษยาภิบาลหรือศาสนาจารย์มีบทบาทหน้าที่หนุนเสริมเพิ่มพลังความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าแก่สมาชิกของตน เสริมสร้างสมาชิกของตนให้เข้าใจถึงพระวจนะในสถานการณ์ต่างๆ
ในชีวิตว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไร
และประสงค์ให้ประชากรของพระองค์มีส่วนร่วมในพระราชกิจดังกล่าวอย่างไรด้วย
การเมืองคริสตชนคือการที่มุ่งนำเพื่อนบ้านให้มีประสบการณ์ชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อคนเหล่านั้นจะได้สัมผัสและสัมพันธ์กับพระคริสต์ที่จะครอบครองปกป้องชีวิตของเขา เพื่อแผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ น้ำพระทัยขอพระองค์เป็นอย่างไรในสวรรค์ จะได้เป็นจริงเช่นนั้นในแผ่นดินโลก
นี่คือบทบาททางการเมืองของคริสตชนในโลกนี้ครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น