30 พฤศจิกายน 2555

เมื่อองค์กรกลายพันธุ์!


เราเป็นองค์กรแบบไหน?

ถ้าจะแบ่งองค์กรเอกชนที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นลักษณะใหญ่ๆ  อาจสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะด้วยกันคือ

1. องค์กรเอกชนเพื่อธุรกิจ
2. องค์กรเอกชนการกุศล  และ
3. องค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนด้วยความเชื่อศรัทธา[1]

องค์กรเอกชนเพื่อธุรกิจ

ชื่อก็บ่งบอกชัดแล้วว่า   องค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรของเอกชน   ที่ก่อตั้งและดำเนินการเพื่อทำธุรกิจ  เพื่อค้าขาย  เพื่อหากำไร   เป้าหมายขององค์เอกชนประเภทนี้จึงมุ่งเน้นไปสู่ความคาดหวังที่ “จะได้”  มุ่งบริหารจัดการทรัพย์สิน เงิน ทุน ที่มีอยู่เพื่อให้เกิดผลทวีคูณให้ได้มากที่สุด    ทั้งนี้ ต้องการเสริมสร้างให้ตนเองมั่นคง  และมั่งคั่งต้องการเป็นองค์กรที่เด่น ดัง อยู่เหนือองค์กรอื่น   และต้องการที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตคนในสังคม   องค์กรเหล่านี้จึงต้อง “แข่งขัน”  เพื่อชิงชัยความได้เปรียบและได้ “ผลประโยชน์สูงสุด” สำหรับตนเอง บริษัท พรรคพวก  หรือเครือญาติ   และคาดหวังการตั้งอยู่อย่างมั่นคงยืนยงยาวนานที่สุด   และเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า “ความสำเร็จ”

องค์กรเอกชนการกุศล

เป็นองค์กรเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานหลักคิดว่า  ควรมีองค์กรที่มุ่งกระทำความดี   โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่รอโอกาส  ด้อยโอกาส  หรือ คนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ   เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยผู้คนที่มีความคิดความเชื่อในเรื่องการกระทำดี   การกระทำที่มีคุณค่า   และเสริมสร้างประโยชน์ต่อผู้คนและสังคมที่เป็นเป้าหมายขององค์กร

ดังนั้น  องค์กรประเภทนี้จึงทุ่มเทกำลังทรัพย์สิน  กำลังกาย  กำลังใจ ที่ตนมีอยู่   เพื่อทำสิ่งดีที่ตนตั้งใจจะทำ   อีกทั้งอาจจะรณรงค์หาการสนับสนุนด้านต่างๆ จากผู้คนในสังคมด้วย   การที่องค์กรประเภทนี้จะทำสิ่งที่ดีมีคุณภาพระดับไหน   จะทำไปได้ยาวนานแค่ไหน    ย่อมขึ้นอยู่กับคุณภาพคน  ความคิด  และมุมมองต่องานที่ตนทำในองค์กรประเภทนี้   อีกทั้งขึ้นกับ  กำลังคน  และ ทรัพย์กรที่มีพร้อมให้องค์กรขับเคลื่อนไป  

องค์กรประเภทนี้  ย่อมต้องขับเคลื่อนโดยคนในองค์กรที่มีจิตใจที่ต้องการกระทำสิ่งดีแก่คนอื่นรอบข้าง   และ ขึ้นอยู่กับความสามารถของตนที่จะสรรหาทรัพย์กรด้านต่างๆ ให้มีเพียงพอในการขับเคลื่อน   อีกทั้งขึ้นอยู่กับการรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน   ซึ่งความรู้สึกที่มีคุณค่านี้มักขึ้นอยู่กับการยอมรับและการเห็นคุณค่าของคนรอบข้าง   ซึ่งเป็นเงื่อนไขจากสภาพภายนอกนั่นเอง   องค์กรประเภทนี้จะใช้การยอมรับ ชื่นชม  และการยกย่องจากผู้คนและสังคมเป็นเครื่องวัด “ความสำเร็จ”

องค์กรเอกชนศาสนาด้วยความศรัทธา

ดูเผินๆ แล้ว เราอาจจะเห็นว่าองค์กรศาสนาด้วยความศรัทธา กับ องค์กรเอกชนการกุศลมีความคล้ายและเหมือนกันพอประมาณ   ใช่ครับ  และก็มีส่วนที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ   กล่าวคือ  องค์กรทั้งสองประเภทนี้ต่างมีจุดยืนเป้าหมายที่จะกระทำความดี   ให้การช่วยเหลือเกื้อกูนในด้านต่างๆ แก่ผู้คนที่ด้อยโอกาส  ขาดโอกาส  หรือกำลังรอโอกาส  

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอเน้นชัดในที่นี้ว่า  องค์กรเอกชนศาสนาด้วยความศรัทธา   จะแตกต่างจากองค์กรศาสนาด้วยปัญญาและหลักคำสอนเท่านั้น(ที่มีความคล้ายคลึงกับองค์กรเอกชนการกุศลอย่างมาก)   กล่าวคือ  ถ้าเป็นองค์กรเอกชนคริสต์ศาสนาที่มุ่งเน้นขับเคลื่อนด้วยศรัทธาเข้ามาด้วย  การที่มุ่งมั่นทำความดีขององค์กรนั้น  มิใช่เพราะคนทำต้องการทำดี   แต่ที่ทำความดีเพราะมีความเชื่อศรัทธาว่า  สิ่งดีที่กระทำนั้นสอดคล้องกับพระประสงค์พระเจ้าที่จะให้เรากระทำสานต่อจากพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในโลกนี้  

พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจแห่งการทรงสร้างชีวิตและสรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลกนี้   ดังนั้น  งานด้านหนึ่งขององค์กรศาสนาด้วยความศรัทธาแบบคริสตชนคือ  การดูแล  เอาใจใส่  เยียวยา  รักษา ทุกสิ่งที่ทรงสร้างให้อยู่ในสภาพที่มีคุณภาพอย่างที่พระเจ้าประสงค์เมื่อทรงสร้าง   และพระองค์ต้องการให้เราดูแลเอาใจใส่ให้เกิดดอกออกผล   เพื่อเกื้อกูนการมีชีวิตอยู่รอดของกันและกัน   กลายเป็นความอุดมพูนสุขในชีวิตสังคมโลก

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามศักดิ์ศรี และ พระฉายาของพระเจ้า    แต่มนุษย์กลับสูญเสียคุณค่า ศักดิ์ศรี และพระฉายาของพระเจ้าในตน   เกิดการทำร้ายทำลาย  เหยียบย่ำ  กดขี่ชีวิตของกันและกัน   ทำให้คนจำนวนมากต้องตกลงในกับดักแห่งความชั่วร้าย   ชีวิตต้องทนทุกข์ได้รับความเจ็บปวด   และในเวลาเดียวกันผู้ที่เหยียบย่ำ กดขี่  เอารัดเอาเปรียบคนอื่นชีวิตของตนก็ถูกครอบงำด้วยความคิดและอำนาจชั่วร้ายในรูปแบบต่างๆ เช่นกัน   พระราชกิจของพระเยซูคริสต์คือ  การที่พระองค์ทรงกอบกู้  ไถ่ถอน  และปลดปล่อยให้ผู้คนทั้งสองกลุ่มใหญ่ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายเหล่านั้น   และพระองค์ทรงเรียกผู้เชื่อศรัทธาในพระองค์  ที่เป็นสาวกติดตามพระองค์ให้กระทำสานต่อพระราชกิจแห่งการกอบกู้ ปลดปล่อยของพระองค์

ในปัจจุบันนี้การงานที่สานต่อการกอบกู้ และ การปลดปล่อยจากอำนาจชั่ว   คริสตชนสามารถที่จะกระทำในหลากหลายรูปแบบด้วยกัน   แล้วแต่สภาพชีวิตของผู้คนที่ตกลงในกับดักของอำนาจชั่วร้าย   เช่น การช่วยเหลือเหยื่อในด้านการค้ามนุษย์  ทั้งสตรี และ เด็ก   การเอาใจใส่เยียวยาผู้ต้องขังในเรือนจำ   การทำพันธกิจในชีวิตของเด็กข้างถนน   ในชีวิตของผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งขับไล่  การเอาใจใส่ผู้เจ็บป่วยและญาติ  และ ฯลฯ  ทั้งสิ้นนี้เรากระทำพันธกิจเหล่านี้มิใช่เพราะเราต้องการทำดีเท่านั้น   แต่เป็นการสนองพระประสงค์ของพระเจ้า   เพื่อให้น้ำพระทัยของพระองค์เกิดผลเป็นรูปธรรมในแผ่นดินโลกนี้  นั่นหมายความว่า พระประสงค์ของพระเจ้าทรงครอบครองชีวิตของผู้คน และ สรรพสัตว์สรรพสิ่งที่ทรงสร้าง   เพื่อโลกจะกลับสู่สภาพการทรงสร้างใหม่ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีศานติสุข   “ในสวรรค์เป็นอย่างไร  ให้เป็นอย่างนั้นในแผ่นดินโลก”   และนี่คือความสำเร็จ

การเยียวยารักษา  การบ่มเพาะ ฟูมฟัก และการเสริมสร้างชีวิตที่เจ็บช้ำแตกหักขึ้นใหม่   เป็นพระราชกิจของพระคริสต์ที่ทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่าง   และเป็นพระบัญชาให้เราสานต่อที่จะเสริมสร้าง และ หนุนเสริมชีวิตให้มีพลังเข้มแข็งและเติบโตขึ้นในชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน   และมีชีวิตที่อุทิศรับใช้เยี่ยงพระคริสต์

แต่ที่ต้องเน้นชัดคือ   ที่เราทำเพราะเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์   เราจึงอุทิศตนใช้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์   มิใช่เพราะเราต้องการทำและทำด้วยตนเอง   แต่การที่องค์กรศาสนาด้วยศรัทธาแบบคริสตชนกระทำนั้นมีลักษณะความเชื่อและศรัทธาประการพิเศษคือ   นี่เป็นงานที่เรากระทำสานต่อจากพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงเรียกให้เรากระทำ  ดังนั้น เราจึงต้องทำตามพระประสงค์และแผนการที่ทรงเปิดเผยในแต่ละวัน   “มิใช่ทำตามใจฉัน”   ดังนั้น  จึงมีอีกประการหนึ่งที่แตกต่างจากองค์กรเอกชนการกุศลคือ  องค์กรเอกชนศาสนาด้วยความศรัทธาแบบคริสตชน มิใช่ผู้เชื่อศรัทธาเป็นผู้ที่ทำงานสานต่อพระราชกิจของพระเจ้าตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น  แต่ในการสานต่อพระราชกิจ พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กระทำพระราชกิจเคียงข้างเราไปด้วย   ดังนั้นนอกจากกำลัง ปัญญา ความสามารถ  และทรัพยากรที่พระเจ้าประทานให้แล้ว   พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานเคียงข้างหนุนเสริมงานที่เราทำด้วย   ไม่เช่นนั้นแล้วเราไม่สามารถกระทำให้สำเร็จได้

เมื่อองค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนกลายพันธุ์

ยุคสมัยเปลี่ยนไป   การทำพันธกิจของพระเยซูถูกกระแสวัฒนธรรมในยุคต่างๆ กระทบ   บางยุคก็สามารถยืนหยัดเดินไปบนเส้นทางแห่งพระราชกิจของพระเยซูคริสต์  และอีกหลายยุคที่ถูกพายุแห่งยุคสมัยนั้นพัดกระหน่ำจนต้องซวนเซ   และอีกหลายยุคเช่นกันที่องค์กรศาสนาแบบคริสตชนที่ขับเคลื่อนไปตามกระแสวัฒนธรรมในยุคนั้น

องค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนที่ครั้งหนึ่งเลือกที่จะทำพันธกิจนี้สานต่อจากพระราชกิจของพระคริสต์ในบริบทประเทศไทย วัฒนธรรมไทย   แต่เนื่องจากทั้งผู้บริหาร  ผู้ทำงานองค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนถูกครอบงำด้วยวิธีคิดและระบบคุณค่าของกระแสสังคมแบบเงินนิยม   ทันสมัยนิยม   บริโภคนิยม  และ  ตัวกูนิยม   ในที่สุดองค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนก็เกิดการเปลี่ยนรูปแปรกระบวนการทำพันธกิจกลายพันธุ์เป็น “องค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนเพื่อธุรกิจ”  หรือ  “องค์กรเอกชนธุรกิจเพื่อคริสต์ศาสนา ”   หรือ “องค์กรเอกชนคริสต์ศาสนาเพื่อการกุศล”

เมื่อองค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนกลายพันธุ์   การทำพันธกิจขององค์กรก็แปรเปลี่ยนและกลายพันธุ์ด้วย   องค์กรเหล่านี้เปลี่ยนเป้าหมายและความสำเร็จไปสู่การทำธุรกิจ   กลายเป็นองค์กรที่ต้องทำเพื่อมีรายได้   และพลิกฟ้าให้เป็นดินเป็นการหารายได้เพื่อมาเลี้ยงองค์กรและคริสตจักร   ดังนั้น  องค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนเพื่อธุรกิจจึงหลีกไม่พ้นที่จะต้องลงสนามแข่งขันกับองค์กรเอกชนธุรกิจประเภทเดียวกัน   ดังนั้นจึงต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการทำธุรกิจและบริการ  หนีไม่พ้นที่ต้องหากำไรเพื่อที่จะนำมาลงทุน  ค่าใช้จ่ายของผู้ที่มารับบริการเพิ่มมากขึ้น ราคาสูงขึ้น   ถึงขั้นใครไม่สามารถจ่ายตามเกณฑ์ก็ไม่สามารถมารับบริการจากองค์กรฯได้   ความสำเร็จวัดกันที่รายได้   วัดกันที่จำนวนคนที่มารับบริการ   วัดกันที่ความทันสมัยของเครื่องไม้เครื่องมือ   วัดกันที่อาคารทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น   และอีกตัวหนึ่งคือวัดกันที่จำนวนเงินที่ส่งไปบำรุงส่วนกลางขององค์กรฯ

น่าสังเกตว่า  สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่สูญหายไปในองค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนที่กลายพันธ์คือ   พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระคริสต์   เพราะถูกแทนที่ด้วยเป้าหมายทางธุรกิจ   ดังนั้น  องค์กรฯ เหล่านี้จึงละเลย หรือ ทำเป็นหลงลืม  และที่สำคัญคือหลีกเลี่ยงที่จะกระทำตามคำประกาศแห่งพระเจตนารมณ์ของพระเยซูคริสต์(ถ้อยแถลงแห่งนาซาเร็ธ)ในการเสด็จมาในโลกนี้ว่า  

“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจำจอง
และให้คนตาบอดได้มองเห็น
ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่
ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลูกา 4:18-19)

คนทำงานในองค์กรศาสนาแบบคริสตชนจำนวนมากสนใจที่จะทำรายได้ขององค์กรให้สูง   เพื่อตนจะได้รับโบนัสกลางปี ปลายปี ที่มากขึ้น   วิธีคิด มุมมองและระบบคุณค่าของคนทำงานในองค์กรฯ เหล่านี้   เห็นว่าโบนัสนั้นมีคุณค่ามากกว่าชีวิตของคนที่มารับบริการ   มากกว่าชีวิตของคนเจ็บคนป่วยที่มาขอ(ทาน)ความช่วยเหลือเยียวยารักษา   มากกว่าเด็กข้างถนนที่ไม่ได้เรียนหนังสือและไม่มีใครเหลียวแล  และที่ร้ายกว่านั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย

พระเยซูคริสต์ประกาศเป้าประสงค์ของพระองค์ว่า  “เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ชีวิต  และจะได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10)   พระองค์สละชีวิตเพื่อคนทั้งหลายจะได้ชีวิต   พระองค์มิได้สละชีวิตเพื่อปกป้องความอยู่รอดขององค์กร   พันธกิจของพระเยซูคริสต์มิใช่พระราชกิจด้านการแพทย์ การพยาบาล การศึกษา  และสังคมสงเคราะห์  สังคมบริการ  แต่พระราชกิจของพระคริสต์เป็นพระราชกิจในการช่วยกอบกู้และการเสริมสร้างชีวิต   เป็นพระราชกิจแห่งชีวิต   พระองค์ให้ชีวิตเพื่อคนอื่นจะได้ชีวิต

คงต้องกระซิบถามว่า  แล้วองค์กรเอกชนศาสนาแบบคริสตชนในประเทศไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางไหนขององค์กร?   กำลังเดินไปสู่เป้าหมายปลายทางใด?   จริงๆ แล้วองค์กรฯเหล่านี้ยังยินดีมีพระคริสต์อยู่ในงานที่เขาทำหรือไม่?   เขาบอกปัด หรือ ปฏิเสธการเคียงข้างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ เฉยเมยต่อพระองค์ไปนานแค่ไหนแล้ว?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499


[1] ความเชื่อ:  เป็นเรื่องของความนึกคิดและจิตใจ   ที่ยอมรับว่าเรื่องนั้นสิ่งนี้เป็นจริงอย่างที่ตนเชื่อ แล้วคนๆ นั้นนำใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการคิด การตัดสินใจ  และการกระทำ     ความเชื่อมักมีเป้าหมายปลายทางที่ความคาดหวังว่าจะ “ได้รับ” สิ่งนั้นสิ่งนี้แม้ยังไม่เห็นปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม
ความศรัทธา:เป็นเรื่องของการไว้วางใจและการอุทิศตน   ความศรัทธามักเกิดขึ้นจากการที่คนๆ นั้นได้รับประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ   ทั้งประสบการณ์ตรงหรือประสบการณ์อ้อม   ความศรัทธาที่เติบโตในชีวิตของผู้คนมักนำคนนั้นไปสู่ “การให้”  หรือ การอุทิศตน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอุทิศตนต่อบุคคลหรือสิ่งที่ตน “ศรัทธา”  พร้อมที่จะดำเนินชีวิตตามเป้าประสงค์ของผู้ที่ตนศรัทธานั้น  เช่น  คริสตชนอุทิศตนหรืออุทิศชีวิตนี้เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน  เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น