21 พฤศจิกายน 2555

งานนี้ไม่ต้องมี(ใบ)ปริญญาเอก!


อ่านกิจการ 4:13-17

มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่ตนกระทำเกี่ยวกับ “ธุรกิจปริญญาบัตร” กับพวกที่คิดว่าชีวิตนี้สำคัญเมื่อมีใบ “ปริญญา” ค้ำชีวิต   คนทั้งสองพวกนี้  ใจลึกๆต้องการสร้างคุณค่า ความสำคัญ และผลประโยชน์เพื่อตนเอง   โดยการหลอกตนเองและลวงคนอื่น   หลอกตนเองว่าปริญญาคือเครื่องค้ำประกันความสำคัญในชีวิตของตนเองตามกระแสสังคมประโยชน์ส่วนตนนิยม   เพื่อนำไป “เกทับ” คนอื่น   นำไปเป็น “บันได” ไต่สู่ตำแหน่งในสังคมชุมชนของตน   นำมาเป็น “หน้าตา” ของตนเองในสังคม  เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล   คนกลุ่มนี้มักหลงผิดคิดพลาดว่า “สถานภาพ  ตำแหน่ง  ปริญญา” คือสิ่งที่ส่งเสริมมาคู่กับการเป็น “ผู้นำ”   แต่การเป็นผู้นำเพราะมีตำแหน่ง หรือ มี(ใบ)ปริญญาค้ำบารมี   นั่นเป็นเพียงบันไดขั้นแรกของการเป็นผู้นำ   เป็นผู้นำระดับเตรียมอนุบาล   หรือตามภาษาวัยรุ่นปัจจุบันว่า ผู้นำแบบ “เบเบ หรือ ชิวชิว” ครับ

“เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น  และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญก็อัศจรรย์ใจ   แล้วจำได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” 
(กิจการ 4:13 ฉบับมาตรฐาน)

ใบประกาศนียบัตร หรือ ปริญญาบัตร (ระดับไหนก็ตาม) มิใช่เครื่องค้ำประกันว่า ผู้นั้นจะประสบความสำเร็จในชีวิต หรือ ในการประกอบอาชีพการงาน   หรือเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานอาชีพและงานรับใช้ในชีวิตของคริสตชน

เมื่อคนทั้งหลายเห็นชีวิตและการทำงานรับใช้ของเปโตร และ ยอห์น   สิ่งแรกที่ทำให้คนทั้งหลายต้องแปลกใจคือทั้งสอง “ขาดการศึกษา” (อันนี้ไม่ต้องไปพูดว่ามีใบปริญญาหรือไม่ หรือได้ใบปริญญามาอย่างไร  เป็นปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัย “ห้องแถว” หรือเปล่า)   คนทั้งหลายรู้ว่า ทั้งสองเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ   มิได้มีตำแหน่งสำคัญอะไรเลย   แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งหลายในกรุงเยรูซาเล็มถึงบางอ้อคือ   เขาระลึกได้ว่า “ทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซูคริสต์มาก่อน”   ทั้งสองเคยใช้ชีวิตกับพระเยซูคริสต์ และพระองค์ได้เสริมสร้าง ฝึกฝน และเปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งสองใหม่  ให้เป็นชีวิตใหม่ในพระคริสต์  

ชีวิตใหม่ในพระคริสต์จะสร้างความแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจแก่ผู้คนที่พบเห็นครับ!

มิใช่เพียงแค่นี้เท่านั้นครับ   พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเยรูซาเล็ม  และได้นำผู้คนจำนวนนับพันมารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย

“การประกาศพระวจนะของพระเจ้าก็เจริญขึ้น  และจำนวนสาวกก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในกรุงเยรูซาเล็ม  และปุโรหิตจำนวนมากก็มาเชื่อถือ” (กิจการ 6:7 ฉบับมาตรฐาน)

“กรุงเยรูซาเล็ม” ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงด้วยงานการรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากพวกสาวกของพระคริสต์   ที่เป็นปุถุชนคนสามัญธรรมดาอย่างเราท่าน   พวกเขาบ้างเป็นชาวประมง  คนเก็บภาษี เกษตรกร  งานช่าง และ ฯลฯ   ที่สำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่ที่พวกเขามีอาชีพอะไร  มีการศึกษาแค่ไหน   แต่อยู่ที่สาวกแต่ละคนมุ่งมั่นตั้งใจอุทิศชีวิตถวายตัวแด่พระคริสต์ ด้วยความกล้าหาญกล้าเสี่ยงต่างหาก   (พวกเขามิได้มัวแต่ไปกราบไหว้รูปเคารพในรูปแบบต่างๆ เช่น  ตำแหน่ง  ปริญญา  ฐานะในสังคม  เงินทอง  หรือการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากงานพันธกิจที่รับผิดชอบ หรือใช้ความเก่งกาจทางวาทศิลป์ในการแสวงหาสิ่งที่ตนปรารถนา) 

ตรงกันข้าม   สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้นต่างจากสถานการณ์ในคริสตจักรของเราในปัจจุบันคือ   ผู้เชื่อใหม่ในกรุงเยรูซาเล็มได้ขายทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนเพื่อนำมาจุนเจือช่วยเหลือคนที่มีความจำเป็นต้องการ (กิจการ 2:45)   แม่หม้ายในกรุงเยรูซาเล็มเวลานั้นได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากสาวกและผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์   พวกเขาไม่ถูกละเลยทอดทิ้งต่อไป   พวกเขาได้รับการแบ่งปันอาหารสิ่งจำเป็นเป็นประจำทุกวัน (กิจการ 6:1)

บริเวณเฉลียงซาโลมอนของพระมหาวิหารเยรูซาเล็มกลายเป็นที่นมัสการพระเจ้าของผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ในสมัยเริ่มแรก (กิจการ 5:12-14)   แม้ว่าผู้คนรอบข้างจะกล้าๆกลัวๆที่จะเข้ามาร่วมในการนมัสการกับพวกที่เชื่อก็ตาม   สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ “ประชาชนเคารพพวกเขามาก”   แต่ในที่สุดก็มีผู้คนมาเชื่อและเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์มากขึ้นกว่าเดิม   บริเวณเฉลียง  บนทางเดินกลายเป็นพื้นที่ที่พวกสาวกใช้ในการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์   เป็นพื้นที่ในการวางมือรักษาโรคแก่บรรดาผู้เจ็บป่วย   ข่าวแพร่สะพัด คนที่อยู่นอกเมืองเยรูซาเล็มก็เข้ามาร่วม  และพาคนเจ็บป่วย  คนผีเข้ามารับการรักษาจากสาวก (ข้อ 15-16)

กรุงเยรูซาเล็มที่ครั้งหนึ่งพระคริสต์ทอดพระเนตรกรุงนี้ด้วยความสงสารและต้องหลั่งน้ำตาเพื่อกรุงนี้   แต่ ณ วันนี้ถูกพลิกฟื้นเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นกรุงแห่งความชื่นชมยินดีของบรรดาคนยากคนจน คนธรรมดา  คนเจ็บป่วย  และคนผีเข้า (ลูกา 19:41)

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นเพราะมีเพียงคนบางคนเรียนรู้ตระหนักชัดถึงการทรงเรียกของพระเยซูคริสต์   พวกเขาไม่ใช่นักวิชาการ   ไม่ใช่นักตีความพระคัมภีร์หรือธรรมบัญญัติ   พวกเขาไม่ใช่พระ ปุโรหิต  ศาสนาจารย์ หรือ ศิษยาภิบาล   พวกเขาเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่มีชีวิตและประกอบอาชีพตามความสามารถและของประทานจากพระเจ้าอย่างเราท่าน   แต่ที่สำคัญคือแต่ละคนในพวกนี้มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวัน   และที่สำคัญที่สุดคือ   คนเหล่านี้มีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในชีวิตของตน   เขาคิด  เขาตัดสินใจ  และเขากระทำ ดำเนินชีวิตตามอย่างพระคริสต์ตามพระประสงค์ของพระองค์  

เขามีชีวิตและทำงานประจำวันเพื่อพระคริสต์!

ให้เรามีชีวิตในวันนี้ด้วยความชื่นชมยินดีในการรับใช้พระคริสต์   ท่ามกลางชีวิต การงานและอาชีพที่เราทำ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
e-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-289 4499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น