ท่านเคยมองย้อนหลังถึงเหตุการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดในชีวิตของท่านจากอดีตที่ผ่านมาและเกิดคำถามคลางแคลงใจหรือไม่ว่า... ในเหตุการณ์นั้นพระเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน?
พระองค์ยังสนใจในความเจ็บปวดของฉันหรือไม่? ทำไมพระองค์ไม่มาช่วยฉันในเวลาวิกฤติเช่นนั้น? นี่เป็นพระเจ้าแบบไหนนะที่ปล่อยให้ฉันต้องฝ่าฟันกับความเลวร้ายเช่นนั้นด้วยตนเอง?
เป็นการง่ายและธรรมดาเหลือเกินครับที่สุชาดาจะถามคำถามเช่นนั้นจากใจเมื่อชีวิตทุกข์ยากลำบาก แทนที่เธอจะออกปากสรรเสริญพระเจ้า เธอน่าจะโกรธเคืองที่ตนได้รับความเจ็บปวดในชีวิต
แทนที่เธอจะเห็นการทรงปกป้องและการทรงจัดเตรียมจากพระเจ้า เธอน่าจะเห็นแต่การลงโทษจากพระองค์
ในสายตาของผู้คนรอบข้างต่างมองว่า ชีวิตของเธอถูกทิ้งขว้างตั้งแต่วัยเด็ก
เธอมีประสบการณ์ชีวิตท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย เธออยู่ในครอบครัวที่ผลิตยาเสพติด
เธอต้องทนทุกข์กับการถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ เธอต้องหาเลี้ยงชีพเอาตัวรอดด้วยตนเอง ยิ่งกว่านั้นเธอยังต้องคุ้ยหาเศษอาหารจากกองขยะเพื่อเลี้ยงชีพตนเองและน้องๆ
แม้เธอต้องใช้ชีวิตเป็นเหมือนเศษเดนของสังคม แต่เธอกลับเติบโตขึ้นโดยรู้ว่าพระเจ้าทรงเห็นถึงจิตใจดวงน้อยของเธอ
และทรงตระเตรียมชีวิตของเธอและพันธกิจสำหรับชีวิตของเธอ
พระเจ้าทรงเห็นความเป็นไปในชีวิตของท่าน
พระคัมภีร์บอกกับเราว่าไม่มีสิ่งใดในชีวิตของเราที่พระเจ้ามิได้สนใจและเอาใจใส่ และพระองค์มีความปรารถนาที่จะให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ดีที่สุด
จากประสบการณ์การทำพันธกิจกับสตรีเกือบ
30
ปีของผู้เขียนหนังสือเรื่อง When a Women Overcomes Life’s Hurt (ขออนุญาตแปลเล่นๆว่า
“เมื่อแม่หญิงเอาชนะความเจ็บปวดในชีวิต”) เขียนโดย Cindi McMenamin เธอได้พบว่า
ในกระบวนการเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตของสตรีที่ได้รับบาดแผลและความเจ็บปวดในชีวิตเพื่อจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนครบ ประการสำคัญยิ่งคือ
ต้องช่วยให้สตรีคนนั้นรู้เท่าทันและปฏิเสธความคิดที่หลอกลวงที่ว่า พระเจ้าไม่ทรงสนพระทัยในบาดแผลและประสบการณ์ที่เจ็บปวดของพวกเธอ
เป็นการง่ายมากที่ท่านจะเชื่อว่าพระเจ้าไม่สนพระทัยท่าน
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีประสบการณ์ความเจ็บปวดในชีวิต
แต่ให้เราค้นหาเจาะลึกในพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียด เราพบพระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างใกล้ชิดเรา ทรงรู้จักและคุ้นเคยในทุกสถานการณ์ชีวิตของเราเป็นอย่างดี แท้จริงแล้ว
หลายๆสถานการณ์ในชีวิตของผู้เขียนหนังสือ
และเรื่องราวชีวิตของสตรีที่เธอทำพันธกิจด้วย เธอพบว่า
พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทรงปกป้องและประเล้าประโลมสตรีเหล่านั้น
แม้เธอเหล่านั้นจะต้องรับความเจ็บปวดและต้องทนสู้ในสถานการณ์ชีวิต
ถ้าท่านมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า
พระเจ้ามิได้อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของท่าน
หรือพระองค์ไม่สนใจและเอาใจใส่ชีวิตที่เจ็บปวดของท่าน ขอโปรดพิจารณาจากพระธรรมสดุดีบทที่ 139
พระเจ้าทรงตรวจสอบจิตใจของเรา มิใช่เพื่อค้นหาความผิดบาปของเรา แต่เพื่อพระองค์จะทรงรู้จักชีวิตทั้งหมดของเรา (ข้อ 1)
พระเจ้าทรงทราบถึงทุกเหตุการณ์ในชีวิตของเรา ทรงรู้ถึงการตื่นขึ้นในยามเช้า รู้ชัดประจักษ์แจ้งในความคิดของเรา และก่อนที่ความคิดจะเกิดขึ้นกับเราเสียอีก มิใช่ทรงสังเกตเห็นท่านเท่านั้น แต่ทรงดูแลท่านตลอดเวลา (ข้อ 2-4)
พระองค์ทรงโอบล้อมเพื่อปกป้องชีวิตของเรา แท้จริงแล้วพระองค์ทรงสัมผัสชีวิตของเรา (ข้อ 5)
ไม่ว่าท่านจะไป ณ
แห่งหนตำบลใด
ท่านอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์
ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนพระองค์ทรงอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ถ้าจะใช้สำนวนปัจจุบันเราอาจจะกล่าวได้ว่า พระเจ้าติดสนิทใกล้ชิดเราอย่างปาท่องโก๋ พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เราต้องพรากไปจากพระองค์
(ข้อ 7-12)
ใช่แล้ว พระเจ้าทรงอยู่กับท่านในที่ที่ท่านอยู่ พระองค์ไม่ละท่านไปจากสายพระเนตรของพระองค์
แล้วการทรงช่วยเหลืออยู่ที่ไหน?
เอาล่ะ เมื่อพระเจ้าอยู่เคียงข้างใกล้ชิดเราตลอดในทุกๆ
ที่ที่เราไป
แล้วยังทรงประจักษ์แจ้งทุกย่างก้าวในชีวิต แต่ทำไมพระเจ้าถึงยังนิ่งเฉย
ปล่อยความความเจ็บปวดในชีวิตจู่โจมจนชีวิตของเราต้องวุ่นวายโกลาหล?
เรารู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ชีวิต
ทรงมีพระประสงค์เบื้องหลังความเจ็บปวดในชีวิตของเรา และทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างให้ชีวิตของเราให้เป็นพระพรสำหรับคนอื่น
ให้เราลองพิจารณาเหตุการณ์เดียวกันนี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง จะเป็นอย่างไรถ้าพระเจ้าทรงปกป้องท่านในสถานการณ์นั้นแต่ท่านไม่สามารถรู้เท่าทันถึงการทรงปกป้องของพระองค์?
แล้วความเจ็บปวดในชีวิตก็ได้รับการปกป้องไม่ต้องเกิดความเจ็บปวดมากมายอย่างที่เกิดขึ้นจริงนั้น?
สุชาดามิได้ติดยึดกับการต่อว่าพระเจ้าว่า พระเจ้าไม่รับผิดชอบต่อชีวิตที่เธอเติบโตมา
แต่เมื่อเธอมองย้อนหลังสถานการณ์ชีวิตของเธอที่ผ่านมาเธอเห็นถึงการทรงปกป้องของพระเจ้า มากกว่าการทรงละเลยไม่เอาใจใส่ของพระองค์
เมื่อตอนที่เธอเป็นวัยรุ่นต้องดูแลเอาใจใส่น้องๆ
ของเธอ บ่ายวันหนึ่ง ได้มีคนแปลกหน้าเข้ามายังบ้านของเธอ โดยปกติก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาบ้านบ่อยๆ เพื่อซื้อยาเสพติด
แต่เธอรู้ว่าคนแปลกหน้าคนนี้ไม่ใช่มาอย่างคนทั่วไป เมื่อคนแปลกหน้าใช้สายตามองมาที่เธอ แล้วถามแม่ของเธอว่า “เท่าไหร่?”
ทันทีสุชาดารู้ว่าอันตรายกำลังเข้าใกล้ตัว เธอรีบไล่น้องๆ ของเธอหนีเข้าไปซ่อนตัวในห้องเก็บของที่อยู่หลังบ้าน แล้วบอกน้องๆทุกคนว่า
“เราจำเป็นต้องอธิษฐานแล้ว”
สุชาดาเริ่มอธิษฐานทูลขอพระเจ้า “พระเจ้า
ขอช่วยอย่าให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเลย”
เธอไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
แต่เธอรู้สึกว่าสิ่งน่ากลัวและความร้ายกาจครอบงำหัวใจของเธอ ยิ่งทำให้เธออธิษฐานทูลขอการทรงปกป้องจากพระเจ้าสำหรับตัวเธอ
เมื่อเธอและน้องๆ ของเธออธิษฐานและเรียกขอพระเยซูให้ช่วย
เธอเริ่มรู้สึกเกิดความสงบและสันติขึ้นในจิตใจ เธอเกิดความมั่นใจในพระเจ้า ด้วยความเชื่อ เธอเดินออกจากห้องเก็บของ เข้ามายังห้องที่แม่และคนแปลกหน้านั่งรอ แต่เมื่อสุชาดามองไปที่ชายแปลกหน้าคนนั้น
และสบสายตาเขาอีกครั้งหนึ่ง
คนแปลกหน้าคนนั้นวิ่งหนีออกไปจากบ้านและไม่เคยกลับมาอีกเลย
สุชาดาบอกว่า
“...พระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก” (เธออ้างมาจาก 1ยอห์น 4:4 อมตธรรม) เธอยืนยันว่าพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเธอที่ทำให้คนแปลกหน้าคนนั้นที่ต้องการกระทำร้ายต่อเธอต้องวิ่งแจ้นออกไปจากบ้าน “ความเชื่อของฉันยังไม่เติบโตเข้มแข็ง ไม่มีใครสอนฉันถึงพระวจนะของพระเจ้า
หรือให้การบ่มเพาะฟูมฟักให้ฉันเติบโตขึ้นเป็นสาวกของพระคริสต์ แต่ที่ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ฉันเรียนรู้จากชั้นเรียนพระคัมภีร์ภาคฤดูร้อนเท่านั้น
แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับฉันและฉันสามารถร้องเรียกพระองค์ให้ช่วยได้”
หลังจากที่คนแปลกหน้าคนนั้นวิ่งแจ้นหนีออกไปจากบ้านของสุชาดา
สักพักหนึ่งเธอเกิดความสับสนและเสียใจแล้วเริ่มร้องไห้ “ตอนนั้นฉันสับสนมาก ฉันสั่นกลัวไปทั้งตัว ฉันไม่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ฉันวิ่งไปที่ห้องเก็บของเพื่อตรวจดูว่า น้องๆ ของฉันอยู่ปลอดภัยหรือไม่ พวกเขาทั้งห้าคนนอนหลับ ฉันเลยเข้าไปอีกห้องหนึ่งพบว่า
แม่ของฉันและพ่อเลี้ยงก็หลับสนิทด้วย
พระเจ้าทรงเป็นผู้วางพระหัตถ์ของพระองค์เหนือคนเหล่านี้ “พวกเขาหลับสนิท”
สุชาดากล่าวว่า “ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือว่า พระเจ้าทรงเข้ามาควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด” แทนที่เธอจะต่อว่าพระเจ้าว่า ทำไมถึงให้สถานการณ์เลวๆ อย่างนี้เกิดขึ้น เธอกลับสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงปกป้องเธอและน้องๆ จากเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นรุนแรงกว่านี้มากมาย
พระวจนะของพระเจ้าทรงสัญญาว่า พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งหรือละทิ้งเรา เพราะแม้เราจะอยู่ที่ไหน พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นั่นแล้ว (ฮีบรู 13:5; สดุดี 139:7-11) ดังนั้น พระเจ้าทรงอยู่ที่นี่เพื่อท่าน บางครั้งท่านอาจจะลืมเหตุการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อที่ล่อแหลมที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ท่านจึงมิได้ตระหนักรู้ว่าในเหตุการณ์นั้นน่าจะมีสิ่งเลวร้ายรุนแรงเกิดขึ้นกว่านั้น ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถเห็นถึงการทรงปกป้องของพระเจ้า
สิ่งที่เราไม่สามารถจะปฏิเสธได้คือ
พระเจ้าทรงเอาใจใส่ชีวิตของเรา
พระองค์ทรงรู้ดีเสมอว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ ที่ทรงอนุญาตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน และพระองค์ทรงอยู่ในเหตุการณ์นั้นพร้อมที่จะช่วยกอบกู้ท่านในความเจ็บปวดในชีวิตเพื่อให้เกิดสิ่งดีที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ท่านคาดหรือจินตนาการได้
ให้เราคิดทบทวนถึงสิ่งที่เคยทำให้เราต้องเจ็บปวดในชีวิต และสิ่งนั้นได้ทำให้เกิดสิ่งดีในชีวิตปัจจุบันนี้ของเรา และเราอาจจะกล่าวกับตนเองว่า
“พระเจ้าอยู่ที่นั่นจริงๆ
พระองค์อยู่เพื่อเอาใจใส่และดูแลชีวิตฉัน
และพระองค์ยังคงกระทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปในชีวิตของฉัน”
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น