02 พฤศจิกายน 2555

ความเจ็บปวดในชีวิต (3): แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหน?


ท่านเคยมองย้อนหลังถึงเหตุการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดในชีวิตของท่านจากอดีตที่ผ่านมาและเกิดคำถามคลางแคลงใจหรือไม่ว่า...  ในเหตุการณ์นั้นพระเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน?   พระองค์ยังสนใจในความเจ็บปวดของฉันหรือไม่?   ทำไมพระองค์ไม่มาช่วยฉันในเวลาวิกฤติเช่นนั้น?   นี่เป็นพระเจ้าแบบไหนนะที่ปล่อยให้ฉันต้องฝ่าฟันกับความเลวร้ายเช่นนั้นด้วยตนเอง?

เป็นการง่ายและธรรมดาเหลือเกินครับที่สุชาดาจะถามคำถามเช่นนั้นจากใจเมื่อชีวิตทุกข์ยากลำบาก   แทนที่เธอจะออกปากสรรเสริญพระเจ้า  เธอน่าจะโกรธเคืองที่ตนได้รับความเจ็บปวดในชีวิต  แทนที่เธอจะเห็นการทรงปกป้องและการทรงจัดเตรียมจากพระเจ้า   เธอน่าจะเห็นแต่การลงโทษจากพระองค์

ในสายตาของผู้คนรอบข้างต่างมองว่า  ชีวิตของเธอถูกทิ้งขว้างตั้งแต่วัยเด็ก   เธอมีประสบการณ์ชีวิตท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย   เธออยู่ในครอบครัวที่ผลิตยาเสพติด  เธอต้องทนทุกข์กับการถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ   เธอต้องหาเลี้ยงชีพเอาตัวรอดด้วยตนเอง   ยิ่งกว่านั้นเธอยังต้องคุ้ยหาเศษอาหารจากกองขยะเพื่อเลี้ยงชีพตนเองและน้องๆ   แม้เธอต้องใช้ชีวิตเป็นเหมือนเศษเดนของสังคม   แต่เธอกลับเติบโตขึ้นโดยรู้ว่าพระเจ้าทรงเห็นถึงจิตใจดวงน้อยของเธอ  และทรงตระเตรียมชีวิตของเธอและพันธกิจสำหรับชีวิตของเธอ

พระเจ้าทรงเห็นความเป็นไปในชีวิตของท่าน

พระคัมภีร์บอกกับเราว่าไม่มีสิ่งใดในชีวิตของเราที่พระเจ้ามิได้สนใจและเอาใจใส่   และพระองค์มีความปรารถนาที่จะให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ดีที่สุด

จากประสบการณ์การทำพันธกิจกับสตรีเกือบ 30 ปีของผู้เขียนหนังสือเรื่อง When a Women Overcomes Life’s Hurt  (ขออนุญาตแปลเล่นๆว่า “เมื่อแม่หญิงเอาชนะความเจ็บปวดในชีวิต”) เขียนโดย Cindi McMenamin เธอได้พบว่า   ในกระบวนการเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตของสตรีที่ได้รับบาดแผลและความเจ็บปวดในชีวิตเพื่อจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนครบ   ประการสำคัญยิ่งคือ  ต้องช่วยให้สตรีคนนั้นรู้เท่าทันและปฏิเสธความคิดที่หลอกลวงที่ว่า  พระเจ้าไม่ทรงสนพระทัยในบาดแผลและประสบการณ์ที่เจ็บปวดของพวกเธอ

เป็นการง่ายมากที่ท่านจะเชื่อว่าพระเจ้าไม่สนพระทัยท่าน  ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีประสบการณ์ความเจ็บปวดในชีวิต   แต่ให้เราค้นหาเจาะลึกในพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียด   เราพบพระคัมภีร์บอกเราว่า   พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างใกล้ชิดเรา  ทรงรู้จักและคุ้นเคยในทุกสถานการณ์ชีวิตของเราเป็นอย่างดี   แท้จริงแล้ว   หลายๆสถานการณ์ในชีวิตของผู้เขียนหนังสือ  และเรื่องราวชีวิตของสตรีที่เธอทำพันธกิจด้วย   เธอพบว่า   พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทรงปกป้องและประเล้าประโลมสตรีเหล่านั้น   แม้เธอเหล่านั้นจะต้องรับความเจ็บปวดและต้องทนสู้ในสถานการณ์ชีวิต

ถ้าท่านมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า  พระเจ้ามิได้อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของท่าน  หรือพระองค์ไม่สนใจและเอาใจใส่ชีวิตที่เจ็บปวดของท่าน   ขอโปรดพิจารณาจากพระธรรมสดุดีบทที่  139

พระเจ้าทรงตรวจสอบจิตใจของเรา  มิใช่เพื่อค้นหาความผิดบาปของเรา  แต่เพื่อพระองค์จะทรงรู้จักชีวิตทั้งหมดของเรา  (ข้อ 1)

พระเจ้าทรงทราบถึงทุกเหตุการณ์ในชีวิตของเรา   ทรงรู้ถึงการตื่นขึ้นในยามเช้า  รู้ชัดประจักษ์แจ้งในความคิดของเรา  และก่อนที่ความคิดจะเกิดขึ้นกับเราเสียอีก   มิใช่ทรงสังเกตเห็นท่านเท่านั้น   แต่ทรงดูแลท่านตลอดเวลา  (ข้อ 2-4)

พระองค์ทรงโอบล้อมเพื่อปกป้องชีวิตของเรา   แท้จริงแล้วพระองค์ทรงสัมผัสชีวิตของเรา (ข้อ 5)

ไม่ว่าท่านจะไป ณ แห่งหนตำบลใด   ท่านอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์   ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนพระองค์ทรงอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว   ถ้าจะใช้สำนวนปัจจุบันเราอาจจะกล่าวได้ว่า  พระเจ้าติดสนิทใกล้ชิดเราอย่างปาท่องโก๋ พระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เราต้องพรากไปจากพระองค์ (ข้อ 7-12)

ใช่แล้ว   พระเจ้าทรงอยู่กับท่านในที่ที่ท่านอยู่   พระองค์ไม่ละท่านไปจากสายพระเนตรของพระองค์

แล้วการทรงช่วยเหลืออยู่ที่ไหน?

เอาล่ะ  เมื่อพระเจ้าอยู่เคียงข้างใกล้ชิดเราตลอดในทุกๆ ที่ที่เราไป   แล้วยังทรงประจักษ์แจ้งทุกย่างก้าวในชีวิต   แต่ทำไมพระเจ้าถึงยังนิ่งเฉย  ปล่อยความความเจ็บปวดในชีวิตจู่โจมจนชีวิตของเราต้องวุ่นวายโกลาหล?  

เรารู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ชีวิต   ทรงมีพระประสงค์เบื้องหลังความเจ็บปวดในชีวิตของเรา   และทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างให้ชีวิตของเราให้เป็นพระพรสำหรับคนอื่น  

ให้เราลองพิจารณาเหตุการณ์เดียวกันนี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง   จะเป็นอย่างไรถ้าพระเจ้าทรงปกป้องท่านในสถานการณ์นั้นแต่ท่านไม่สามารถรู้เท่าทันถึงการทรงปกป้องของพระองค์?   แล้วความเจ็บปวดในชีวิตก็ได้รับการปกป้องไม่ต้องเกิดความเจ็บปวดมากมายอย่างที่เกิดขึ้นจริงนั้น?

สุชาดามิได้ติดยึดกับการต่อว่าพระเจ้าว่า  พระเจ้าไม่รับผิดชอบต่อชีวิตที่เธอเติบโตมา   แต่เมื่อเธอมองย้อนหลังสถานการณ์ชีวิตของเธอที่ผ่านมาเธอเห็นถึงการทรงปกป้องของพระเจ้า  มากกว่าการทรงละเลยไม่เอาใจใส่ของพระองค์

เมื่อตอนที่เธอเป็นวัยรุ่นต้องดูแลเอาใจใส่น้องๆ ของเธอ   บ่ายวันหนึ่ง  ได้มีคนแปลกหน้าเข้ามายังบ้านของเธอ   โดยปกติก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาบ้านบ่อยๆ เพื่อซื้อยาเสพติด   แต่เธอรู้ว่าคนแปลกหน้าคนนี้ไม่ใช่มาอย่างคนทั่วไป   เมื่อคนแปลกหน้าใช้สายตามองมาที่เธอ  แล้วถามแม่ของเธอว่า “เท่าไหร่?”   ทันทีสุชาดารู้ว่าอันตรายกำลังเข้าใกล้ตัว   เธอรีบไล่น้องๆ ของเธอหนีเข้าไปซ่อนตัวในห้องเก็บของที่อยู่หลังบ้าน  แล้วบอกน้องๆทุกคนว่า “เราจำเป็นต้องอธิษฐานแล้ว”

สุชาดาเริ่มอธิษฐานทูลขอพระเจ้า  “พระเจ้า  ขอช่วยอย่าให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเลย”   เธอไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป   แต่เธอรู้สึกว่าสิ่งน่ากลัวและความร้ายกาจครอบงำหัวใจของเธอ   ยิ่งทำให้เธออธิษฐานทูลขอการทรงปกป้องจากพระเจ้าสำหรับตัวเธอ

เมื่อเธอและน้องๆ ของเธออธิษฐานและเรียกขอพระเยซูให้ช่วย   เธอเริ่มรู้สึกเกิดความสงบและสันติขึ้นในจิตใจ   เธอเกิดความมั่นใจในพระเจ้า   ด้วยความเชื่อ เธอเดินออกจากห้องเก็บของ  เข้ามายังห้องที่แม่และคนแปลกหน้านั่งรอ   แต่เมื่อสุชาดามองไปที่ชายแปลกหน้าคนนั้น และสบสายตาเขาอีกครั้งหนึ่ง  คนแปลกหน้าคนนั้นวิ่งหนีออกไปจากบ้านและไม่เคยกลับมาอีกเลย

สุชาดาบอกว่า  “...พระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก”  (เธออ้างมาจาก 1ยอห์น 4:4 อมตธรรม)   เธอยืนยันว่าพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเธอที่ทำให้คนแปลกหน้าคนนั้นที่ต้องการกระทำร้ายต่อเธอต้องวิ่งแจ้นออกไปจากบ้าน  “ความเชื่อของฉันยังไม่เติบโตเข้มแข็ง   ไม่มีใครสอนฉันถึงพระวจนะของพระเจ้า  หรือให้การบ่มเพาะฟูมฟักให้ฉันเติบโตขึ้นเป็นสาวกของพระคริสต์   แต่ที่ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ฉันเรียนรู้จากชั้นเรียนพระคัมภีร์ภาคฤดูร้อนเท่านั้น   แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับฉันและฉันสามารถร้องเรียกพระองค์ให้ช่วยได้”

หลังจากที่คนแปลกหน้าคนนั้นวิ่งแจ้นหนีออกไปจากบ้านของสุชาดา   สักพักหนึ่งเธอเกิดความสับสนและเสียใจแล้วเริ่มร้องไห้   “ตอนนั้นฉันสับสนมาก  ฉันสั่นกลัวไปทั้งตัว  ฉันไม่รู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ   ฉันวิ่งไปที่ห้องเก็บของเพื่อตรวจดูว่า น้องๆ ของฉันอยู่ปลอดภัยหรือไม่   พวกเขาทั้งห้าคนนอนหลับ   ฉันเลยเข้าไปอีกห้องหนึ่งพบว่า แม่ของฉันและพ่อเลี้ยงก็หลับสนิทด้วย

พระเจ้าทรงเป็นผู้วางพระหัตถ์ของพระองค์เหนือคนเหล่านี้  “พวกเขาหลับสนิท”

สุชาดากล่าวว่า  “ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือว่า  พระเจ้าทรงเข้ามาควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด”   แทนที่เธอจะต่อว่าพระเจ้าว่า  ทำไมถึงให้สถานการณ์เลวๆ อย่างนี้เกิดขึ้น   เธอกลับสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงปกป้องเธอและน้องๆ  จากเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นรุนแรงกว่านี้มากมาย

พระวจนะของพระเจ้าทรงสัญญาว่า   พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งหรือละทิ้งเรา  เพราะแม้เราจะอยู่ที่ไหน  พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นั่นแล้ว (ฮีบรู 13:5; สดุดี 139:7-11)   ดังนั้น  พระเจ้าทรงอยู่ที่นี่เพื่อท่าน   บางครั้งท่านอาจจะลืมเหตุการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อที่ล่อแหลมที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน    ท่านจึงมิได้ตระหนักรู้ว่าในเหตุการณ์นั้นน่าจะมีสิ่งเลวร้ายรุนแรงเกิดขึ้นกว่านั้น  ดังนั้นท่านจึงไม่สามารถเห็นถึงการทรงปกป้องของพระเจ้า

สิ่งที่เราไม่สามารถจะปฏิเสธได้คือ พระเจ้าทรงเอาใจใส่ชีวิตของเรา   พระองค์ทรงรู้ดีเสมอว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่  ที่ทรงอนุญาตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน   และพระองค์ทรงอยู่ในเหตุการณ์นั้นพร้อมที่จะช่วยกอบกู้ท่านในความเจ็บปวดในชีวิตเพื่อให้เกิดสิ่งดีที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ท่านคาดหรือจินตนาการได้

ให้เราคิดทบทวนถึงสิ่งที่เคยทำให้เราต้องเจ็บปวดในชีวิต   และสิ่งนั้นได้ทำให้เกิดสิ่งดีในชีวิตปัจจุบันนี้ของเรา   และเราอาจจะกล่าวกับตนเองว่า “พระเจ้าอยู่ที่นั่นจริงๆ   พระองค์อยู่เพื่อเอาใจใส่และดูแลชีวิตฉัน   และพระองค์ยังคงกระทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปในชีวิตของฉัน”

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น