อ่านพระธรรมสดุดี 12:1-8
“ข้าแต่พระยาเวห์
ขอทรงช่วยด้วยเถิด
เพราะผู้จงรักภักดีไม่มีอีกแล้ว
เพราะคนสัตย์ซื่อได้อันตรธานไปจากมนุษย์ทั้งหลาย...”
(สุดดี 12:1 ฉบับมาตรฐาน)
“คนชอบธรรมตายจากไป แต่ไม่มีผู้ใดใส่ใจ
คนสัตย์ซื่อถูกเอาไปเสีย โดยไม่มีใครเข้าใจ...”
(อิสยาห์ 57:1 ฉบับมาตรฐาน)
พระธรรมสดุดี บทที่ 12
เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสถานการณ์ความร้ายกาจของวัฒนธรรมที่มุ่งเอาชนะด้วยการทำร้ายทำลายกันให้สิ้นซาก ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “...ขอช่วยด้วยเถิด เพราะผู้จงรักภักดีไม่มีอีกแล้ว(ไม่เหลืออีกแล้ว)
เพราะคนสัตย์ซื่อได้อันตรธาน(ถูกขจัดหมดสิ้น)ไปจากมนุษย์ทั้งหลาย” (ข้อ 1 ในวงเล็บผู้เขียนเติมเอง)
ผู้เขียนสดุดีได้บรรยายให้เห็นถึงคนสัตย์ซื่อ
และ คนจงรักภักดี
ถูกกระทำจากคนชั่วร้ายด้วยความรุนแรงอย่างไม่มีทางป้องกันตนเองได้ พวกเขาถูกกล่าวร้ายจากคนชั่วด้วย...
“...คำมุสา...กล่าวด้วยริมฝีปากที่ป้อยอและด้วยใจที่หลอกลวง”
(ข้อ 2)
“...เราจะเอาชนะด้วยลิ้นของเรา...” (ข้อ 3)
ผู้เขียนสดุดีได้บรรยายสภาพสังคมในเวลานั้นว่า
“คนอธรรมก็เพ่นพ่านไปมาอยู่รอบด้าน ขณะเมื่อมนุษย์ทั้งหลายพากันยกย่องความชั่วช้า”
(ข้อ 8)
สังคมตกอยู่ในสภาพที่ถูกอำนาจแห่งความชั่วร้ายรูปแบบต่างๆ
ครอบงำและพันธนาการจึงดิ้นหลุดไม่ได้
ถึงขนาดที่ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าอะไรที่ถูกและผิดที่แท้จริงสำหรับสังคมและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ฟังๆ ดูเราก็คุ้นๆ กับสภาพสังคมเช่นนี้มิใช่หรือครับ? ผมหมายถึงสังคมที่เรียกตนเองว่า “สังคมคริสตชนด้วย!” ทั้งเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างสถานการณ์ต่างๆ ข้อเขียนในเฟสบุ๊คต่างๆ อีกทั้งเอกสารที่ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนเขียนใครเป็นคนส่ง
ที่พยายามแสดงตนว่ากระทำเพื่อความถูกต้องสัตย์จริง แต่เบื้องหลังที่มุ่งร้ายทำลายบางคน หรือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์บางอย่างเพื่อตนเอง มิใยจะต้องยกตัวอย่างหรือสาธยายถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่ถูกทับถมด้วยข่าวสารเลวร้ายโจมตีกันอย่างหนัก จนผมเห็นด้วยกับผู้เขียนสดุดีบอกว่า “...ผู้จงรักภักดีไม่มีอีกแล้ว คนสัตย์ซื่ออันตรธานไปจากมนุษย์ทั้งหลาย...”
(ข้อ 1)
สภาพความเลวร้ายเหล่านี้แผ่กระจายอย่างเชื้อโรคร้ายที่แทรกซึมบ่อนแซะเข้าไปในทุกวงการต่างๆ
ในสังคม แม้แต่การกีฬา การศึกษา
การศาสนา การแพทย์การพยาบาล การเมือง
การค้า
และครอบงำวิธีคิดของคนในทุกวงการ
แต่ที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งคือ
สิ่งเลวร้ายนี้มีอำนาจครอบงำแม้แต่ความคิด การตัดสินใจ และการกระทำของผู้นำศาสนาต่างๆ ศาสนาจารย์
ศิษยาภิบาล ผู้นำคริสตจักร สถาบันคริสเตียน ผู้ปกครองคริสตจักร มัคนายก และ ฯลฯ
สภาพการเช่นนี้ทำให้หลายต่อหลายความเกิดความสิ้นหวัง ทดท้อ
เมื่อสถานการณ์สังคมและชีวิตมนุษย์ทรุดเสื่อมย่ำแย่ลงเช่นนี้ หลายคนเลือกที่จะถอนตัวออกห่างจากสภาพที่เลวร้ายดังกล่าว
เพราะประเมินแล้วว่าตนเองไม่สามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือ
เข้าไปสู้รบปรบมือกับอำนาจชั่วช้าเหล่านั้น
ขออยู่ห่างๆ เงียบๆ ออกจากสภาพความกดดันดังกล่าว แต่สำหรับบางคนบางพวกก็ลุกขึ้นเยาะเย้ยถากถางการล้มลงพลาดท่าของคนที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับตน แต่ก็มีบางคนเลือกที่จะยืนหยัดบนความเชื่อ
เพื่อแก้ไขสิ่งผิดในสังคมบนรากฐานของศรัทธาและคริสต์จริยธรรม แต่ก็เป็นเหมือนเจ้ามดน้อยที่ยืนตระหง่านต่อหน้าภูเขาแห่งความชั่วร้ายมหึมาที่ขวางอยู่ตรงหน้า
เป็นที่ชัดเจนว่า พระวจนะของพระเจ้าต้องการให้คนของพระเจ้าเป็นเหมือนคนกลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มคนตั้งใจที่จะสร้างสิ่งแตกต่างในสังคมที่หลุดถลำลงในอำนาจบาปชั่ว แต่ในสดุดี 12:1 ชี้ชัดว่า
แต่จุดเริ่มต้นมิใช่ด้วยกำลังความสามารถของเราเอง แต่ด้วยการ “ทรงช่วยเหลือ” จากพระเจ้า และที่สำคัญคือ พระเจ้าจะไม่ได้นิ่งดูดายในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ เพราะเมื่อถึงเวลาของพระองค์ “เรา(พระเจ้า)จะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะคนยากจนถูกข่มเหง และ
คนขัดสนคร่ำครวญ
เราจะจัดให้เขาอยู่ในที่ปลอดภัยซึ่งเขาปรารถนาจะไปอยู่” (ข้อ 5)
สิ่งแรกที่เราควรกระทำเมื่อเผชิญหน้ากับการกระทำที่ชั่วร้ายคือ การร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า รากศัพท์ภาษาฮีบรูของคำว่า “ช่วย” ในข้อที่ 1 นั้น ส่วนแรกของคำนี้มาจากรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า
“โฮซันนา” ซึ่งแปลว่า
“โปรดมาช่วยด้วยเถิด”
สิ่งแรกที่เราต้องกระทำคือ
ร้องทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเรา
เป็นการตระหนักชัดว่า
พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงช่วยกู้มนุษย์ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายดังกล่าว
เมื่อเราหันหน้าเข้าหาพระเจ้า เพื่อทูลขอการทรงช่วยกู้จากพระองค์ พระองค์จะทรงเรียกเราให้มีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการทรงช่วยกู้ เพื่อกระทำให้สิ่งเลวร้ายกลับคืนสู่สภาพที่ถูกต้องและศานติ
แทนที่เราอาจจะด่วนใจร้อนกระโจนเข้าจัดการสถานการณ์ที่เลวร้ายตามกำลังความสามารถ
หรือ ตามความคิดความเห็นของเราเอง
แต่เราจะรอคอยการทรงเรียกจากพระองค์ให้เข้าร่วมในกระบวนการงานนี้ตามที่พระองค์ทรงเห็นเหมาะเห็นควร
แม้เราจะเข้าร่วมในพระราชกิจการทรงช่วยดังกล่าวตามการทรงเรียก
เราก็ไม่ได้เข้าร่วมตามกำลังความสามารถของเราเอง
แต่ด้วยกำลังและพลังชีวิตที่พระวิญญาณทรงกระทำกิจในชีวิตของเรา และทรงหนุนเสริมในการกระทำของเราทุกอย่าง
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. ท่านเคยสิ้นหวังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม และ
ในวงการคริสตจักร
อย่างที่เกิดขึ้นในสดุดี 12:1 หรือไม่?
2. ท่านทำอย่างไรเมื่อเกิดความสิ้นหวังตามข้อที่ 1?
3. พระเจ้าเคยทรงเรียกท่านให้เข้าร่วมในกระบวนการพระราชกิจของพระองค์ ในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดเลวร้ายให้ถูกต้องหรือไม่? อย่างไร?
4. พระเจ้าทรงชี้นำท่านในครั้งนั้นอย่างไรบ้าง?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น