17 พฤศจิกายน 2555

ทำอย่างไรดี...เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงทุกที?


อ่านพระธรรมสดุดี 12:1-8

“ข้าแต่พระยาเวห์  ขอทรงช่วยด้วยเถิด   เพราะผู้จงรักภักดีไม่มีอีกแล้ว
เพราะคนสัตย์ซื่อได้อันตรธานไปจากมนุษย์ทั้งหลาย...”
(สุดดี 12:1 ฉบับมาตรฐาน)

“คนชอบธรรมตายจากไป   แต่ไม่มีผู้ใดใส่ใจ
คนสัตย์ซื่อถูกเอาไปเสีย   โดยไม่มีใครเข้าใจ...”
(อิสยาห์ 57:1 ฉบับมาตรฐาน)

พระธรรมสดุดี บทที่ 12 เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสถานการณ์ความร้ายกาจของวัฒนธรรมที่มุ่งเอาชนะด้วยการทำร้ายทำลายกันให้สิ้นซาก  ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “...ขอช่วยด้วยเถิด   เพราะผู้จงรักภักดีไม่มีอีกแล้ว(ไม่เหลืออีกแล้ว)  เพราะคนสัตย์ซื่อได้อันตรธาน(ถูกขจัดหมดสิ้น)ไปจากมนุษย์ทั้งหลาย” (ข้อ 1 ในวงเล็บผู้เขียนเติมเอง)  

ผู้เขียนสดุดีได้บรรยายให้เห็นถึงคนสัตย์ซื่อ และ คนจงรักภักดี ถูกกระทำจากคนชั่วร้ายด้วยความรุนแรงอย่างไม่มีทางป้องกันตนเองได้  พวกเขาถูกกล่าวร้ายจากคนชั่วด้วย...

 “...คำมุสา...กล่าวด้วยริมฝีปากที่ป้อยอและด้วยใจที่หลอกลวง” (ข้อ 2)
“...เราจะเอาชนะด้วยลิ้นของเรา...” (ข้อ 3)

ผู้เขียนสดุดีได้บรรยายสภาพสังคมในเวลานั้นว่า 
“คนอธรรมก็เพ่นพ่านไปมาอยู่รอบด้าน   ขณะเมื่อมนุษย์ทั้งหลายพากันยกย่องความชั่วช้า” (ข้อ 8)
สังคมตกอยู่ในสภาพที่ถูกอำนาจแห่งความชั่วร้ายรูปแบบต่างๆ ครอบงำและพันธนาการจึงดิ้นหลุดไม่ได้  ถึงขนาดที่ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าอะไรที่ถูกและผิดที่แท้จริงสำหรับสังคมและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ฟังๆ ดูเราก็คุ้นๆ กับสภาพสังคมเช่นนี้มิใช่หรือครับ?   ผมหมายถึงสังคมที่เรียกตนเองว่า “สังคมคริสตชนด้วย!”   ทั้งเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างสถานการณ์ต่างๆ   ข้อเขียนในเฟสบุ๊คต่างๆ   อีกทั้งเอกสารที่ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนเขียนใครเป็นคนส่ง   ที่พยายามแสดงตนว่ากระทำเพื่อความถูกต้องสัตย์จริง   แต่เบื้องหลังที่มุ่งร้ายทำลายบางคน  หรือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์บางอย่างเพื่อตนเอง    มิใยจะต้องยกตัวอย่างหรือสาธยายถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่ถูกทับถมด้วยข่าวสารเลวร้ายโจมตีกันอย่างหนัก   จนผมเห็นด้วยกับผู้เขียนสดุดีบอกว่า “...ผู้จงรักภักดีไม่มีอีกแล้ว   คนสัตย์ซื่ออันตรธานไปจากมนุษย์ทั้งหลาย...” (ข้อ 1)

สภาพความเลวร้ายเหล่านี้แผ่กระจายอย่างเชื้อโรคร้ายที่แทรกซึมบ่อนแซะเข้าไปในทุกวงการต่างๆ ในสังคม   แม้แต่การกีฬา  การศึกษา  การศาสนา  การแพทย์การพยาบาล  การเมือง  การค้า  และครอบงำวิธีคิดของคนในทุกวงการ   แต่ที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งคือ  สิ่งเลวร้ายนี้มีอำนาจครอบงำแม้แต่ความคิด การตัดสินใจ  และการกระทำของผู้นำศาสนาต่างๆ  ศาสนาจารย์  ศิษยาภิบาล  ผู้นำคริสตจักร  สถาบันคริสเตียน  ผู้ปกครองคริสตจักร  มัคนายก และ ฯลฯ   สภาพการเช่นนี้ทำให้หลายต่อหลายความเกิดความสิ้นหวัง ทดท้อ

เมื่อสถานการณ์สังคมและชีวิตมนุษย์ทรุดเสื่อมย่ำแย่ลงเช่นนี้   หลายคนเลือกที่จะถอนตัวออกห่างจากสภาพที่เลวร้ายดังกล่าว   เพราะประเมินแล้วว่าตนเองไม่สามารถที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือ เข้าไปสู้รบปรบมือกับอำนาจชั่วช้าเหล่านั้น   ขออยู่ห่างๆ  เงียบๆ  ออกจากสภาพความกดดันดังกล่าว   แต่สำหรับบางคนบางพวกก็ลุกขึ้นเยาะเย้ยถากถางการล้มลงพลาดท่าของคนที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับตน   แต่ก็มีบางคนเลือกที่จะยืนหยัดบนความเชื่อ เพื่อแก้ไขสิ่งผิดในสังคมบนรากฐานของศรัทธาและคริสต์จริยธรรม   แต่ก็เป็นเหมือนเจ้ามดน้อยที่ยืนตระหง่านต่อหน้าภูเขาแห่งความชั่วร้ายมหึมาที่ขวางอยู่ตรงหน้า

เป็นที่ชัดเจนว่า  พระวจนะของพระเจ้าต้องการให้คนของพระเจ้าเป็นเหมือนคนกลุ่มสุดท้าย  เป็นกลุ่มคนตั้งใจที่จะสร้างสิ่งแตกต่างในสังคมที่หลุดถลำลงในอำนาจบาปชั่ว   แต่ในสดุดี 12:1  ชี้ชัดว่า  แต่จุดเริ่มต้นมิใช่ด้วยกำลังความสามารถของเราเอง  แต่ด้วยการ “ทรงช่วยเหลือ” จากพระเจ้า   และที่สำคัญคือ  พระเจ้าจะไม่ได้นิ่งดูดายในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้  เพราะเมื่อถึงเวลาของพระองค์   “เรา(พระเจ้า)จะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้   เพราะคนยากจนถูกข่มเหง และ คนขัดสนคร่ำครวญ   เราจะจัดให้เขาอยู่ในที่ปลอดภัยซึ่งเขาปรารถนาจะไปอยู่” (ข้อ 5) 

สิ่งแรกที่เราควรกระทำเมื่อเผชิญหน้ากับการกระทำที่ชั่วร้ายคือ  การร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า   รากศัพท์ภาษาฮีบรูของคำว่า “ช่วย” ในข้อที่ 1 นั้น   ส่วนแรกของคำนี้มาจากรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า “โฮซันนา”  ซึ่งแปลว่า “โปรดมาช่วยด้วยเถิด”   สิ่งแรกที่เราต้องกระทำคือ  ร้องทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเรา   เป็นการตระหนักชัดว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงช่วยกู้มนุษย์ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายดังกล่าว

เมื่อเราหันหน้าเข้าหาพระเจ้า  เพื่อทูลขอการทรงช่วยกู้จากพระองค์   พระองค์จะทรงเรียกเราให้มีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการทรงช่วยกู้  เพื่อกระทำให้สิ่งเลวร้ายกลับคืนสู่สภาพที่ถูกต้องและศานติ   แทนที่เราอาจจะด่วนใจร้อนกระโจนเข้าจัดการสถานการณ์ที่เลวร้ายตามกำลังความสามารถ หรือ ตามความคิดความเห็นของเราเอง   แต่เราจะรอคอยการทรงเรียกจากพระองค์ให้เข้าร่วมในกระบวนการงานนี้ตามที่พระองค์ทรงเห็นเหมาะเห็นควร  

แม้เราจะเข้าร่วมในพระราชกิจการทรงช่วยดังกล่าวตามการทรงเรียก   เราก็ไม่ได้เข้าร่วมตามกำลังความสามารถของเราเอง  แต่ด้วยกำลังและพลังชีวิตที่พระวิญญาณทรงกระทำกิจในชีวิตของเรา  และทรงหนุนเสริมในการกระทำของเราทุกอย่าง

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ

1. ท่านเคยสิ้นหวังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม และ ในวงการคริสตจักร   อย่างที่เกิดขึ้นในสดุดี 12:1 หรือไม่?
2. ท่านทำอย่างไรเมื่อเกิดความสิ้นหวังตามข้อที่ 1?
3. พระเจ้าเคยทรงเรียกท่านให้เข้าร่วมในกระบวนการพระราชกิจของพระองค์ ในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดเลวร้ายให้ถูกต้องหรือไม่?   อย่างไร?
4. พระเจ้าทรงชี้นำท่านในครั้งนั้นอย่างไรบ้าง?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น