สิ่งที่มีความสำคัญไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เราสามารถจับต้อง
สัมผัส หรือพิสูจน์ได้เท่านั้น
สำหรับความเชื่อของคริสตชนแล้ว
สิ่งที่เที่ยงแท้ แน่นอน และยั่งยืนกลับเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะมองเห็นด้วยตา และสัมผัสด้วยกาย หรือพิสูจน์ด้วยเหตุผลและความคิดของเราเสมอไป แต่สัจจะความจริงดังกล่าวคริสตชนรับด้วยความเชื่อศรัทธา และที่สำคัญเราพบว่า สัจจะความจริงเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตและสรรพสิ่งในระยะยาวและยั่งยืน
พระธรรม 1ยอห์น 2:15-17 กล่าวไว้ว่า
“อย่ารักโลก หรือ สิ่งใดๆ ในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
เพราะทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา
และความทะนงในสิ่งที่ตนมีหรือทำ
ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก
โลกกับความปรารถนาต่างๆ ของโลกก็ล่วงไป
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดกาล” (อมตธรรม)
ในข้อที่ 16 ของพระธรรมข้างต้นที่กล่าวถึง 3 สิ่งที่เป็นของโลกนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์บอกกับคริสตชนว่าไม่ควรรัก หลงใหล
และรับใช้ในสิ่งทั้งสาม คือ
1. ตัณหาของเนื้อหนัง
2. ตัณหาของตา และ
3. ความทะนงในสิ่งที่ตนมี(ลาภ ยศ สรรเสริญ)และกระทำ
ทั้งสามสิ่งนี้เป็นของในโลกนี้ที่ได้มาแล้วก็จะหมดสิ้นไป เป็นของโลกนี้ที่ไม่คงทนยั่งยืน
แต่การประพฤติตามพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ มั่นคง
และยืนยง
ภายหลังที่พระเยซูอดอาหารได้
40 วัน 40 คืน
มารมาทดลองพระเยซู โดยใช้ 3 สิ่งข้างต้นในการทดลองพระองค์
พระเยซูคริสต์ตอบโต้การทดลองของมารด้วยพระวจนะของพระเจ้า
ตัณหาของเนื้อหนัง
“จากนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อให้มารทดลอง หลังจากอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว พระเยซูทรงหิว มารผู้ทดลองได้มาหาพระองค์และทูลว่า ‘ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง’” (มัทธิว 4:1-4 อมตธรรม)
ตอนนั้นพระเยซูหิวอย่างแน่นอนครับ เพราะอดอาหารมานานถึง 40 วัน
มารเสนอสิ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการของพระเยซูว่า
ถ้าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าก็ให้สั่งก้อนหินที่มีมากมายในถิ่นทุรกันดารให้เป็นขนมปังเพื่อที่จะแก้ปัญหาความหิวโหยของพระองค์
พระเยซูรู้และมั่นใจว่าพระองค์สั่งก้อนหินให้เป็นขนมปังได้อย่างแน่นอน
แต่พระองค์ก็รู้ด้วยว่านี่มิใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะใช้ฤทธิ์อำนาจจากพระบิดาเพื่อปรนเปรอความสุขความต้องการส่วนตัวของพระองค์
และการที่ใช้ของประทานจากพระเจ้าโดยมิได้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าย่อมไม่เกิดพระพร
ยิ่งกว่านั้นจะเป็นการใช้ของประทานจากพระเจ้าเพื่อตอบสนองตัณหาเนื้อหนังของตนมากกว่า
ดังนั้น พระองค์ตอบโต้มารว่า
“...มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว
แต่(ต้อง)ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (ข้อ 4)
พระวจนะของพระเจ้าย่อมมีความสำคัญกว่าขนมปัง
หรือ อาหารที่เรารับประทานในแต่ละวัน
พระวจนะของพระเจ้านั้นหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิต ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ และพระวจนะของพระเจ้าค้ำจุนหนุนเสริมให้กำลังในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเรา
ตัณหาของตา
แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร
แล้วทูลว่า
“ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีคำเขียนว่า
‘พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่าน
ทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่าน เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’”
พระเยซูตรัสตอบมารว่า “มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน’”
(มัทธิว 4:5-7 อมตธรรม)
มารได้ใช้กลยุทธ์หลอกล่อพระเยซู ที่ร่างกายกำลังอยู่ในที่สภาพที่อ่อนกำลัง อ่อนเพลีย
เพราะไม่ได้รับประทานอาหารมาเป็นเวลานาน
มารได้ท้าทายให้พระเยซูคริสต์กระโดดลงจากที่สูงสุดที่พระองค์ยืนอยู่ แล้วอ้างพระคัมภีร์เลียนแบบที่พระเยซูคริสต์อ้างมาก่อนหน้านี้ว่า
พระเจ้าจะทรงบัญชาให้เหล่าทูตสวรรค์มาประคองพระองค์ไว้ เพื่อไม่ให้เท้าของพระเยซูกระทบหิน
แต่พระเยซูคริสต์ทรงรู้เท่าทันกลโกงหลอกลวงของมาร
พระเจ้าทรงเอาใจใส่และปกป้องผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างแน่นอน
แม้ชีวิตของผู้เชื่อในพระองค์จะตกลงในสภาพที่เลวร้ายอันตรายปานใดก็ตาม พระองค์ก็จะทรงปกป้องคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้าแน่ แต่การที่มารท้าทายให้พระองค์กระโดดลงไปจากจุดสูงสุดของพระวิหารนั้น พระเยซูคริสต์มิได้มีชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย แต่เป็นการทดลองว่าพระเจ้าจะปกป้องพระเยซูคริสต์ตามพระสัญญาในพระวจนะหรือไม่ถ้าพระองค์กระโดดลงไป พระเยซูคริสต์รู้เท่าทันว่า ถ้ากระทำตามคำท้าทายมิใช่เป็นการวางใจในพระเจ้า แต่เป็นการทดลองพระเจ้าว่าพระเจ้าจะปกป้องได้หรือไม่
ประการที่สอง การกระโดดลงจากยอดสูงพระวิหารเป็นการสำแดงถึงฤทธิ์เดชของพระเยซูให้ประชาชนได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง เพื่อประชาชนจะได้เชื่อ ศรัทธา
ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า
และนี่เป็นการหลอกล่อของมารที่จะให้พระเยซูสร้างความเชื่อศรัทธาด้วย
“ตัณหาทางตา”
ซึ่งความเชื่อนี้จะไม่ยั่งยืน
เพราะเป็นการสร้างความเชื่อบนรากฐาน “ประชานิยม” ที่มีวันเสื่อมคลายไป
ดังนั้น
พระเยซูคริสต์จึงทรงตอบโต้มารกลับไปว่า
“มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน’” พระเยซูคริสต์ทรงเชื่ออย่างมั่นใจว่า พระบิดาจะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์
พระองค์ไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยตาถึงจะเชื่อในการทรงรักษาพระสัญญาของพระบิดา ตัณหาของตาคือความปรารถนาที่ต้องการเห็นบางสิ่งบางอย่าง ตัณหาของตาปรารถนาที่จะเห็นว่า
“พระเจ้าทรงกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือไม่” เหมือนอย่างที่กษัตริย์เฮโรดอยากจะเห็นพระเยซูกระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าตนเอง ตามเสียงเล่าเสียงลือที่ได้ยินมา ว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์ได้จริงหรือไม่ แต่พระเยซูคริสต์ไม่ยอมกระทำตามที่เฮโรดต้องการ
แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าพระเยซูไม่สามารถทำการอัศจรรย์
ประเด็นสำคัญในประการที่สองนี้คือ
เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ไม่ใช่เพราะเราได้เห็นว่าเป็นจริง หรือ
เราพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง ทุกวันนี้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาและไว้วางใจพระเจ้าแม้ไม่สามารถมองเห็นหรือพิสูจน์ได้ก็ตาม
ทะนงตนในสิ่งที่ตนมีและกระทำ
อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์มายังภูเขาที่สูงมาก
แล้วแสดงอาณาจักรทั้งปวงของโลกกับความโอ่อ่าตระการของอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วทูลว่า
“ทั้งหมดนี้เราจะยกให้ท่านหากท่านกราบนมัสการเรา”
พระเยซูตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น
เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’”
แล้วมารก็ละพระองค์ไปแล้วเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
(มัทธิว 4:8-11 อมตธรรม)
ในครั้งนี้
มารพยายามด้วยการเอาเป้าหมายและความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในการเสด็จมาในโลกนี้ของพระคริสต์มาหลอกล่อ โดยการให้สำเร็จเป้าหมายด้วยวิธีการที่ง่ายดายกว่าการที่พระเยซูคริสต์จะกระทำพระราชกิจตามแผนการ
ขั้นตอน และพระประสงค์ของพระบิดา
เพียงพระเยซูจะเปลี่ยนจากการที่มีพระบิดาเป็นเอกเป็นต้นในชีวิตของพระองค์มาเป็นการทำตามกระแสนิยมแห่งสังคมโลกภายใต้อำนาจของมาร พระองค์ก็จะประสบกับความสำเร็จในชีวิต และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระองค์จะได้รับ และ
สามารถกระทำได้
เพียงยอมทำตามกระแสนิยมของโลกนี้
พระองค์ก็จะได้ครอบครองอาณาจักรแห่งโลกนี้ ได้รับเกียรติยศ ชื่อเสียง
แต่สำหรับพระเยซูคริสต์
เป้าหมายปลายทางและความสำเร็จในชีวิตของพระองค์มิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพระองค์
สิ่งที่สำคัญสูงสุดในชีวิตของพระองค์คือการที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเอกสูงสุดในชีวิตของพระองค์
ชีวิตของพระองค์จะเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้สูงสุดในชีวิต
นั่นคือพระเยซูจะนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียว
พระองค์จะไม่ยอมก้มกราบอำนาจอื่นใดเพียงเพื่อให้เป้าประสงค์ของพระองค์ประสบความสำเร็จ พระองค์จะไม่ยอมรับใช้อำนาจอื่นใดเพียงเพื่อตนจะได้เป็นใหญ่ในโลกนี้
เพราะการก้มกราบสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเป็นการ
“ไหว้รูปเคารพ” ไม่ว่าจะเป็น อำนาจ ทรัพย์สิน
เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง
และความสำเร็จในชีวิต หรือแม้กระทั่งการกราบไหว้ตนเอง
ประการที่สาม
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการยืนหยัดสัตย์ซื่อที่จะนมัสการและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นในชีวิต ซึ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้
รวมไปถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานแก่ท่านในชีวิตด้วย
สิ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือการที่เราเทิดทูนยกย่องและเชื่อฟังให้พระเจ้าเป็นเอกเป็นต้นเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชีวิตของเรา
“...โลกกับความปรารถนา(ตัณหา)ต่างๆ ของโลกก็ล่วงไป
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดกาล” (1ยอห์น 2:17 อมตธรรม)
สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เป็นสิ่งที่ยั่งยืนเป็นนิตย์ เป็นสิ่งที่นิรันดร์ ที่เราต้องการจะเป็นและที่เราหวัง
ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว
ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน
ที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก (โคโลสี 3:1-2 อมตธรรม)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น