23 พฤศจิกายน 2555

สิ่งที่สำคัญกว่า...


สิ่งที่มีความสำคัญไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เราสามารถจับต้อง สัมผัส หรือพิสูจน์ได้เท่านั้น   สำหรับความเชื่อของคริสตชนแล้ว   สิ่งที่เที่ยงแท้  แน่นอน  และยั่งยืนกลับเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะมองเห็นด้วยตา  และสัมผัสด้วยกาย   หรือพิสูจน์ด้วยเหตุผลและความคิดของเราเสมอไป   แต่สัจจะความจริงดังกล่าวคริสตชนรับด้วยความเชื่อศรัทธา   และที่สำคัญเราพบว่า สัจจะความจริงเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตและสรรพสิ่งในระยะยาวและยั่งยืน

พระธรรม 1ยอห์น 2:15-17 กล่าวไว้ว่า

“อย่ารักโลก หรือ สิ่งใดๆ ในโลก  ถ้าผู้ใดรักโลก  ความรักของพระบิดาก็ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น   เพราะทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง  ตัณหาของตา  และความทะนงในสิ่งที่ตนมีหรือทำ   ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก   โลกกับความปรารถนาต่างๆ ของโลกก็ล่วงไป   แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดกาล” (อมตธรรม)

ในข้อที่ 16 ของพระธรรมข้างต้นที่กล่าวถึง 3 สิ่งที่เป็นของโลกนี้   ซึ่งเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์บอกกับคริสตชนว่าไม่ควรรัก  หลงใหล  และรับใช้ในสิ่งทั้งสาม คือ
1.     ตัณหาของเนื้อหนัง
2.     ตัณหาของตา  และ
3.     ความทะนงในสิ่งที่ตนมี(ลาภ ยศ สรรเสริญ)และกระทำ
ทั้งสามสิ่งนี้เป็นของในโลกนี้ที่ได้มาแล้วก็จะหมดสิ้นไป   เป็นของโลกนี้ที่ไม่คงทนยั่งยืน   แต่การประพฤติตามพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้  มั่นคง  และยืนยง

ภายหลังที่พระเยซูอดอาหารได้  40 วัน 40 คืน   มารมาทดลองพระเยซู   โดยใช้ 3 สิ่งข้างต้นในการทดลองพระองค์   พระเยซูคริสต์ตอบโต้การทดลองของมารด้วยพระวจนะของพระเจ้า

ตัณหาของเนื้อหนัง

“จากนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อให้มารทดลอง  หลังจากอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว  พระเยซูทรงหิว   มารผู้ทดลองได้มาหาพระองค์และทูลว่า ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า  จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” (มัทธิว 4:1-4 อมตธรรม)

ตอนนั้นพระเยซูหิวอย่างแน่นอนครับ  เพราะอดอาหารมานานถึง 40 วัน   มารเสนอสิ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการของพระเยซูว่า   ถ้าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าก็ให้สั่งก้อนหินที่มีมากมายในถิ่นทุรกันดารให้เป็นขนมปังเพื่อที่จะแก้ปัญหาความหิวโหยของพระองค์  

พระเยซูรู้และมั่นใจว่าพระองค์สั่งก้อนหินให้เป็นขนมปังได้อย่างแน่นอน   แต่พระองค์ก็รู้ด้วยว่านี่มิใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะใช้ฤทธิ์อำนาจจากพระบิดาเพื่อปรนเปรอความสุขความต้องการส่วนตัวของพระองค์   และการที่ใช้ของประทานจากพระเจ้าโดยมิได้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าย่อมไม่เกิดพระพร   ยิ่งกว่านั้นจะเป็นการใช้ของประทานจากพระเจ้าเพื่อตอบสนองตัณหาเนื้อหนังของตนมากกว่า

ดังนั้น   พระองค์ตอบโต้มารว่า 
“...มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว  
 แต่(ต้อง)ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (ข้อ 4)

พระวจนะของพระเจ้าย่อมมีความสำคัญกว่าขนมปัง หรือ อาหารที่เรารับประทานในแต่ละวัน   พระวจนะของพระเจ้านั้นหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิต  ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่   และพระวจนะของพระเจ้าค้ำจุนหนุนเสริมให้กำลังในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเรา

ตัณหาของตา

แล้วมารนำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์  และให้พระองค์ประทับยืนที่จุดสูงสุดของพระวิหาร แล้วทูลว่า  “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าจงกระโดดลงไปเถิด   เพราะมีคำเขียนว่า
พระองค์จะทรงบัญชาทูตสวรรค์ของพระองค์ให้ดูแลท่าน
ทูตเหล่านั้นจะยื่นมือประคองท่าน   เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน
พระเยซูตรัสตอบมารว่า  “มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า  อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน” 
(มัทธิว 4:5-7 อมตธรรม)

มารได้ใช้กลยุทธ์หลอกล่อพระเยซู  ที่ร่างกายกำลังอยู่ในที่สภาพที่อ่อนกำลัง  อ่อนเพลีย  เพราะไม่ได้รับประทานอาหารมาเป็นเวลานาน    มารได้ท้าทายให้พระเยซูคริสต์กระโดดลงจากที่สูงสุดที่พระองค์ยืนอยู่  แล้วอ้างพระคัมภีร์เลียนแบบที่พระเยซูคริสต์อ้างมาก่อนหน้านี้ว่า   พระเจ้าจะทรงบัญชาให้เหล่าทูตสวรรค์มาประคองพระองค์ไว้  เพื่อไม่ให้เท้าของพระเยซูกระทบหิน

แต่พระเยซูคริสต์ทรงรู้เท่าทันกลโกงหลอกลวงของมาร   พระเจ้าทรงเอาใจใส่และปกป้องผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างแน่นอน   แม้ชีวิตของผู้เชื่อในพระองค์จะตกลงในสภาพที่เลวร้ายอันตรายปานใดก็ตาม   พระองค์ก็จะทรงปกป้องคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้าแน่    แต่การที่มารท้าทายให้พระองค์กระโดดลงไปจากจุดสูงสุดของพระวิหารนั้น   พระเยซูคริสต์มิได้มีชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย   แต่เป็นการทดลองว่าพระเจ้าจะปกป้องพระเยซูคริสต์ตามพระสัญญาในพระวจนะหรือไม่ถ้าพระองค์กระโดดลงไป   พระเยซูคริสต์รู้เท่าทันว่า ถ้ากระทำตามคำท้าทายมิใช่เป็นการวางใจในพระเจ้า   แต่เป็นการทดลองพระเจ้าว่าพระเจ้าจะปกป้องได้หรือไม่

ประการที่สอง  การกระโดดลงจากยอดสูงพระวิหารเป็นการสำแดงถึงฤทธิ์เดชของพระเยซูให้ประชาชนได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง   เพื่อประชาชนจะได้เชื่อ ศรัทธา ว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า   และนี่เป็นการหลอกล่อของมารที่จะให้พระเยซูสร้างความเชื่อศรัทธาด้วย “ตัณหาทางตา”  ซึ่งความเชื่อนี้จะไม่ยั่งยืน   เพราะเป็นการสร้างความเชื่อบนรากฐาน “ประชานิยม” ที่มีวันเสื่อมคลายไป

ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงทรงตอบโต้มารกลับไปว่า  “มีคำเขียนไว้เช่นกันว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน”   พระเยซูคริสต์ทรงเชื่ออย่างมั่นใจว่า  พระบิดาจะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์   พระองค์ไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยตาถึงจะเชื่อในการทรงรักษาพระสัญญาของพระบิดา   ตัณหาของตาคือความปรารถนาที่ต้องการเห็นบางสิ่งบางอย่าง   ตัณหาของตาปรารถนาที่จะเห็นว่า  “พระเจ้าทรงกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือไม่”   เหมือนอย่างที่กษัตริย์เฮโรดอยากจะเห็นพระเยซูกระทำการอัศจรรย์ต่อหน้าตนเอง  ตามเสียงเล่าเสียงลือที่ได้ยินมา   ว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์ได้จริงหรือไม่    แต่พระเยซูคริสต์ไม่ยอมกระทำตามที่เฮโรดต้องการ   แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าพระเยซูไม่สามารถทำการอัศจรรย์

ประเด็นสำคัญในประการที่สองนี้คือ   เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเราได้เห็นว่าเป็นจริง หรือ เราพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง   ทุกวันนี้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาและไว้วางใจพระเจ้าแม้ไม่สามารถมองเห็นหรือพิสูจน์ได้ก็ตาม

ทะนงตนในสิ่งที่ตนมีและกระทำ

อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์มายังภูเขาที่สูงมาก   แล้วแสดงอาณาจักรทั้งปวงของโลกกับความโอ่อ่าตระการของอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร   แล้วทูลว่า  “ทั้งหมดนี้เราจะยกให้ท่านหากท่านกราบนมัสการเรา”
พระเยซูตรัสว่า “เจ้าซาตาน  จงไปให้พ้น   เพราะมีคำเขียนไว้ว่า จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว
แล้วมารก็ละพระองค์ไปแล้วเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์  
(มัทธิว 4:8-11 อมตธรรม)

ในครั้งนี้  มารพยายามด้วยการเอาเป้าหมายและความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในการเสด็จมาในโลกนี้ของพระคริสต์มาหลอกล่อ   โดยการให้สำเร็จเป้าหมายด้วยวิธีการที่ง่ายดายกว่าการที่พระเยซูคริสต์จะกระทำพระราชกิจตามแผนการ ขั้นตอน  และพระประสงค์ของพระบิดา   เพียงพระเยซูจะเปลี่ยนจากการที่มีพระบิดาเป็นเอกเป็นต้นในชีวิตของพระองค์มาเป็นการทำตามกระแสนิยมแห่งสังคมโลกภายใต้อำนาจของมาร   พระองค์ก็จะประสบกับความสำเร็จในชีวิต  และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระองค์จะได้รับ และ สามารถกระทำได้   เพียงยอมทำตามกระแสนิยมของโลกนี้   พระองค์ก็จะได้ครอบครองอาณาจักรแห่งโลกนี้   ได้รับเกียรติยศ  ชื่อเสียง

แต่สำหรับพระเยซูคริสต์  เป้าหมายปลายทางและความสำเร็จในชีวิตของพระองค์มิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพระองค์   สิ่งที่สำคัญสูงสุดในชีวิตของพระองค์คือการที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเอกสูงสุดในชีวิตของพระองค์   ชีวิตของพระองค์จะเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้สูงสุดในชีวิต  นั่นคือพระเยซูจะนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ผู้เดียว   พระองค์จะไม่ยอมก้มกราบอำนาจอื่นใดเพียงเพื่อให้เป้าประสงค์ของพระองค์ประสบความสำเร็จ   พระองค์จะไม่ยอมรับใช้อำนาจอื่นใดเพียงเพื่อตนจะได้เป็นใหญ่ในโลกนี้   เพราะการก้มกราบสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเป็นการ “ไหว้รูปเคารพ” ไม่ว่าจะเป็น  อำนาจ  ทรัพย์สิน  เงินทอง  เกียรติยศ  ชื่อเสียง  และความสำเร็จในชีวิต หรือแม้กระทั่งการกราบไหว้ตนเอง

ประการที่สาม   สิ่งที่สำคัญกว่าคือการยืนหยัดสัตย์ซื่อที่จะนมัสการและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นในชีวิต   ซึ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้   รวมไปถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานแก่ท่านในชีวิตด้วย   สิ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือการที่เราเทิดทูนยกย่องและเชื่อฟังให้พระเจ้าเป็นเอกเป็นต้นเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชีวิตของเรา

“...โลกกับความปรารถนา(ตัณหา)ต่างๆ ของโลกก็ล่วงไป  
แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดกาล” (1ยอห์น 2:17  อมตธรรม)

สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด  เป็นสิ่งที่ยั่งยืนเป็นนิตย์  เป็นสิ่งที่นิรันดร์  ที่เราต้องการจะเป็นและที่เราหวัง

ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  
ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน 
ที่ซึ่งพระคริสต์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  
จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก  (โคโลสี 3:1-2 อมตธรรม)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น