14 พฤศจิกายน 2555

ผู้มีบารมีและอิทธิพล


อ่านมัทธิว 5:13-16


เมื่อพูดถึงผู้มีบารมี หรือ ผู้มีอิทธิพล  เราก็มักจะคิดถึงผู้นำ  

ผู้ที่มีอิทธิพลในภาษาไทยมีทั้งความหมายในแง่บวกและแง่ลบ   กล่าวคือ ผู้มีอิทธิพลคือผู้ที่มีอำนาจเหนือคนอื่น   เช่น ถ้าเป็นผู้มีอิทธิพลในเรื่องการค้ายาเสพติดบางครั้งมีอำนาจเหนือตำรวจที่รักษากฎหมายเสียอีก   หรือดาราบางคนในสังคมที่มีอิทธิพลเหนือวัยรุ่น   นั่นหมายความว่าดาราคนนั้นจะแต่งตัว หรือ ทำท่าทางแบบไหนก็กลายเป็นแบบที่วัยรุ่นทำตาม

นอกจากนั้นแล้ว  บางครั้งเป็นการมีอิทธิพลทางความคิด  ซึ่งมีทั้งการมีอิทธิพลเชิงบวกและเชิงลบ เช่น  การโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์มีอิทธิพลทางความคิดในเรื่องปัจเจกนิยม  บริโภคนิยม  ทันสมัยนิยม   ตลอดไปจนถึงการมีอิทธิพลเรื่องแฟชั่นของสื่อสมัยใหม่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง  การที่คนใดคนหนึ่งมีอิทธิพล หรือ มีบารมีเหนือคนใดคนหนึ่ง  หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้น ย่อมมีพลังนำการเปลี่ยนแปลงไปสู่วงกว้าง   เมื่อคนๆ นั้นพูด  หรือแสดงท่าทีอย่างไร  หรือใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็จะมีคนทำตามเขา

สำหรับพระเยซูคริสต์แล้ว  มิใช่ “ผู้นำ” เท่านั้นที่จะเป็น “ผู้ทรงอิทธิพล หรือ ผู้มีบารมี”  แต่พระองค์ต้องการให้สาวกของพระองค์ทุกคน หรือ คริสตชนทุกคนเป็นผู้ทรงอิทธิพล หรือ เป็นผู้มีบารมีในชีวิตคริสตชน   ในที่นี้มิได้หมายความถึงคริสตชนที่เป็นศาสนาจารย์  ศิษยาภิบาล  ผู้ปกครอง  มัคนายก  หรือผู้นำคริสตจักรเท่านั้น   แต่พระองค์ต้องการให้คริสตชนทุกคนมีชีวิตที่มีอิทธิพล และ มีบารมีต่อสังคมโลก

พระเยซูคริสต์สอนสาวกและประชาชนที่มาฟังคำสอนของพระองค์ว่า

“ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก...ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” 
(ข้อ 13, 14 อมตธรรม)

พระเยซูคริสต์หมายความว่า เราในฐานะคริสตชนสาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์คือผู้ทรงอิทธิพล และ ผู้มีบารมี   พระองค์เปรียบเพื่อชี้ชัดว่า   คริสตชนเป็นเกลือ และ แสงสว่างของโลก   ชีวิตคริสตชนต้องเป็นชีวิตที่มีความเค็ม   ความเค็มที่สามารถมีอิทธิพลหรือบารมีแทรกซึมเข้าไปในสิ่งต่างๆ ที่เกลือเข้าไปอยู่ด้วย   แล้วความเค็มของเกลือจะแผ่ซ่านแทรกซึมเข้าไปในสิ่งต่างๆ ที่มันอยู่ด้วยไม่ว่าผักหรือเนื้อ   อิทธิพลหรือบารมีของคริสตชนเป็นพลังที่มิได้อยู่แต่เฉพาะในตัวของคริสตชนเอง   แต่มีคุณลักษณะที่จะ ละลายตนเอง และ แผ่ซ่านแทรกซึม เข้าไปรักษาสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างไม่ให้ “เน่า”  ยิ่งกว่านั้นทำให้สิ่งเหล่านั้นพลอยมี “รสเค็ม” ไปด้วย

เกลือมีความเค็มที่เป็นพลังแห่งอิทธิพลและบารมี   ชีวิตคริสตชนมีน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระคริสต์เป็นพลังแห่งอิทธิพลและบารมีในชีวิตของตน   เมื่อเกลือไปอยู่ที่ไหนมันก็จะแผ่ซ่านอิทธิพลและบารมีความเค็มให้สิ่งที่มันอยู่ด้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีรสเค็มไปด้วย   เมื่อคริสตชนอยู่ที่ไหนพลังแห่งอิทธิพลและบารมีของน้ำพระทัยของพระคริสต์และพระประสงค์ของพระองค์ควรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้ชุมชนนั้น สังคมนั้น มีน้ำพระทัยพระคริสต์และพระประสงค์ของพระองค์เกิดขึ้นด้วย

ประเด็นที่คริสตชนไทยต้องถามตนเองในปัจจุบันว่า   ทุกวันนี้เราเป็นคริสตชนที่มีพลังอิทธิพลและบารมีแห่งน้ำพระทัยและพระประสงค์ขอพระคริสต์หรือไม่?   ทุกวันนี้คริสตชนเป็นเกลือที่มีรสเค็มหรือเปล่า?   หรือเป็นเกลือที่ไร้รสเค็มจึงไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อชีวิตผู้คนในชุมชนสังคม   คริสตชนเป็น “ขยะ” ของสังคมที่ถูกนำไปทิ้งและถูกผู้อื่นเหยียบย่ำหรือไม่?

พระเยซูคริสต์ยังเปรียบอิทธิพลหรือบารมีในชีวิตคริสตชนว่าเป็นเหมือนความสว่างเมื่อจุดตะเกียง   ชีวิตคริสตชนเป็นเหมือนตะเกียง  ในตัวตะเกียงมีสองสิ่งที่สำคัญคือ  น้ำมัน และ ไส้ตะเกียง   แต่มีเพียงน้ำมันและไส้ตะเกียงเท่านั้นย่อมไม่ทำให้เกิดความสว่างได้   แต่ตะเกียงต้องได้รับการจุดไฟ   ถึงจะเกิดแสงสว่าง   แล้วต้องให้ตะเกียงอยู่ในที่สูง เพื่อจะช่วยให้แสงสว่างสามารถสาดส่องไปทั่วบ้านสำหรับทุกคนในบ้าน

น้ำมันในตะเกียง คือน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระคริสต์  ไส้ตะเกียง คือชีวิตของเราดูดซับเอาน้ำมันเข้าให้อิ่มชุ่มไส้ตะเกียงแล้ว  เมื่อประกายไฟแห่งพระวิญญาณทรงจุด  ไฟก็จะติดลุกโชติช่วงที่ปลายไส้ตะเกียงด้านบนที่อิ่มชุ่มตัวด้วยน้ำมันของพระคริสต์   ก็ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้น   ความสว่างที่เกิดขึ้นจะมีอิทธิพลและบารมีในการขับไล่ความมืดให้สูญหายไป   และทั้งห้องจะสว่างขึ้น

ดังนั้น   อิทธิพลและบารมีของตะเกียงมิได้อยู่ที่ตะเกียงเท่านั้น   มิได้อยู่ที่ตัวตนความดีของคริสตชนคนนั้นๆ   แต่ไส้ตะเกียงจะต้องชุ่มฉ่ำด้วยน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระคริสต์   พร้อมกับได้รับการจุดประกายไฟแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า   ตะเกียงถึงจะให้แสงสว่างได้   ไส้ตะเกียงที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการเกิดแสงสว่างจะต้องยอมให้ไฟติด  ต้องอุทิศตนเอง   แต่เป็นการอุทิศตนเองตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระคริสต์   โดยเพียงไส้ตะเกียงเท่านั้นจุดไฟติดยาก  และติดได้ไม่นานมันก็จะเผาไหม้มอดไป   แต่ไส้ตะเกียงที่ชุ่มน้ำมันต่างหากที่ทำให้ติดไฟได้ดีและนาน และให้แสงสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น

พระเยซูคริสต์ประสงค์ให้ชีวิตคริสตชนสาวกของพระองค์เป็นชีวิตที่ทรงอิทธิพลทั้งต่อ ชีวิตภายใน ของผู้คน   กล่าวคือคริสตชนต้องมีอิทธิพล “ความเค็ม” เช่นเกลือที่แทรกซึมเข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตภายในของผู้คน   และในเวลาเดียวกับพระคริสต์ประสงค์ให้คริสตชนมีชีวิตที่มีอิทธิพลที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ชีวิตของชุมชนสังคม เฉกเช่นแสงสว่างที่ทำให้คนทั้งบ้านได้รับความสว่าง  และสามารถ “มองเห็น” สิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน

พระเยซูคริสต์มีพระประสงค์ให้ชีวิตคริสตชนมีอิทธิพลและบารมีต่อชีวิตผู้คนและสภาพสังคมแวดล้อม   อิทธิพลนี้เกิดขึ้นจากการที่เรามีชีวิตคริสตชนที่สัตย์ซื่อที่ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระคริสต์ตามการทรงเรียกของพระองค์   ที่จะให้อิทธิพลแห่งความรักเมตตาของพระคริสต์กลายเป็นพลังเสริมหนุนชีวิตของผู้คนที่อยู่รอบข้างและที่เราสัมผัสสัมพันธ์ทุกวัน   ด้วยการอุทิศชีวิตรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตของประชาชน   เพื่อผู้คนเหล่านั้นจะได้สัมผัสกับพระคุณของพระเจ้าผ่านชีวิตและการดำเนินชีวิตของเรา

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ

1. ทุกวันนี้ท่านเป็นเกลือที่มีรสเค็ม และ เป็นตะเกียงที่ให้แสงสว่างอยู่หรือไม่? 
2. ในชีวิตคริสตชนของท่านทุกวันนี้   มีอิทธิพลหรือบารมีในชีวิตคริสตชนแบบไหน อะไรบ้างต่อคนรอบข้าง?
3. อิทธิพล “ความเค็ม และ ความสว่าง” ในชีวิตคริสตชนของท่านสร้างผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนรอบข้างในสังคมชุมชนหรือไม่? อย่างไร?
4. อิทธิพลและบารมีชีวิตคริสตชนของท่านและคริสตจักรของท่าน  สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงด้านใดบ้างในชีวิตของบุคคลและสังคมปัจจุบัน?
5. ถ้าท่านจะพัฒนาให้ชีวิตคริสตชนมี “รสเค็มและแสงสว่าง” ที่เข้มข้นยิ่งขึ้น   ท่านคิดว่าจะสามารถพัฒนาได้อย่างไรบ้าง?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น