คริสตชนมิได้รอดด้วยการทำความดี
เมื่อเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสตจักรกาลาเทีย ท่านแสดงออกถึงความแปลกอกแปลกใจและต่อว่า
ผู้เชื่อในกาลาเทียที่ทิ้งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไปรับเอาพระกิตติคุณที่เทียมเท็จ
“ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่ท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งแท้จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์”
(กาลาเทีย 1:6-7 อมตธรรม)
สำหรับเปาโลแล้ว
พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่ทรงประกาศคือ
การที่พระคริสต์ทรงยอมสละชีวิตของพระองค์เพื่อกอบกู้ และ
ปลดปล่อยให้เราหลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายในรูปลักษณ์ที่หลากหลายในยุคปัจจุบัน ตามพระประสงค์ของพระเจ้า (1:4) ด้วยความรักเมตตา และ เป็นพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เรา
และด้วยพระคุณของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์นี้เองที่ทำให้ผู้เชื่อได้รับการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตโดยพระเยซูคริสต์ ผ่านกระบวนการเจริญเติบโตด้วยความรักเมตตาที่เสริมสร้างจากพระองค์
และ ผ่านการเสริมสร้างของชุมชนผู้เชื่อในคริสตจักร ด้วยกระบวนการการอภิบาลในรูปแบบต่างๆ ของชุมชนคริสตจักร
เปาโลพูดกับชาวกาลาเทียอย่างชัดแจ้งว่า “แม้แต่เราเองหรือทูตสวรรค์ที่ประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน
ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้นก็ต้องถูกสาปแช่ง ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว และบัดนี้ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า
ถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่านซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่พวกท่านได้รับไว้แล้วให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง”
(1:8-9)
คำเตือนเรื่องพระกิตติคุณ หรือ
ข่าวประเสริฐที่ถูกบิดเบือน
ดูจะเป็นการเตือนที่ค่อนข้างน่าตกใจและน่าเศร้า
และเราคงต้องตระหนักด้วยว่ามิใช่เป็นคำเตือนสำหรับคริสตจักรกาลาเทียเท่านั้น
แต่ยังเป็นการเตือนที่รุนแรงถึงคริสตจักรของเราในยุคปัจจุบันด้วย
เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฟังอย่างใส่ใจต่อคำเตือนนี้ ในยุคปัจจุบันเราต้องเผชิญหน้ากับ
“พระกิตติคุณ หรือ ข่าวประเสริฐจอมปลอม”
ที่เข้ามาหาเราทั้งในลักษณะล้มล้างความคิดความเชื่อเดิม และ ในลักษณะสร้างเสน่ห์
ดึงดูด เย้ายวนใจให้หลงไปกับสิ่งใหม่
แน่นอนครับ
มันรุนแรงกว่าสมัยของกาลาเทียหลายเท่าครับ
พระกิตติคุณ หรือ
ข่าวประเสริฐจอมปลอมที่เผชิญหน้าเราอย่างจังในบริบทยุคปัจจุบันนี้คือ การวัดความรอดด้วยการกระทำดี หรือ
การเป็นคนดีมีศีลธรรมจริยา
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า
พระกิตติคุณจอมปลอมสามารถสำแดงตนออกมาในหลายรูปแบบผ่านแรงกระตุ้นทั้ง สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม
เค้าโครงความคิดความเชื่อว่ามนุษย์เราสามารถจัดการชีวิตของตนด้วยตนเองโดยการเป็นคนดีมีศีลธรรมจริยาเป็นลักษณะหนึ่งของพระกิตติคุณจอมปลอมที่พยายามแผ่อิทธิพลในยุคปัจจุบัน
หลักคิดหลักเชื่อของพระกิตติคุณจอมปลอมในประการนี้คือ
การบิดเบือนพระกิตติคุณให้เหลือแค่เพียงการทำให้ผู้คนพัฒนาพฤติกรรมของตนเองให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานทางศีลธรรมจริยาที่ตั้งไว้เท่านั้น ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงชี้ชัดในเรื่องนี้ว่า สำหรับคริสตชนแล้วการที่เราจะเป็นคนทำดีได้นั้นเราต้องพึ่งพิงในพระคุณของพระเจ้า เราไม่สามารถ “ทำดี” หรือ เปลี่ยนแปลงพัฒนาพฤติกรรมให้มีศีลธรรมจริยาตามที่ตั้งไว้ด้วยกำลังความสามารถของตนเองได้ อย่างที่เรามักได้ยินคำกล่าวที่ว่า
“ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี”
และนี่ไม่ใช่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ทั้งน่าตกใจและน่าเศร้าในเวลาเดียวกันว่า คริสตชนหลายคนทั้งกลุ่มหัวก้าวหน้าและอนุรักษ์นิยมได้ตกหลุมพรางของพระกิตติคุณจอมปลอมดังกล่าว
ที่ตกอยู่ใต้การครอบงำทางความคิดด้วยหลักตรรกะของศีลธรรมจริยา
และลดพระกิตติคุณลงเหลือหลักการการพัฒนาด้านศีลธรรมจริยาเท่านั้น แล้วสอนกันว่าพระเจ้าปรารถนาและต้องการให้เขามีการดำเนินชีวิตตรงตามหลักเกณฑ์ศีลธรรมจริยาที่เขาเข้าใจว่านี่เป็นพระบัญญัติของพระเจ้า
ในความจริงด้านหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ
ในความเป็นคนนั้นเราเกิดมาเป็นคนที่มีศีลธรรมจริยาในสำนึก
และในเวลาเดียวกันที่เราได้รับการทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า
ดังนั้นเราจึงมีจิตสำนึกถึงการที่จะรู้ดีผิดชั่ว กล่าวคือมีสำนึกทางศีลธรรมจริยา และจิตสำนึกนี้กระตุ้นเตือนให้เราสำนึกเสมอถึงความบาปผิดที่เราคิดเรากระทำ ความบกพร่องในชีวิตเรา การประพฤติผิดทั้งที่รู้แต่ยังทำ กล่าวคือ
จิตสำนึกศีลธรรมจริยาดังกล่าวส่งสัญญาณเตือนเราเสมอถึงความบาปผิดในชีวิตของเรา
ในกระบวนการเลี้ยงดูบ่มเพาะจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
เรามักจะได้รับการสอนซ้ำย้ำเตือนถึงศีลธรรมจริยาในวัยเด็กของเรา เราเรียนรู้ว่า
พ่อแม่สนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เราแสดงออก
ถ้าเรากระทำพฤติกรรมที่ดีที่พ่อแม่กำหนด เด็กก็จะได้รับรางวัลในลักษณะต่างๆ
เป็นลูกที่พ่อแม่รักใคร่เอ็นดู และถ้าลูกไม่ได้ทำตามชุดพฤติกรรมที่พ่อแม่กำหนดไว้ ลูกจะได้รับการต่อต้าน การลงโทษจากพ่อแม่
จากการสั่งสมประสบการณ์เรียนรู้ในวัยเด็กเช่นนี้ที่ได้รับการเรียนซ้ำย้ำเตือนปลูกฝังความคิดเรื่อง
“ทำดีเพื่อได้ดีในชีวิต” จากครอบครัวไปสู่ชุมชนสังคมที่กว้างขวางขึ้น จนหลักคิดชีวิตดังกล่าวกลายเป็นหลักคิดหลักเชื่อเป็น
“พระกิตติคุณ” ของคนๆ นั้น
สิ่งที่ฝังอยู่ในสำนึกของเราคือ “เราต้องทำดี” เราต้องทำตามเกณฑ์ของพ่อแม่เมื่อเป็นเด็ก ทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมเมื่อโตขึ้นมา และจึงไม่แปลกที่เราไม่รู้สึกว่า การตกอยู่ใต้อำนาจและอิทธิพลของสังคมทันสมัยปัจจุบันเป็นการผิด เพราะเป็นความคิดและพฤติกรรมที่เป็นไปตามกระแสสังคม ไม่ว่าจะเสพติดบริโภคนิยมอย่างงอมแงม ชีวิตตกลงในโคลนตมของ “เงินนิยม”
อย่างไม่สามารถถอนตัวขึ้นได้
อีกทั้งการยึดความคิดผิดๆ เรื่องเสรีภาพเป็นเรื่องของความเป็น “ปัจเจก”
เหล่านี้ทำให้การที่คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนดีมีศีลธรรมจริยา จึงเป็นเรื่องของ
“ตัวใครตัวมัน”
เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะต้องจัดการตนเอง โดยให้ “ใจปรารถนาของตน”
เป็นตัวชี้นำทิศทางและเป้าหมายในชีวิตของตน
ด้วยเหตุนี้
จึงมีความพยายามในหลากหลายรูปแบบของมนุษย์ ที่จะพึ่งพิงและจัดการชีวิตด้วยตนเอง แต่หลายต่อหลายคนพบสัจจะความจริงว่า เราไม่มีกำลังชีวิตเพียงพอที่จะควบคุม จัดการ
และเปลี่ยนแปลงภายในชีวิตของตนเองได้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าจำเป็นต้องจัดการเปลี่ยนแปลง และเมื่อลงมือพยายามจัดการเปลี่ยนแปลงก็พบว่า ไม่สามารถที่จะมีพลังชีวิตเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวตนแท้ของตนเองได้ เพราะ “เมล็ด”
ที่หว่านลงในชีวิตจิตวิญญาณตั้งแต่เกิดกำลังสำแดงผลของมัน เฉกเช่นเมื่อเราหว่านเมล็ดถั่วดำ ต้นอ่อนที่งอกและเติบโตขึ้น
จนออกดอกเกิดผลย่อมเกิดผลเป็นถั่วดำ
จะให้มันเกิดผลเป็นแตงกวาได้อย่างไร
นอกจากที่จะต้องรื้อแปลงถั่วดำออก
และหว่านเมล็ดแตงกวาลงไปใหม่เท่านั้น
การที่มีเพียงหลักศีลธรรม แนวทางปฏิบัติธรรมจริยา จึงไม่เพียงพอ
เพราะโดยหลักศีลธรรมและธรรมจริยาไม่มีพลังนำสู่การเปลี่ยนแปลงในรากฐานของชีวิตเราได้ ดังนั้น
เมื่อเราต้อง “พึ่งตนเอง”
ที่จะจัดการปฏิบัติตนตามหลักศีลธรรมจริยาเหล่านั้น เราก็พบความจริงอีกว่า
เราไม่มีพลังพอที่จะจัดการความคิดและพฤติกรรมชีวิตของเราได้ เราไม่สามารถพึ่งตนเองในทุกเรื่องชีวิตได้
สำหรับคริสตชน
เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีพลังแห่งความรักเมตตาที่จะ “รื้อถอนรากฐานชีวิตเดิมที่เติบโตจากเมล็ดที่หว่าน
บ่มเพาะ ฟูมฟักมาตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน” ออก
แล้วหว่านพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นทั้งความเข้าใจและมุมมองใหม่ในชีวิต
และมีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นทิศทางเป้าหมายในชีวิตของเรา
(แทนใจปรารถนาของเรา)
การเปลี่ยนแปลงใหญ่เช่นนี้ต้องพึ่งพลังจากพระเจ้า
เรายอมรับว่าเราไม่สามารถพึ่งพิงกำลังความสามารถของตนเองในชีวิตได้
แต่พระเจ้าทรงรักเมตตาและพร้อมที่จะทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา และนี่คือพระกิตติคุณ และนี่คือพระคุณของพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้สำหรับคริสตชนแล้ว เรายอมรับว่าตนไม่สามารถพึ่งตนเองได้ในทุกเรื่องของชีวิต
พระเจ้าทรงเป็นที่พึ่งสูงสุดในชีวิตทุกด้านทุกมิติของเรา จึงไม่น่าแปลกใจที่พี่น้องศาสนาเพื่อนบ้านจะถามว่า
“ทำไม คริสตชนจึงพูดถึงเรื่องการพึ่งพิงพระเจ้ามากมาย จนดูไม่พึ่งตนเองเลย”
ตลอดวันนี้เราคงต้องใคร่ครวญว่า เราจะยึดถือหลักเกณฑ์ศีลธรรมจริยา หรือ เราจะมีรากฐานชีวิตบนความเชื่อศรัทธา ไว้วางใจ
และพึ่งพิงในพระเจ้า
ที่จะเป็นพลังหนุนเสริมให้ชีวิตของเราดำเนินไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น