เมื่ออิสราเอลเข้าไปตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินพระสัญญา พระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครอง ดูแล
และปกป้องเขา
โดยพระองค์ทรงเลือกผู้ที่เป็นผู้วินิจฉัยให้เป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ ความถูกต้อง
และความยุติธรรมในสังคมอิสราเอลตามกฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระเจ้า
เมื่ออิสราเอลเข้าตั้งถิ่นฐานใหม่ๆ
ถ้าศัตรูยกกำลังมารุกรานอิสราเอลพระเจ้าจะทรงเรียกบางคนให้เป็นผู้วินิจฉัยให้นำกำลังเข้าต่อต้าน
หรือ สู้รบกับศัตรูเพื่อปกป้องประชากรในแผ่นดินแห่งพระสัญญา
จนกระทั่งเมื่ออิสราเอลมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว พระเจ้าทรงให้ผู้วินิจฉัยเป็นผู้ปกครองดูแล ตัดสินความขัดแย้งในหมู่ประชาชน คอยสอนและแนะนำกำกับการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามพระบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ของพระเจ้า
การปกครองดูแลอิสราเอลโดยผู้วินิจฉัยที่สัตย์ซื่ออย่างซามูเอลย่อมสร้างการยอมรับนับถือในหมู่ประชาชน แต่เมื่อลูกของซามูเอลขึ้นปกครองดูแลประชาชน กลับใช้อำนาจที่มีจากพระเจ้าผ่านทางซามูเอล
และอำนาจจากตำแหน่งในการหารายได้อย่างผิดๆ
รับสินบน บิดเบือนความยุติธรรม (1ซามูลเอล 8:1-3)
อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนขัดขืนพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยตัวของผู้นำผู้ปกครองอิสราเอลเสียเอง
ในอพยพ 18:21 พระเจ้าได้สั่งไว้ว่า
“...ท่านจงมองหาคนที่มีความสามารถ
ที่ยำเกรงพระเจ้า
ที่ไว้วางใจได้
และที่เกลียดสินบน
จงแต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เหนือพวกเขาเป็นผู้ปกครองคน...”
(ฉบับมาตรฐาน)
โยเอล บุตรหัวปี และ อาบียาห์ บุตรคนที่สองของซามูเอลจงใจขัดขืนพระบัญญัติของพระเจ้าเสียเองในฐานะผู้นำการปกครองอิสราเอล สร้างความอยุติธรรม และตักตวงผลประโยชน์เพื่อตนเอง สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนคนอิสราเอล นำมาซึ่งความไม่พอใจของประชาชน จนประชาชนต้องการปลดแอกออกจากการปกครองของบุตรซามูเอลทั้งสองคน และต้องการปลดแอกปฏิรูปการปกครองของอิสราเอลไปสู่ระบบกษัตริย์
ซึ่งเป็นกระแสระบบการปกครองในเวลานั้นของประเทศต่างๆ ที่แวดล้อมอิสราเอล (ข้อ 4-5)
ในเหตุการณ์นี้ได้ให้บทเรียนที่ประเมินค่ามิได้แก่เราด้วย
ประการแรก
เมื่อผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและทรงใช้ให้ดูแลปกครองประชากรของพระองค์ขัดขืน
และ ล้มเหลวในการกระทำตามพระบัญญัติและพระประสงค์ของพระเจ้า ย่อมสร้างความไม่พอใจแก่ประชากรของพระองค์ ต้องการที่จะเลือกผู้ที่จะมาปกครองเขาเองใหม่
เกิดการไม่ยอมรับและต่อต้านสิทธิอำนาจของผู้ปกครองอธรรม
ประการที่สอง เมื่อผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงเลือกกลับเป็นผู้นำผู้ปกครองที่บิดเบือน
ฉ้อฉล เสียเอง
ย่อมทำให้ประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธา และ หลู่พระเกียรติของพระเจ้า ทำให้ประชาชนปฏิเสธการปกครองของพระเจ้าที่ปกครองผ่านทางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและทรงใช้
ประการที่สาม
เมื่อประชาชนไม่พอใจผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้มาปกครองตนเอง และต้องการมีสิทธิที่จะเลือกผู้ครองด้วยตนเองนั้น ประชาชนย่อมมีแนวโน้มที่จะเลือกแนวทางการดำเนินชีวิตตามกระแสสังคมรอบข้างมากกว่าที่จะยังคงยืนหยัดที่จะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ที่มีพระเจ้าทรงเป็น “กษัตริย์” ในชีวิตของพวกเขา ในเหตุการณ์ครั้งนี้เขาเลือกที่จะอยู่ในระบบการปกครองแบบกษัตริย์ ที่ให้มนุษย์มีอำนาจสูงสุดปกครองเหนือเขา (ข้อที่
7; 19-20) ถึงแม้ซามูลเอลชี้แจงให้ประชาชนเห็นถึงระบบกษัตริย์ในเวลานั้น
และ สิ่งที่กษัตริย์จะมีสิทธิอำนาจเหนือชีวิตและการดำเนินชีวิตของพวกเขาในทุกด้าน กษัตริย์ในระบบใหม่จะตักตวงผลประโยชน์จากชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการปกครองที่อยุติธรรมในอีกระบบหนึ่งเพราะผู้ปกครอง แต่ประชาชนยังต้องการมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มีอำนาจสูงสุดปกครองพวกเขา พวกเขาต้องการเลือกผู้ปกครองเขาด้วยตนเอง!
ประการสุดท้าย ความจริงการปกครองที่ยุติธรรม ชอบธรรม
และนำศานติสุขสู่ชีวิตของประชาชนนั้นมิได้อยู่ที่ระบบการปกครอง แต่อยู่กับคุณภาพชีวิต จิตใจ จิตวิญญาณ และ
ความถูกต้องชอบธรรมในการดำเนินชีวิตของผู้ทำการปกครองประชาชน ไม่ว่าเขาจะอยู่ในระบบการปกครองใดก็ตาม
ถ้าองค์กรใด ชุมชนใด
ที่ผู้นำผู้ปกครองทำตัวดำเนินชีวิตที่มีอิทธิพลอำนาจเหนือ “ระบบ”
องค์กรนั้น ชุมชนนั้นก็ล่มจมฉิบหายเพราะผู้นำผู้ปกครองคนนั้น แต่ถ้าองค์กรใด ชุมชนใด ที่ผู้นำผู้ปกครองสัตย์ซื่อและมีคุณธรรมในการเกื้อหนุนและเสริมสร้างคุณค่าชีวิตและคุณธรรมของผู้ที่ตนปกป้อง
ดูแล และปกครอง
ชุมชนนั้นแม้ในเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก
คนในชุมชนนั้นจะร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการเสริมสร้างศานติสุขร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดี
ประเด็นคำถามที่สำคัญคือ แล้วผู้ที่ปกครองดูแลสุขทุกข์ของประชาชนด้วยความสัตย์ซื่อ
ชอบธรรม
ยุติธรรมและถูกต้องนั้นเกิดขึ้นจากอะไร?
คำตอบจากพระวจนะของพระเจ้าคือ
ผู้นำผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงเรียกและเลือกให้รับใช้กระทำพระราชกิจสานต่อจากพระราชกิจของพระเจ้า และผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงเลือกนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ถวายชีวิตให้พระองค์ทรงใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อการกระทำตามที่พระองค์ทรงเรียกให้กระทำนั้น รักเมตตากรุณาและให้ความยุติธรรมหลั่งไหลออกมาดั่งน้ำแก่ประชาชนที่ตนดูแล
และที่สำคัญคือ
ผู้นำคนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเอกเป็นใหญ่และเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตของตน มิใช่ยึดเกาะที่ตำแหน่งเพื่อไขว่คว้าควานหาผลประโยชน์ส่วนตน และ การเสริมเพิ่มบารมีและอำนาจของตนเอง ที่ทำให้ตนสามารถยืนหยัด “ปกครอง”
(มีตำแหน่ง)ให้ยั่งยืนนานที่สุด!
ดังนั้น
สำหรับคริสตชนแล้ว การที่จะมีผู้นำผู้ปกครองที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม คุณภาพที่แท้จริงนั้น ประการรากฐานสำคัญคือ
ผู้นำผู้ปกครองคนนั้นต้องเชื่อและศรัทธา
สัตย์ซื่อต่อการทรงเรียกและทรงใช้ของพระเจ้า และต้องใช้สิทธิอำนาจที่มีอยู่อย่างรับผิดชอบต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และ เอื้ออำนวยให้เกิดศานติสุขแก่ประชาชนที่ตนปกครอง มิได้ขึ้นอยู่กับระบบการปกครอง หรือ
ระบบการเมืองเป็นใหญ่
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. ในวันนี้
พระเจ้าทรงเรียกและเลือกให้ท่านเป็นผู้ปกป้อง และ ปกครองใครบ้าง?
2. ท่านมีมุมมองอย่างไรต่อความรับผิดชอบที่ต้องปกครองคนเหล่านั้นในวันนี้ว่า การปกครองคือการที่เรามีสิทธิอำนาจที่จะกระทำสิ่งต่างๆ
ต่อคนเหล่านั้น หรือ เรามีมุมมองว่าการปกครองคือการปกป้อง เอาใจใส่ชีวิต
และการทำงานของคนเหล่านั้น?
ทำไมท่านถึงคิดและเข้าใจเช่นนั้น?
3. ท่านคิดและมีความเข้าใจว่า “กษัตริย์” บนรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธาของคริสตชน
กษัตริย์ควรมีคุณลักษณะ และ
คุณธรรมในชีวิตแบบไหน? และมีอะไรเป็นเป้าหมายปลายทางของการเป็นผู้นำหรือ
“กษัตริย์”
ในบริบทสังคมหลากหลายในปัจจุบัน?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น