28 พฤศจิกายน 2555

คนหรือระบบ?


เมื่ออิสราเอลเข้าไปตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินพระสัญญา   พระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครอง ดูแล และปกป้องเขา   โดยพระองค์ทรงเลือกผู้ที่เป็นผู้วินิจฉัยให้เป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่  ความถูกต้อง  และความยุติธรรมในสังคมอิสราเอลตามกฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระเจ้า

เมื่ออิสราเอลเข้าตั้งถิ่นฐานใหม่ๆ   ถ้าศัตรูยกกำลังมารุกรานอิสราเอลพระเจ้าจะทรงเรียกบางคนให้เป็นผู้วินิจฉัยให้นำกำลังเข้าต่อต้าน หรือ สู้รบกับศัตรูเพื่อปกป้องประชากรในแผ่นดินแห่งพระสัญญา   จนกระทั่งเมื่ออิสราเอลมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว   พระเจ้าทรงให้ผู้วินิจฉัยเป็นผู้ปกครองดูแล   ตัดสินความขัดแย้งในหมู่ประชาชน   คอยสอนและแนะนำกำกับการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามพระบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ของพระเจ้า

การปกครองดูแลอิสราเอลโดยผู้วินิจฉัยที่สัตย์ซื่ออย่างซามูเอลย่อมสร้างการยอมรับนับถือในหมู่ประชาชน   แต่เมื่อลูกของซามูเอลขึ้นปกครองดูแลประชาชน   กลับใช้อำนาจที่มีจากพระเจ้าผ่านทางซามูเอล และอำนาจจากตำแหน่งในการหารายได้อย่างผิดๆ  รับสินบน  บิดเบือนความยุติธรรม (1ซามูลเอล 8:1-3)    อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนขัดขืนพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยตัวของผู้นำผู้ปกครองอิสราเอลเสียเอง 

ในอพยพ 18:21  พระเจ้าได้สั่งไว้ว่า 

“...ท่านจงมองหาคนที่มีความสามารถ
ที่ยำเกรงพระเจ้า
ที่ไว้วางใจได้
และที่เกลียดสินบน
จงแต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เหนือพวกเขาเป็นผู้ปกครองคน...”
(ฉบับมาตรฐาน)

โยเอล บุตรหัวปี  และ อาบียาห์ บุตรคนที่สองของซามูเอลจงใจขัดขืนพระบัญญัติของพระเจ้าเสียเองในฐานะผู้นำการปกครองอิสราเอล   สร้างความอยุติธรรม  และตักตวงผลประโยชน์เพื่อตนเอง   สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนคนอิสราเอล   นำมาซึ่งความไม่พอใจของประชาชน  จนประชาชนต้องการปลดแอกออกจากการปกครองของบุตรซามูเอลทั้งสองคน   และต้องการปลดแอกปฏิรูปการปกครองของอิสราเอลไปสู่ระบบกษัตริย์   ซึ่งเป็นกระแสระบบการปกครองในเวลานั้นของประเทศต่างๆ ที่แวดล้อมอิสราเอล  (ข้อ 4-5)

ในเหตุการณ์นี้ได้ให้บทเรียนที่ประเมินค่ามิได้แก่เราด้วย  

ประการแรก  เมื่อผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและทรงใช้ให้ดูแลปกครองประชากรของพระองค์ขัดขืน และ ล้มเหลวในการกระทำตามพระบัญญัติและพระประสงค์ของพระเจ้า   ย่อมสร้างความไม่พอใจแก่ประชากรของพระองค์   ต้องการที่จะเลือกผู้ที่จะมาปกครองเขาเองใหม่   เกิดการไม่ยอมรับและต่อต้านสิทธิอำนาจของผู้ปกครองอธรรม

ประการที่สอง  เมื่อผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงเลือกกลับเป็นผู้นำผู้ปกครองที่บิดเบือน ฉ้อฉล เสียเอง  ย่อมทำให้ประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธา และ หลู่พระเกียรติของพระเจ้า  ทำให้ประชาชนปฏิเสธการปกครองของพระเจ้าที่ปกครองผ่านทางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและทรงใช้

ประการที่สาม  เมื่อประชาชนไม่พอใจผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้มาปกครองตนเอง  และต้องการมีสิทธิที่จะเลือกผู้ครองด้วยตนเองนั้น ประชาชนย่อมมีแนวโน้มที่จะเลือกแนวทางการดำเนินชีวิตตามกระแสสังคมรอบข้างมากกว่าที่จะยังคงยืนหยัดที่จะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ที่มีพระเจ้าทรงเป็น “กษัตริย์” ในชีวิตของพวกเขา  ในเหตุการณ์ครั้งนี้เขาเลือกที่จะอยู่ในระบบการปกครองแบบกษัตริย์   ที่ให้มนุษย์มีอำนาจสูงสุดปกครองเหนือเขา (ข้อที่ 7;  19-20ถึงแม้ซามูลเอลชี้แจงให้ประชาชนเห็นถึงระบบกษัตริย์ในเวลานั้น  และ สิ่งที่กษัตริย์จะมีสิทธิอำนาจเหนือชีวิตและการดำเนินชีวิตของพวกเขาในทุกด้าน กษัตริย์ในระบบใหม่จะตักตวงผลประโยชน์จากชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นการปกครองที่อยุติธรรมในอีกระบบหนึ่งเพราะผู้ปกครอง แต่ประชาชนยังต้องการมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มีอำนาจสูงสุดปกครองพวกเขา พวกเขาต้องการเลือกผู้ปกครองเขาด้วยตนเอง!

ประการสุดท้าย   ความจริงการปกครองที่ยุติธรรม  ชอบธรรม  และนำศานติสุขสู่ชีวิตของประชาชนนั้นมิได้อยู่ที่ระบบการปกครอง   แต่อยู่กับคุณภาพชีวิต  จิตใจ  จิตวิญญาณ และ ความถูกต้องชอบธรรมในการดำเนินชีวิตของผู้ทำการปกครองประชาชน  ไม่ว่าเขาจะอยู่ในระบบการปกครองใดก็ตาม

ถ้าองค์กรใด  ชุมชนใด  ที่ผู้นำผู้ปกครองทำตัวดำเนินชีวิตที่มีอิทธิพลอำนาจเหนือ “ระบบ” องค์กรนั้น ชุมชนนั้นก็ล่มจมฉิบหายเพราะผู้นำผู้ปกครองคนนั้น   แต่ถ้าองค์กรใด  ชุมชนใด ที่ผู้นำผู้ปกครองสัตย์ซื่อและมีคุณธรรมในการเกื้อหนุนและเสริมสร้างคุณค่าชีวิตและคุณธรรมของผู้ที่ตนปกป้อง ดูแล และปกครอง   ชุมชนนั้นแม้ในเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก   คนในชุมชนนั้นจะร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการเสริมสร้างศานติสุขร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดี

ประเด็นคำถามที่สำคัญคือ   แล้วผู้ที่ปกครองดูแลสุขทุกข์ของประชาชนด้วยความสัตย์ซื่อ ชอบธรรม  ยุติธรรมและถูกต้องนั้นเกิดขึ้นจากอะไร?   คำตอบจากพระวจนะของพระเจ้าคือ  ผู้นำผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงเรียกและเลือกให้รับใช้กระทำพระราชกิจสานต่อจากพระราชกิจของพระเจ้า  และผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงเลือกนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ถวายชีวิตให้พระองค์ทรงใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์   และสัตย์ซื่อต่อการกระทำตามที่พระองค์ทรงเรียกให้กระทำนั้น   รักเมตตากรุณาและให้ความยุติธรรมหลั่งไหลออกมาดั่งน้ำแก่ประชาชนที่ตนดูแล   และที่สำคัญคือ ผู้นำคนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเอกเป็นใหญ่และเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตของตน   มิใช่ยึดเกาะที่ตำแหน่งเพื่อไขว่คว้าควานหาผลประโยชน์ส่วนตน  และ การเสริมเพิ่มบารมีและอำนาจของตนเอง   ที่ทำให้ตนสามารถยืนหยัด “ปกครอง” (มีตำแหน่ง)ให้ยั่งยืนนานที่สุด!

ดังนั้น  สำหรับคริสตชนแล้ว   การที่จะมีผู้นำผู้ปกครองที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม  คุณภาพที่แท้จริงนั้น  ประการรากฐานสำคัญคือ ผู้นำผู้ปกครองคนนั้นต้องเชื่อและศรัทธา   สัตย์ซื่อต่อการทรงเรียกและทรงใช้ของพระเจ้า   และต้องใช้สิทธิอำนาจที่มีอยู่อย่างรับผิดชอบต่อพระประสงค์ของพระเจ้า  และ เอื้ออำนวยให้เกิดศานติสุขแก่ประชาชนที่ตนปกครอง    มิได้ขึ้นอยู่กับระบบการปกครอง หรือ ระบบการเมืองเป็นใหญ่

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ

1. ในวันนี้  พระเจ้าทรงเรียกและเลือกให้ท่านเป็นผู้ปกป้อง และ ปกครองใครบ้าง?  
2. ท่านมีมุมมองอย่างไรต่อความรับผิดชอบที่ต้องปกครองคนเหล่านั้นในวันนี้ว่า  การปกครองคือการที่เรามีสิทธิอำนาจที่จะกระทำสิ่งต่างๆ ต่อคนเหล่านั้น  หรือ  เรามีมุมมองว่าการปกครองคือการปกป้อง  เอาใจใส่ชีวิต  และการทำงานของคนเหล่านั้น?   ทำไมท่านถึงคิดและเข้าใจเช่นนั้น?
3. ท่านคิดและมีความเข้าใจว่า “กษัตริย์” บนรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธาของคริสตชน   กษัตริย์ควรมีคุณลักษณะ  และ  คุณธรรมในชีวิตแบบไหน?   และมีอะไรเป็นเป้าหมายปลายทางของการเป็นผู้นำหรือ “กษัตริย์”  ในบริบทสังคมหลากหลายในปัจจุบัน?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น