10 พฤศจิกายน 2555

มนุษย์นี่ประหลาด!


หญิงสาวคนหนึ่งเดินทอดน่องบนหาดชายฝั่งทะเลเคียงข้างไปกับผู้เฒ่า   เธอเติบโตด้วยการเอาใจใส่ของชายผู้สูงอายุคนนี้   แม่ของเธอได้ทิ้งเธอไปมีชายใหม่ตั้งนานมาแล้ว   แต่ผู้เฒ่าดูแลและเลี้ยงดูเธอมาอย่างดียิ่งกว่าคนในสายเลือดของเธอเสียอีก   เธอชอบที่ผู้เฒ่าปฏิบัติต่อเธอด้วยความนับถือและเท่าเทียม   และเขาสนใจจริงจังในความนึกคิดของเธอ  ความคิดของเธอ  และแผนงานล่าสุดของเธอด้วย   เธอพยายามที่จะมีเวลาอยู่กับเขา   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความคิดของผู้เฒ่าเปิดออก   ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนัก

“ดูแอปเปิลป่าลูกนั้นซิ”  ผู้เฒ่ากระตุ้นความสนใจ “... ไม่ว่ามันจะถูกลมพัดไปแรงแค่ไหน  หรือคลื่นซัดมันไปที่แห่งใด   หรือจะถูกเจ้านกโฉบจิกอย่างไร...   มันจะหาทางกลับมาที่เดิมของมัน”

เธอพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แม้เธอจะไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ

“ปลาว่ายน้ำเป็นระยะทางไกลถึง 6,000 ไมล์  จากแม่น้ำไปสู่ปากอ่าว  ลงไปในทะเล   และว่ายกลับมาโดยมันไม่ต้องมีแผนที่ แผนการเดินทาง  เครื่องชี้ทาง  เครื่องนำทาง   และนี่ฉันก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าประหลาดอีกประการหนึ่งด้วย”   ผู้เฒ่า เงียบ  หยุดพูดพักหนึ่ง 

“ปลาย่อมรู้วิถีของปลา”  เธอใส่ประโยคความคิดนี้ที่เธอเคยได้ยินมาจากผู้เฒ่าก่อนหน้านี้

ผู้เฒ่าเบิกรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อไปว่า  “จริงๆ แล้ว  มันไม่เหมือนมนุษย์เรานะ”

“โอ้?”  เธอโพล่งออกมาอย่างเป็นเหมือนคำถาม

“คนจนต้องการร่ำรวย  และคนร่ำรวยก็มิได้มีความสุขอย่างที่ปรารถนาเหมือนปลา   เรามีหนทางที่จะเปลี่ยนจุดที่เรายืน จุดที่เราเป็นมากมาย  แต่เราใช้โอกาสนั้นน้อยเหลือเกิน...   และฉันว่า สิ่งนี้ที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์นี้น่าประหลาดจริงๆ”  เขากล่าว

“ท่านหมายความว่าอะไรนะ?”  เธอกระตุ้นถาม

“คนมั่งคั่งร่ำรวยรู้หนทางของเขา  เมื่อร่ำรวยแล้ว  คนพวกนี้มักไม่ค่อยอยากจะแบ่งปันหนทางที่เขาเดินไปอย่างชัดเจนเพื่อคนอื่นจะเดินตามบนเส้นทางนั้นได้   แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก   พวกคนจนก็เดินบนหนทางของคนจนต่อไป   แล้วก็บ่นด้วยความคับข้องใจมากกว่าที่จะสนใจเรียนรู้บนเส้นทางที่ทุกข์ยากลำบากนี้   ข้อมูลความจริงต่างๆ ปรากฏโทนโท่อยู่หน้าเขาบนเส้นทางที่เขากำลังเดินอยู่  พูนพร้อมให้เขาเรียนรู้นำสู่การเปลี่ยนแปลง   เพื่อเขาจะได้ “ยุติชะตาชีวิตที่เป็นอยู่” ของเขา

“แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ” เธอสวนขึ้น

“แต่นั่นเป็นหนทางหนึ่งที่เดินไปได้” ผู้เฒ่าเถียง  “มันอาจจะไม่ใช่หนทางที่สะดวกสบายง่ายๆ   แต่มันเป็นเส้นทางที่เรียบง่าย  และทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้”

“อย่างไรหรือ?”  หญิงสาวถาม

“ที่ห้องสมุด  ในอินเตอร์เน็ท  ถ้าใครสนใจก็จะแสวงหาแหล่งข้อมูลความรู้ได้...  และถ้าเขาจะใคร่ครวญพิจารณาประสบการณ์ที่ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา...  ไม่ใช่ไล่ล่าความปรารถนาจอมปลอมจาก “เงินนิยม  อำนาจนิยม และ ตนเองนิยม” ที่ครอบยึดจิตใจของเขา...  จนหลงวนเวียนไม่รู้ว่าชีวิตของตนอยู่ที่ไหน”  ผู้เฒ่าเดินตรงเพื่อข้ามหาดทรายไปอย่างเงียบๆ และครุ่นคิด

“แล้วคุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”  เธอถามติดๆ  “คุณไม่ได้สูญเสียสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดใช่ไหม?

“สองครั้ง”  เขาหัวเราะในลำคอ  “ครั้งที่สองมันแย่ยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก”

หญิงสาวกลืนน้ำลายเบาๆ แล้วแหย่ถามต่อไปว่า “ทำไมล่ะ?”

“เพราะฉันไม่รู้หนทางของพวกคนร่ำรวย  และก็ไม่ได้นับถือคนพวกนี้”  เขาพูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ยิ่งกว่านั้น  อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ  ฉันไล่ล่าเงินตราแทนที่จะไล่ล่าความใฝ่ฝันภายในของฉัน”

“แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหมคะ?”

ท่านผู้เฒ่าเงียบเพื่อดึงดูดความสนใจ   ส่วนหญิงสาวเงียบเพื่อรอคอยคำตอบจากเขา

“ถ้าปราศจากการให้การนับถือกัน  เงินนั้นมาแล้วก็ไป   เมื่อชีวิตขาดทักษะเราก็จะเหลือเวลามากมาย   ปราศจากความฝันและความหวัง   ฉันก็จะไม่มีความอดทนยืนหยัดและที่จะลงมือเริ่มต้นใหม่   นอกจาก ฉันจะเอาจริงเอาจังที่จะเรียนรู้เส้นทางที่เงินทอง อำนาจ ชื่อเสียงจะกลับมาหาฉันแล้ว    วิธีที่จะได้สิ่งเหล่านี้มาโดยไม่สอดคล้องเหมาะสมกับระบบคุณค่าในตัวของฉัน  ที่จะทำให้ฉันมีชีวิตและความพยายามที่สร้างคุณค่าและความหมาย   ฉันคิดว่า  ถึงแม้จะรู้หนทางและวิถีของคนร่ำรวยฉันก็จะไม่ทำมัน  และเลิกราจากมัน   ถึงแม้ในเวลานี้อาจจะเห็นว่านี่เป็นทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น” 

“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงจะเลิกรามัน” 

“มุมมองหรือวิธีมองของคนเราคือตัวกำหนดผลที่จะเกิดในเป้าหมายปลายทาง  ไม่ใช่วัตถุดิบที่เราใช้  หรือฝีมือที่เราทำลงไป”  ผู้เฒ่ากล่าวต่อไปว่า “เราแต่ละคนยืนอยู่บนจุดใดจุดหนึ่งของพื้นที่ชีวิตแห่งการสูญเสีย   แต่ที่น่าสงสารคือเราไม่เคยคิดตัดสินใจที่จะก้าวๆ แรกออกพ้นจากพื้นที่ชีวิตแห่งการสูญเสียนั้น”

“แล้วถ้ามันต้องใช้เวลาที่ยาวนานล่ะจะเป็นอย่างไร?”   หญิงสาวถาม

“มันไม่สำคัญอะไรนะ...  แล้วเธอจะอยู่ที่ไหนล่ะถ้าเธอไม่ยอมทำอะไรเลยในชีวิตเป็นเวลาที่ยาวนาน?

“แย่จริง”  เธอพึมพำออกมา “และถ้าอยู่กับที่อย่างนั้นอย่างยาวนาน  มันก็แก่ลง และ อาจจะขมขื่นกว่าเดิม”  ชายชราก้าวฝีเท้าเชื่องช้าลง

“แล้วท่านจะหลีกลี้หนีออกไปจากสภาพการณ์เช่นนี้อย่างไร?”  เธอถามย้ำ

ผู้เฒ่าเอามือจับไหล่ของหญิงสาว  “ฉันจะไม่หนี...ฉันเลือกจะล้มลงไปข้างหน้าบนเส้นทางชีวิตของฉัน... และเธอก็ทำอย่างนั้นได้ด้วย”  ผู้เฒ่ายุติการสนทนาของเขา

@@@@@@@

นี่คือสภาพชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันนี้   เรารู้ว่าเราน่าจะจัดการอย่างไรกับสภาพชีวิตที่เป็นอยู่   แต่เรากลับไม่ได้ขยับ  กลับไม่ได้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่น่าจะเป็น   เราวนเวียนอย่างเหนื่อยหน่ายในพื้นที่เดิมของชีวิต   ทั้งนี้เพราะเราขาดพลัง เราไม่มีกำลังที่จะขับเคลื่อนตนเองไปในทิศทางที่เรารู้ว่าดีว่าถูก

ความจริงก็คือว่า  มนุษย์เรา “รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว”  แต่มนุษย์กลับไม่มีพลังชีวิตหยุดยั้งกระทำสิ่งที่ชั่ว  ทั้งๆ ที่รู้ว่าชั่ว  ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรกระทำ  แต่เราก็ทำ   และก็เป็นความจริงด้วยว่า  มนุษย์ไม่มีพลังชีวิตที่จะทำในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าดีและถูกต้อง  และรู้อยู่เต็มอกว่าควรกระทำ   แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่ได้ทำ   และนี่คือสภาพชีวิตมนุษย์ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปชั่ว   คือตกในสภาพที่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว   รู้ว่าอะไรควรทำแต่ไม่ได้ทำ   รู้ว่าอะไรเลวไม่ควรทำกลับลงมือทำ   มนุษย์ตกลงในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมบังเหียนชีวิตของตนเอง    ในพระธรรมปฐมกาลกล่าวถึงสภาพชีวิตของมนุษย์ตกลงในกับดักอำนาจแห่งความบาปชั่วโดยใช้ภาษาภาพลักษณ์ว่า

“เค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา” 
(6:5 ฉบับมาตรฐาน)

เยเรมีย์กล่าวถึงความคิดจิตใจของมนุษย์ว่า

“จิตใจเป็นตัวล่อลวงเหนือสิ่งอื่นใด  
และเสื่อมทรามจนสุดจะแก้  
ใครจะเข้าใจจิตใจนั้นได้”
(17:9 อมตธรรม)

นี่คือสภาพชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ที่ถูกอำนาจแห่งความบาปชั่วหลากหลายรูปแบบครอบและคลุม  แล้วถูกควบคุมบงการให้อยู่ในกับดักของอำนาจมาร   จนมนุษย์เราสูญเสียเสรีภาพในการดำเนินชีวิตของตน

เปาโลได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ในพระธรรมโรมอย่างชัดเจนว่า

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง  
เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำ  
แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น (7:15)  
คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำก็ไม่ได้ทำ  
แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำก็ยังทำอยู่ (ข้อ 19)
โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้?...”
(ข้อ 24 ฉบับมาตรฐาน)

พระกิตติคุณ หรือ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์คือ การที่พระองค์ทรงกอบกู้ และ ทรงปลดปล่อยเราให้หลุดรอดออกจาก  “กงเล็บปีศาจ”  เพื่อมนุษย์เราจะได้เป็นไทจากอำนาจมาร   แล้วเข้ามามีชีวิตในพระคริสต์   คือมีชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า   อยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพระองค์   และในแผ่นดินของพระเจ้านั้นเองที่ทรงเปลี่ยนแปลงและสร้างชีวิตของเราขึ้นใหม่ตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า   และทรงประทานกำลังชีวิตแก่เราที่จะสามารถขับเคลื่อนชีวิตของเราในโลกนี้ไปตามพระประสงค์ของพระองค์    ซึ่งเป็นเป้าหมายชีวิตของเรา   และที่สำคัญคือเมื่อเราขับเคลื่อนชีวิตของเราไปสู่เป้าหมายตามพระประสงค์ของพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงขับเคลื่อนเคียงข้างเราไป   เพื่อกระทำให้น้ำพระทัยขอพระบิดาสำเร็จในแผ่นดินโลกนี้

วันนี้ท่านและข้าพเจ้าจะต้องตัดสินใจว่า   เราจะพึ่งตนเอง ใช้วิธีล้มไปข้างหน้า  หรือยอมเดินไปข้างหน้าตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์   แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันเข้าในสถานการณ์ที่ยากลำบาก   แต่เราก็มั่นใจในการทรงเคียงข้างตลอดเวลาของพระวิญญาณบริสุทธิ์   และการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้เอง   ที่เราได้เรียนรู้ถึงพระราชกิจที่พระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา   เราเติบโตขึ้นในความเชื่อ   และเรามั่นคงยิ่งขึ้นในการไว้วางใจในพระเจ้า

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น