หญิงสาวคนหนึ่งเดินทอดน่องบนหาดชายฝั่งทะเลเคียงข้างไปกับผู้เฒ่า
เธอเติบโตด้วยการเอาใจใส่ของชายผู้สูงอายุคนนี้
แม่ของเธอได้ทิ้งเธอไปมีชายใหม่ตั้งนานมาแล้ว แต่ผู้เฒ่าดูแลและเลี้ยงดูเธอมาอย่างดียิ่งกว่าคนในสายเลือดของเธอเสียอีก เธอชอบที่ผู้เฒ่าปฏิบัติต่อเธอด้วยความนับถือและเท่าเทียม และเขาสนใจจริงจังในความนึกคิดของเธอ ความคิดของเธอ
และแผนงานล่าสุดของเธอด้วย
เธอพยายามที่จะมีเวลาอยู่กับเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความคิดของผู้เฒ่าเปิดออก ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนัก
“ดูแอปเปิลป่าลูกนั้นซิ” ผู้เฒ่ากระตุ้นความสนใจ “...
ไม่ว่ามันจะถูกลมพัดไปแรงแค่ไหน
หรือคลื่นซัดมันไปที่แห่งใด หรือจะถูกเจ้านกโฉบจิกอย่างไร... มันจะหาทางกลับมาที่เดิมของมัน”
เธอพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
แม้เธอจะไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ
“ปลาว่ายน้ำเป็นระยะทางไกลถึง 6,000 ไมล์ จากแม่น้ำไปสู่ปากอ่าว ลงไปในทะเล
และว่ายกลับมาโดยมันไม่ต้องมีแผนที่ แผนการเดินทาง เครื่องชี้ทาง
เครื่องนำทาง
และนี่ฉันก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าประหลาดอีกประการหนึ่งด้วย” ผู้เฒ่า เงียบ หยุดพูดพักหนึ่ง
“ปลาย่อมรู้วิถีของปลา” เธอใส่ประโยคความคิดนี้ที่เธอเคยได้ยินมาจากผู้เฒ่าก่อนหน้านี้
ผู้เฒ่าเบิกรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อไปว่า “จริงๆ แล้ว
มันไม่เหมือนมนุษย์เรานะ”
“โอ้?”
เธอโพล่งออกมาอย่างเป็นเหมือนคำถาม
“คนจนต้องการร่ำรวย
และคนร่ำรวยก็มิได้มีความสุขอย่างที่ปรารถนาเหมือนปลา เรามีหนทางที่จะเปลี่ยนจุดที่เรายืน จุดที่เราเป็นมากมาย แต่เราใช้โอกาสนั้นน้อยเหลือเกิน... และฉันว่า
สิ่งนี้ที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์นี้น่าประหลาดจริงๆ”
เขากล่าว
“ท่านหมายความว่าอะไรนะ?” เธอกระตุ้นถาม
“คนมั่งคั่งร่ำรวยรู้หนทางของเขา เมื่อร่ำรวยแล้ว คนพวกนี้มักไม่ค่อยอยากจะแบ่งปันหนทางที่เขาเดินไปอย่างชัดเจนเพื่อคนอื่นจะเดินตามบนเส้นทางนั้นได้ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก พวกคนจนก็เดินบนหนทางของคนจนต่อไป
แล้วก็บ่นด้วยความคับข้องใจมากกว่าที่จะสนใจเรียนรู้บนเส้นทางที่ทุกข์ยากลำบากนี้ ข้อมูลความจริงต่างๆ ปรากฏโทนโท่อยู่หน้าเขาบนเส้นทางที่เขากำลังเดินอยู่ พูนพร้อมให้เขาเรียนรู้นำสู่การเปลี่ยนแปลง เพื่อเขาจะได้ “ยุติชะตาชีวิตที่เป็นอยู่”
ของเขา
“แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ” เธอสวนขึ้น
“แต่นั่นเป็นหนทางหนึ่งที่เดินไปได้”
ผู้เฒ่าเถียง “มันอาจจะไม่ใช่หนทางที่สะดวกสบายง่ายๆ แต่มันเป็นเส้นทางที่เรียบง่าย และทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้”
“อย่างไรหรือ?”
หญิงสาวถาม
“ที่ห้องสมุด
ในอินเตอร์เน็ท
ถ้าใครสนใจก็จะแสวงหาแหล่งข้อมูลความรู้ได้... และถ้าเขาจะใคร่ครวญพิจารณาประสบการณ์ที่ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา... ไม่ใช่ไล่ล่าความปรารถนาจอมปลอมจาก
“เงินนิยม อำนาจนิยม และ ตนเองนิยม”
ที่ครอบยึดจิตใจของเขา...
จนหลงวนเวียนไม่รู้ว่าชีวิตของตนอยู่ที่ไหน” ผู้เฒ่าเดินตรงเพื่อข้ามหาดทรายไปอย่างเงียบๆ และครุ่นคิด
“แล้วคุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” เธอถามติดๆ
“คุณไม่ได้สูญเสียสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดใช่ไหม?
“สองครั้ง”
เขาหัวเราะในลำคอ
“ครั้งที่สองมันแย่ยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก”
หญิงสาวกลืนน้ำลายเบาๆ แล้วแหย่ถามต่อไปว่า
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะฉันไม่รู้หนทางของพวกคนร่ำรวย และก็ไม่ได้นับถือคนพวกนี้” เขาพูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ยิ่งกว่านั้น
อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
ฉันไล่ล่าเงินตราแทนที่จะไล่ล่าความใฝ่ฝันภายในของฉัน”
“แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหมคะ?”
ท่านผู้เฒ่าเงียบเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนหญิงสาวเงียบเพื่อรอคอยคำตอบจากเขา
“ถ้าปราศจากการให้การนับถือกัน เงินนั้นมาแล้วก็ไป เมื่อชีวิตขาดทักษะเราก็จะเหลือเวลามากมาย ปราศจากความฝันและความหวัง
ฉันก็จะไม่มีความอดทนยืนหยัดและที่จะลงมือเริ่มต้นใหม่ นอกจาก ฉันจะเอาจริงเอาจังที่จะเรียนรู้เส้นทางที่เงินทอง
อำนาจ ชื่อเสียงจะกลับมาหาฉันแล้ว
วิธีที่จะได้สิ่งเหล่านี้มาโดยไม่สอดคล้องเหมาะสมกับระบบคุณค่าในตัวของฉัน
ที่จะทำให้ฉันมีชีวิตและความพยายามที่สร้างคุณค่าและความหมาย ฉันคิดว่า
ถึงแม้จะรู้หนทางและวิถีของคนร่ำรวยฉันก็จะไม่ทำมัน และเลิกราจากมัน
ถึงแม้ในเวลานี้อาจจะเห็นว่านี่เป็นทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น”
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงจะเลิกรามัน”
“มุมมองหรือวิธีมองของคนเราคือตัวกำหนดผลที่จะเกิดในเป้าหมายปลายทาง ไม่ใช่วัตถุดิบที่เราใช้ หรือฝีมือที่เราทำลงไป” ผู้เฒ่ากล่าวต่อไปว่า
“เราแต่ละคนยืนอยู่บนจุดใดจุดหนึ่งของพื้นที่ชีวิตแห่งการสูญเสีย แต่ที่น่าสงสารคือเราไม่เคยคิดตัดสินใจที่จะก้าวๆ
แรกออกพ้นจากพื้นที่ชีวิตแห่งการสูญเสียนั้น”
“แล้วถ้ามันต้องใช้เวลาที่ยาวนานล่ะจะเป็นอย่างไร?” หญิงสาวถาม
“มันไม่สำคัญอะไรนะ... แล้วเธอจะอยู่ที่ไหนล่ะถ้าเธอไม่ยอมทำอะไรเลยในชีวิตเป็นเวลาที่ยาวนาน?
“แย่จริง”
เธอพึมพำออกมา “และถ้าอยู่กับที่อย่างนั้นอย่างยาวนาน มันก็แก่ลง และ อาจจะขมขื่นกว่าเดิม” ชายชราก้าวฝีเท้าเชื่องช้าลง
“แล้วท่านจะหลีกลี้หนีออกไปจากสภาพการณ์เช่นนี้อย่างไร?” เธอถามย้ำ
ผู้เฒ่าเอามือจับไหล่ของหญิงสาว “ฉันจะไม่หนี...ฉันเลือกจะล้มลงไปข้างหน้าบนเส้นทางชีวิตของฉัน...
และเธอก็ทำอย่างนั้นได้ด้วย”
ผู้เฒ่ายุติการสนทนาของเขา
@@@@@@@
นี่คือสภาพชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันนี้
เรารู้ว่าเราน่าจะจัดการอย่างไรกับสภาพชีวิตที่เป็นอยู่ แต่เรากลับไม่ได้ขยับ กลับไม่ได้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่น่าจะเป็น เราวนเวียนอย่างเหนื่อยหน่ายในพื้นที่เดิมของชีวิต ทั้งนี้เพราะเราขาดพลัง
เราไม่มีกำลังที่จะขับเคลื่อนตนเองไปในทิศทางที่เรารู้ว่าดีว่าถูก
ความจริงก็คือว่า มนุษย์เรา “รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว”
แต่มนุษย์กลับไม่มีพลังชีวิตหยุดยั้งกระทำสิ่งที่ชั่ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าชั่ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควรกระทำ แต่เราก็ทำ
และก็เป็นความจริงด้วยว่า
มนุษย์ไม่มีพลังชีวิตที่จะทำในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าดีและถูกต้อง และรู้อยู่เต็มอกว่าควรกระทำ แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่ได้ทำ
และนี่คือสภาพชีวิตมนุษย์ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปชั่ว คือตกในสภาพที่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว รู้ว่าอะไรควรทำแต่ไม่ได้ทำ รู้ว่าอะไรเลวไม่ควรทำกลับลงมือทำ
มนุษย์ตกลงในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมบังเหียนชีวิตของตนเอง ในพระธรรมปฐมกาลกล่าวถึงสภาพชีวิตของมนุษย์ตกลงในกับดักอำนาจแห่งความบาปชั่วโดยใช้ภาษาภาพลักษณ์ว่า
“เค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา”
(6:5 ฉบับมาตรฐาน)
เยเรมีย์กล่าวถึงความคิดจิตใจของมนุษย์ว่า
“จิตใจเป็นตัวล่อลวงเหนือสิ่งอื่นใด
และเสื่อมทรามจนสุดจะแก้
ใครจะเข้าใจจิตใจนั้นได้”
(17:9 อมตธรรม)
นี่คือสภาพชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ที่ถูกอำนาจแห่งความบาปชั่วหลากหลายรูปแบบครอบและคลุม แล้วถูกควบคุมบงการให้อยู่ในกับดักของอำนาจมาร จนมนุษย์เราสูญเสียเสรีภาพในการดำเนินชีวิตของตน
เปาโลได้กล่าวเรื่องนี้ไว้ในพระธรรมโรมอย่างชัดเจนว่า
“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง
เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำ
แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น (7:15)
คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำก็ไม่ได้ทำ
แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำก็ยังทำอยู่
(ข้อ 19)
โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้?...”
(ข้อ 24 ฉบับมาตรฐาน)
พระกิตติคุณ หรือ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์คือ
การที่พระองค์ทรงกอบกู้ และ ทรงปลดปล่อยเราให้หลุดรอดออกจาก “กงเล็บปีศาจ”
เพื่อมนุษย์เราจะได้เป็นไทจากอำนาจมาร
แล้วเข้ามามีชีวิตในพระคริสต์
คือมีชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า
อยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพระองค์
และในแผ่นดินของพระเจ้านั้นเองที่ทรงเปลี่ยนแปลงและสร้างชีวิตของเราขึ้นใหม่ตามน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า
และทรงประทานกำลังชีวิตแก่เราที่จะสามารถขับเคลื่อนชีวิตของเราในโลกนี้ไปตามพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งเป็นเป้าหมายชีวิตของเรา และที่สำคัญคือเมื่อเราขับเคลื่อนชีวิตของเราไปสู่เป้าหมายตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงขับเคลื่อนเคียงข้างเราไป เพื่อกระทำให้น้ำพระทัยขอพระบิดาสำเร็จในแผ่นดินโลกนี้
วันนี้ท่านและข้าพเจ้าจะต้องตัดสินใจว่า เราจะพึ่งตนเอง ใช้วิธีล้มไปข้างหน้า หรือยอมเดินไปข้างหน้าตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันเข้าในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
แต่เราก็มั่นใจในการทรงเคียงข้างตลอดเวลาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
และการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้เอง ที่เราได้เรียนรู้ถึงพระราชกิจที่พระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา เราเติบโตขึ้นในความเชื่อ และเรามั่นคงยิ่งขึ้นในการไว้วางใจในพระเจ้า
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น