“ระหว่างที่พระองค์ประทับที่หมู่บ้านเบธานี ในบ้านของซีโมนคนที่เคยเป็นโรคเรื้อน ขณะเมื่อประทับและเสวยอาหารอยู่นั้นมีหญิงคนหนึ่งถือผอบน้ำมันหอมนารดาที่มีราคาแพงมากมาหาพระองค์
แล้วเปิดผอบเทน้ำมันนั้นชโลมลงบนพระเศียรของพระองค์” (มาระโก 14:3 ฉบับมาตรฐาน)
ในพระธรรมมาระโกได้บอกเราชัดเจนว่า บ้านที่พระเยซูไปประทับในครั้งนี้อยู่ในหมู่บ้านเบธานี หมู่บ้านเดียวกับบ้านของมารีย์และมาธา ยิ่งกว่านั้นมาระโกยังบอกอีกว่า
บ้านที่พระเยซูประทับรับประทานอาหารในครั้งนี้เป็นบ้านของคนที่ชื่อว่าซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อนมาก่อน
ซึ่งน่าจะเป็นการเลี้ยงขอบพระคุณพระเยซูที่ทรงรักษาเจ้าของบ้านให้หายจากโรคเรื้อน เพราะในพระธรรมยอห์นเขียนไว้ว่า “ที่นั่นมีงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระเยซู”
(ยอห์น 12:2 อมตธรรม)
ยอห์นได้ให้รายละเอียดมากกว่านั้นว่า ลาซารัส
ที่พระเยซูทรงให้ฟื้นจากความตายก็ร่วมโต๊ะในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย
และมารีย์ซึ่งเป็นพี่น้องกับลาซารัสได้นำน้ำหอมบริสุทธิ์ราคาแพงมาชโลมพระเยซูด้วย ยอห์นเขียนไว้ว่า
“...พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีถิ่นที่อยู่ของลาซารัส ผู้ซึ่งพระเยซูทรงให้ฟื้นขึ้นจากตาย ที่นั่นมีงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระเยซู มารธาคอยปรนนิบัติอยู่
ขณะนั้นลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์...” (ยอห์น 12:1-2)
เป็นไปได้อย่างสูงว่า ที่หมู่บ้านเบธานีได้จัดให้มีการเลี้ยงเป็นเกียรติและขอบพระคุณพระเยซู และเป็นการขอบพระคุณพระเจ้า
ที่พระองค์ทรงมีพระคุณต่อลาซารัสที่ทรงให้เป็นขึ้นจากความตาย และซีโมนได้หายจากการเป็นโรคเรื้อน ทำให้เขาสามารถกลับมามีชีวิตร่วมในชุมชนและครอบครัวอย่างปกติ ชีวิตกลับมีค่าอีกครั้งหนึ่ง
และงานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นในบ้านของซีโมน โดยมีครอบครัวของมารีย์และมารธามาร่วมปรนนิบัติในงานเลี้ยงนี้ด้วย ส่วนลาซารัสก็มาร่วมโต๊ะเสวยกับพระเยซูด้วย
ในการขอบพระคุณพระเจ้า และ
การเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแด่พระเยซูครั้งนี้
เหตุการณ์สำคัญมิใช่การเลี้ยงเฉลิมฉลองเท่านั้น แต่มารีย์ต้องการยกย่อง
เทิดทูนพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ที่มีสำคัญที่สุดในชีวิตของนาง
นางแสดงการเทิดทูนสูงสุดนี้ด้วยการนำสิ่งที่เธออดออมสะสมสิ่งที่มีค่าที่สุดของเธอคือผอบน้ำมันหอมนารดาราคาแพงมาชโลมแด่พระเยซู มาระโกบันทึกว่าเธอชโลมที่พระเศียรของพระเยซู แต่ยอห์นบันทึกว่า เธอชโลมน้ำมันหอมที่พระบาทของพระเยซูและเช็ดด้วยผมของเธอ ยอห์นบันทึกไว้ว่า
“มารีย์นำน้ำมันหอมบริสุทธิ์ราคาแพงประมาณครึ่งลิตร
(ในภาษากรีกว่า 1
ลิตรา)
มารินรดพระบาทของพระเยซูและใช้ผมของนางเช็ด กลิ่นน้ำมันหอมตลบอบอวลทั่วทั้งบ้าน” (ข้อ 3 อมตธรรม)
แต่ในสายตาของนักการเงินการคลังอย่างยูดาสอิสคาริโอทมองว่าการกระทำเช่นนี้ของมารีย์เป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองอย่างไร้ค่า เป็นการกระทำที่ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” เพราะยอห์นได้บันทึกและให้รายละเอียดในตอนนี้ ด้วยคำท้วงติงของยูดาสว่า
“ทำไมไม่ขายน้ำมันหอมนี้และนำเงินไปแจกจ่ายแก่คนยากจน น้ำมันหอมนี้มีมูลค่าเท่ากับค่าแรงงานหนึ่งปี
(ในภาษากรีกว่า 300
เดนาริอัน)ทีเดียว” (ข้อ 5 อมตธรรม)
ถ้าเป็นปัจจุบัน ยูดาสคงท้วงติงว่า พระเยซูรู้ไหมว่า
น้ำมันหอมครึ่งลิตรที่ชโลมพระองค์เพียงไม่กี่นาทีมันมีค่าถึง 90,000-100,000 บาทเลยทีเดียว
ฟังดูยูดาสก็มีเหตุผลนะ การกระทำของมารีย์ทำให้เสียของ และพระเยซูทำไมไม่ห้าม! มาระโกใช้คำว่า “...เขาตำหนินางอย่างรุนแรง”
(มาระโก 14:4 อมตธรรม)
ยูดาสคาดหวังว่าพระเยซูจะเป็นผู้นำประชาชนปฏิวัติปลดแอกจากการปกครองของพวกโรมัน การที่จะปลดแอกได้ต้องมีกองกำลัง และกองกำลังจะมีได้ประชาชนต้องเข้ามาร่วม การทำการอัศจรรย์และการรักษาโรคของพระเยซูก็เป็นหนทางหนึ่งที่ได้ประชาชนเข้ามาร่วมเป็นกองกำลังถ้าพระเยซูต้องการจะทำเช่นนั้น
และอีกหนทางหนึ่งคือการที่มีเงินและหว่านเงินให้กับคนยากคนจนซึ่งมีจำนวนมากในเวลานั้นก็จะได้กองกำลังมากมายทีเดียว
และถ้าขายน้ำมันหอมนี้แล้วเอาเงินมาหว่านซื้อคนยากคนจนสร้าง “ประชานิยม”
พระองค์ก็จะมีกองกำลังช่วยปลดแอกจากโรมันได้
แต่ยอห์นได้บันทึกข้อมูลสำคัญของยูดาสว่า ที่ยูดาสพูดเช่นนี้มิใช่เพราะ “ห่วงใยคนจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย ในฐานะผู้ถือกระเป๋าเงินเขาเคยยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป”
(ข้อ 6 อมตธรรม) จึงสันนิษฐานได้ว่า
ที่ยูดาสเสียดายน้ำมันหอมเพราะเขาไม่ได้ประโยชน์จากการกระทำของมารีย์ต่างหาก และไม่มีเงินไปหว่านซื้อเสียง “ประชานิยม”
เพื่อสร้างฐานอำนาจของตนมากกว่า
ครอบครัวของซีโมนจัดงานเลี้ยงขอบพระคุณและเป็นเกียรติแด่พระเยซู ครอบครัวของลาซารัสและมารธา
มารีย์ชโลมพระเยซูด้วยน้ำมันหอมราคาแพงก็เพราะทั้งสองครอบครัวนี้สำนึกในพระคุณของพระเจ้า และได้เทิดทูนพระองค์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่
สูงสุดในชีวิตของเขา และนี่คือ
“การนมัสการพระเจ้า” จากชีวิตจิตวิญญาณและด้วยความจริงใจและสุดจิตสุดใจของเขา การนมัสการเช่นนี้ไม่ “เสียของ” ไม่
“เสียเวลา”
ซึ่งแตกต่างและตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับมุมมองของนักการเงินการคลัง นักการเมือง นักฉกฉวยและขู่กรรโชกผลประโยชน์จากพระราชกิจของพระเจ้าอย่างยูดาส
พระเยซูตอบสนองการกล่าวตำหนิอย่างรุนแรงของยูดาสอิสคาริโอทว่า “อย่ายุ่งกับนาง ไปกวนใจนางทำไม หญิงคนนี้ได้ทำสิ่งดีงามให้เรา ท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ
ท่านสามารถช่วยพวกเขาได้ทุกเวลาตามที่ท่านต้องการ แต่เราจะไม่ได้อยู่กับท่านเสมอไป” (มาระโก 14:6-7 อมตธรรม) จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยูดาสอิสคาริโอทมั่นใจแล้วว่า พระเยซูจะไม่ทำอย่างที่ตนต้องการทางการเมือง ทั้งมาระโก และ ยอห์น
ต่างบันทึกเหมือนกันว่า ยูดาสกลายเป็น
“นกสองหัว”
เขาไปเข้ากับฝ่ายตรงกันข้ามของพระเยซู
แล้วสัญญาจะช่วยศัตรูขจัดพระเยซู
และปุโรหิตก็สัญญาว่าจะให้เงินแก่ยูดาส (ดูมาระโก 14:10)
และยูดาสก็ทำตัวยอมเป็นทาสรับใช้ของฝ่ายที่ให้เงินและผลประโยชน์แก่ตน
ทั้งมาระโก และ ยอห์นได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้เพื่อชี้และสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของผู้ที่มีจิตใจที่
“นมัสการพระเจ้า” คือผู้มีพระเจ้าเป็นเอกเป็นใหญ่เป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ที่นำสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิตของตนถวายอุทิศแด่พระเจ้า กับผู้ที่มีจิตใจผูกติดกับทรัพย์สิน
ผลประโยชน์ เงินทอง และอำนาจแห่งตน จะ “ฮุบ”
เอาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้ามาเป็นของตน
และพร้อมที่จะแปรพรรคทรยศต่อพระเจ้าเพื่อผลประโยชน์และความมั่งคั่ง
และการมีอำนาจของตนเอง
สิ่งเหล่านี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับเราที่เรียกตนเองว่าคริสตชน
หรือ เป็นสาวกของพระคริสต์
แต่พึงระวังว่า
ยูดาสอิสคาริโอทก็เป็นสาวกแถวหน้าคนหนึ่งของพระเยซูคริสต์เช่นกัน
การมีตำแหน่งทางศาสนา การเป็นผู้นำในคริสตจักร มิใช่เครื่องค้ำประกันได้ว่าคนๆ นั้นจะสัตย์ซื่อสูงสุดในชีวิตต่อพระเจ้า หรือ คนๆ นั้นจะยอมตนอุทิศรับใช้พระประสงค์ของพระองค์ เพราะหลายคนในกลุ่มนี้ที่ทรยศต่อพระเจ้าและทำทุกอย่างเพื่อรับใช้ตนเองก็มากมายครับ
การที่เราทุ่มเททุกสิ่งทั้งสิ้นที่เรามีในชีวิต
และ กระทำทุกวิถีทางเพื่อให้พระนามของพระเจ้าได้รับการนมัสการ การสรรเสริญ และการยกย่องเทิดทูน นั่นมิใช่การสิ้นเปลืองเสียของ แต่นั่นเป็นการที่เราสำนึกในพระคุณของพระเจ้า
และมีพระองค์ทรงเป็นเอกเป็นต้นและเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราต่างหาก
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ภาพต่างของท่าทีคน2คน ขอบคุณพระเจ้า
ตอบลบ