อ่าน มัทธิว 1:18-25
ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะว่า
“นี่แนะ
หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามท่านว่า อิมมานูเอล” (แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา หรือแปลตามตัวอักษรว่า
พระเจ้าที่อยู่กับเราหรือมนุษย์ อิสยาห์ 7:14)
เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ทำตามคำซึ่งทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา
(มัทธิว 1:22-24 ฉบับมาตรฐาน)
วันนี้ผมขอเชิญชวนเราทุกท่าน ลองเอาตนเองเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ที่โยเซฟได้รับในเวลานั้น
หรือจินตนาการว่าถ้าเราเป็นโยเซฟในเวลานั้นเกิดความคิด
ความรู้สึกอะไรและอย่างไรบ้าง
เพื่อที่จะสัมผัสว่า
เมื่อโยเซฟโอบอุ้มพระกุมารเยซูไว้ในอ้อมกอดของเขา เขาเกิดความรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ทารกน้อยคนนี้ที่ตนโอบกอดและดูแลในฐานะพ่อในโลกนี้
แต่โยเซฟก็รู้แน่ตระหนักชัดว่าทารกน้อยนี้มีชีวิตที่เกิดมาที่แตกต่างจากทารกทั่วไป
ทารกน้อยคนนี้เกิดจากพระบิดาในสวรรค์
เมื่อจินตนาการถึงความจริงนี้
หัวใจของผมรู้สึกผสมปนเปทั้งด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ความไม่มั่นใจ และมีความหวาดกลัวด้วย
ถ้าผมต้องเป็นโยเซฟ ผมเกิดคำถามในใจว่า ผมที่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีความจำกัด
ที่จะต้องตาย แต่ต้องมารับผิดชอบเลี้ยงดู
ทารกน้อยที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร?
จะเป็นไปได้อย่างไร...พระเจ้าข้า?
ท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้บ้างมิใช่หรือ? ท่านอาจจะได้งานใหม่ที่ตนเองไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลยในงานนั้น หรือ
ท่านได้รับประสบการณ์ว่าพระเจ้าทรงเรียก
ในที่สุดท่านตัดสินใจเดินออกจากชีวิตการงานที่สะดวกสบาย ที่ท่านคุ้นชิน ตัดสินใจมารับใช้ในงานของพระเจ้าที่ไม่คุ้นชิน หรือคนที่มีบุตร คนที่มีประสบการณ์เมื่อต้องอุ้มลูกน้อยของตนเป็นครั้งแรกในชีวิต
ในชีวิตจริง พระเจ้าทรงมอบหมายงานชีวิตแก่เราแต่ละคนที่เกินความสามารถที่จะรับผิดชอบเองได้ ไม่ว่างานชีวิตในครอบครัว
งานที่ต้องเลี้ยงดูฟูมฟักบุตรชายหญิงที่พระเจ้าประทานให้ งานอาชีพที่เราทำในแต่ละวัน งานรับใช้ในพันธกิจด้านต่างๆ ของคริสตจักร งานต่างๆ เหล่านี้มีสองมิติหลักคือ มิติทางกายภาพ เช่น
เราเลี้ยงดูบุตรของเราให้เจริญเติบโตและปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ยังมีมิติที่เราต้องบ่มเพาะฟูมฟักวิธีคิด หลักเกณฑ์การตัดสินใจ ระบบคุณค่าในชีวิต อีกทั้งการเติบโตเข้มแข็งด้านจิตวิญญาณอีก
เราจะเห็นว่ามิติส่วนลึกของชีวิตนั้นเกินความสามารถที่เราจะจัดการได้ ดั่งพ่อแม่บางคนมักกล่าวว่า
เราเลี้ยงได้แต่กายแต่ไม่สร้างเลี้ยงจิตใจของลูก
ในด้านการประกอบอาชีพในหน้าที่การงาน
จุดประสงค์ทางกายภาพแล้วเราทำงานประกอบอาชีพเพื่อที่จะมีรายได้สำหรับการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว แต่การทำงานอาชีพตามมิติในความเชื่อศรัทธาของคริสตชนแล้ว
เป้าหมายสูงสุดของการทำงานอาชีพคือเพื่อที่จะให้เกิดการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า
มิติระดับลึกนี้เกินความสามารถที่เราจะรับผิดชอบหรือจัดการด้วยตนเองได้
ยิ่งในฐานะคริสตชน
ทุกคนจะต้องรับผิดชอบพันธกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมายที่พระองค์ทรงไว้วางใจให้เราทำและรับผิดชอบ
งานนี้เราต้องการพึ่งพิงพระกำลังและพระปัญญาจากพระเจ้า ต้องพึ่งการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่สามารถทุ่มเทจัดการด้วยสติปัญญาและความสามารถของเราเองเท่านั้น
ดังนั้นการที่เรามีชีวิตอยู่ ต้องดำเนินชีวิตในสถานการณ์ต่างๆ และ ต้องกระทำสิ่งต่างๆ นั้น
แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เกินความสามารถที่เราจะทำได้เองทั้งสิ้น
แต่เราท่านมักคิดว่าเราต้องรับผิดชอบให้ได้ เราต้องทำสำเร็จให้ได้ และนี่คือที่มาของความวิตกกังวล สั่งสมความเครียด นำสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด บางครั้งเกือบบ้าคลั่ง ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนลงเอยด้วยการทำร้ายตนเอง บางคนลงเอยด้วยการทำร้ายคนอื่น บางคนหนีสถานการณ์นั้น จนบางคนหลุดลอยออกจากสภาพความเป็นจริงในชีวิตของเขา ไม่สามารถที่จะควบคุมได้ ไม่สามารถที่จะจัดการได้ ทั้งนี้เพราะ คิดและเข้าใจว่า
ตนสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตด้วยตนเอง
แต่ความเป็นจริงคือ ความสามารถของมนุษย์จำกัดเกินกว่าที่ตนจะจัดการด้วยตนเองได้
สัจจะความจริงในช่วงเวลาที่เราใคร่ครวญถึงการเสด็จมาการบังเกิดเป็นทารกน้อยที่อยู่ในการเลี้ยงดู
ปกป้อง บ่มเพาะ
ฟูมฟักของมารีย์และโยเซฟก็คือ
เมื่อพระเจ้าทรงไว้ใจและมอบหมายพระราชกิจให้คนใดคนหนึ่งรับผิดชอบ พระเจ้ามิได้ปล่อยให้คนๆ นั้นดิ้นรนรับใช้ตามยถากรรม
หรือ ตามมีตามเกิด หรือพึ่งแต่ตนเองเท่านั้น แต่เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายทารกน้อยให้มารีย์และโยเซฟเลี้ยงดูปกป้องนั้น ทารกน้อยมาพร้อมกับสัจจะความจริงคือ มีชื่อว่า “อิมมานูเอล” ซึ่งมีความหมายว่า พระเจ้าอยู่กับเรา พระเจ้าอยู่เคียงข้างในการรับใช้ของเรา
เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายสิ่งหนึ่งประการใดให้ใครรับผิดชอบ
พระเจ้าทรงอยู่ด้วย
พระองค์ทรงเคียงข้าง
แท้จริงแล้วพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจนั้นและทรงเรียกและมอบหมายงานบางส่วนให้เราร่วมรับผิดชอบในพระราชกิจของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรู้ว่า เรามีความสามารถและสติปัญญาที่จำกัด แต่พระองค์ประสงค์ให้เรามีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระองค์ เพื่อจะทรงเสริมสร้างให้เรามีความสามารถ
มีสติปัญญา
และมีความมั่นใจเพิ่มพูนมากขึ้น
และที่สำคัญยิ่งคือเราจะได้เรียนรู้ถึงน้ำพระทัย และ พระประสงค์ของพระเจ้าจากการที่เราเข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้น
พระราชกิจที่ทรงมอบหมายจึงไม่เกินกำลังความสามารถเพราะมีพระเจ้าทรงหนุนเสริม
ถ้าเช่นนั้น
ทำไมเราถึงยังวิตกกังวล
ทำไมเรายังเครียดแล้วเครียดอีก!
ให้เราเปลี่ยนมุมมองและความเข้าใจเสียใหม่ว่า พระเจ้าไม่ได้ให้เราเลี้ยงลูกด้วยตนเองเท่านั้น หรือให้เราทำงานในหน้าที่การงานนี้คนเดียว
ไม่ได้ทรงเรียกให้เรารับใช้อภิบาลคริสตจักรคนเดียว แต่ในงานความรับผิดชอบนี้ พระองค์ทรงเรียกให้เราเข้าไปร่วมงานกับพระองค์ต่างหาก แล้วเราจะเครียดไปทำไม
ทำไมไม่ทูลถามพระองค์เมื่อตนเองพบทางตันในชีวิตและการงาน ทำไมไม่ทูลขอการทรงชี้นำจากพระองค์ ทำไมไม่รอเวลาของพระองค์สักนิด หรือเพราะท่านคิดว่างานเลี้ยงลูก งานรับใช้
งานอาชีพเป็นงานของท่านเองคนเดียวหรือ?
หรือท่านคิดว่า ไม่ใช่งานที่ได้รับมอบหมายจากการทรงเรียกของพระเจ้าหรือ?
มิคาเอล คาร์ด (Michael Card) ได้ประพันธ์เพลงบทหนึ่งที่ชื่อว่า “บทเพลงของโยเซฟ” ในบทเพลงนั้นได้บรรยายถึงความรู้สึกที่โยเซฟได้รับมอบหมายงานดูแลปกป้องมารีย์และพระกุมารจากพระเจ้าผ่านทางทูตสวรรค์ของพระองค์
แต่ก็มีคำถามต่อพระเจ้าเช่นกันว่า
เขาจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้ได้อย่างไร เพราะเขาเป็นเพียงช่างไม้ที่ต้องเลี้ยงดูทารกที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า ในตอนท้ายของเพลงมีความว่า
...พระบิดาเจ้าข้า
โปรดทรงสำแดงว่าข้าพระองค์จะทำหน้าที่นี้อย่างไรที่จะสอดคล้องกับแผนการของพระองค์
โปรดทรงสำแดงว่า
พ่อที่เป็นมนุษย์ปุถุชนจะเป็นพ่อของพระบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร?
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตลอดชีวิตของข้าพระองค์ก็เป็นเพียงช่างไม้ธรรมดาคนหนึ่ง
แล้วข้าพระองค์จะเลี้ยงดูฟูมฟักจอมกษัตริย์ได้อย่างไร?
.....
ขอให้ประโยคที่ว่า
“โปรดทรงสำแดงว่าข้าพระองค์จะทำหน้าที่นี้อย่างไรที่จะสอดคล้องกับแผนการของพระองค์”
เป็นคำอธิษฐานของเราในวันคริสตสมภพนี้ และตลอดปีใหม่ที่กำลังเข้ามา
เมื่อใดก็ตามที่ท่านเกิดความรู้สึกว่า ชีวิตจนตรอกหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับชีวิตหรือการงาน โปรดระลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่ว่า
“...เราจะอยู่กับท่านเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค”
(มัทธิว 28:20)
“...ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา...” (เศคาริยาห์ 4:6)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น