24 ธันวาคม 2555

เป็นไปได้อย่างไร...พระเจ้าข้าฯ?


อ่าน มัทธิว 1:18-25

ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า   ซึ่งตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะว่า
“นี่แนะ   หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง  และเขาจะเรียกนามท่านว่า อิมมานูเอล” (แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา หรือแปลตามตัวอักษรว่า พระเจ้าที่อยู่กับเราหรือมนุษย์  อิสยาห์ 7:14)
เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ทำตามคำซึ่งทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งนั้น   คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา
(มัทธิว 1:22-24 ฉบับมาตรฐาน)

วันนี้ผมขอเชิญชวนเราทุกท่าน   ลองเอาตนเองเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ที่โยเซฟได้รับในเวลานั้น  หรือจินตนาการว่าถ้าเราเป็นโยเซฟในเวลานั้นเกิดความคิด ความรู้สึกอะไรและอย่างไรบ้าง    เพื่อที่จะสัมผัสว่า   เมื่อโยเซฟโอบอุ้มพระกุมารเยซูไว้ในอ้อมกอดของเขา   เขาเกิดความรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ทารกน้อยคนนี้ที่ตนโอบกอดและดูแลในฐานะพ่อในโลกนี้
แต่โยเซฟก็รู้แน่ตระหนักชัดว่าทารกน้อยนี้มีชีวิตที่เกิดมาที่แตกต่างจากทารกทั่วไป
ทารกน้อยคนนี้เกิดจากพระบิดาในสวรรค์

เมื่อจินตนาการถึงความจริงนี้ หัวใจของผมรู้สึกผสมปนเปทั้งด้วยความเห็นอกเห็นใจ  ความไม่มั่นใจ  และมีความหวาดกลัวด้วย    ถ้าผมต้องเป็นโยเซฟ  ผมเกิดคำถามในใจว่า   ผมที่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีความจำกัด ที่จะต้องตาย   แต่ต้องมารับผิดชอบเลี้ยงดู ทารกน้อยที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร?
 
จะเป็นไปได้อย่างไร...พระเจ้าข้า?

ท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้บ้างมิใช่หรือ?   ท่านอาจจะได้งานใหม่ที่ตนเองไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลยในงานนั้น   หรือ  ท่านได้รับประสบการณ์ว่าพระเจ้าทรงเรียก  ในที่สุดท่านตัดสินใจเดินออกจากชีวิตการงานที่สะดวกสบาย  ที่ท่านคุ้นชิน   ตัดสินใจมารับใช้ในงานของพระเจ้าที่ไม่คุ้นชิน    หรือคนที่มีบุตร  คนที่มีประสบการณ์เมื่อต้องอุ้มลูกน้อยของตนเป็นครั้งแรกในชีวิต

ในชีวิตจริง  พระเจ้าทรงมอบหมายงานชีวิตแก่เราแต่ละคนที่เกินความสามารถที่จะรับผิดชอบเองได้   ไม่ว่างานชีวิตในครอบครัว   งานที่ต้องเลี้ยงดูฟูมฟักบุตรชายหญิงที่พระเจ้าประทานให้  งานอาชีพที่เราทำในแต่ละวัน   งานรับใช้ในพันธกิจด้านต่างๆ ของคริสตจักร   งานต่างๆ เหล่านี้มีสองมิติหลักคือ   มิติทางกายภาพ เช่น เราเลี้ยงดูบุตรของเราให้เจริญเติบโตและปลอดภัยในระดับหนึ่ง   แต่ยังมีมิติที่เราต้องบ่มเพาะฟูมฟักวิธีคิด  หลักเกณฑ์การตัดสินใจ   ระบบคุณค่าในชีวิต   อีกทั้งการเติบโตเข้มแข็งด้านจิตวิญญาณอีก   เราจะเห็นว่ามิติส่วนลึกของชีวิตนั้นเกินความสามารถที่เราจะจัดการได้   ดั่งพ่อแม่บางคนมักกล่าวว่า เราเลี้ยงได้แต่กายแต่ไม่สร้างเลี้ยงจิตใจของลูก

ในด้านการประกอบอาชีพในหน้าที่การงาน   จุดประสงค์ทางกายภาพแล้วเราทำงานประกอบอาชีพเพื่อที่จะมีรายได้สำหรับการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว   แต่การทำงานอาชีพตามมิติในความเชื่อศรัทธาของคริสตชนแล้ว  เป้าหมายสูงสุดของการทำงานอาชีพคือเพื่อที่จะให้เกิดการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า   มิติระดับลึกนี้เกินความสามารถที่เราจะรับผิดชอบหรือจัดการด้วยตนเองได้

ยิ่งในฐานะคริสตชน  ทุกคนจะต้องรับผิดชอบพันธกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมายที่พระองค์ทรงไว้วางใจให้เราทำและรับผิดชอบ   งานนี้เราต้องการพึ่งพิงพระกำลังและพระปัญญาจากพระเจ้า   ต้องพึ่งการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์   เราไม่สามารถทุ่มเทจัดการด้วยสติปัญญาและความสามารถของเราเองเท่านั้น

ดังนั้นการที่เรามีชีวิตอยู่  ต้องดำเนินชีวิตในสถานการณ์ต่างๆ  และ ต้องกระทำสิ่งต่างๆ นั้น   แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เกินความสามารถที่เราจะทำได้เองทั้งสิ้น   แต่เราท่านมักคิดว่าเราต้องรับผิดชอบให้ได้   เราต้องทำสำเร็จให้ได้   และนี่คือที่มาของความวิตกกังวล  สั่งสมความเครียด  นำสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด   บางครั้งเกือบบ้าคลั่ง   ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   บางคนลงเอยด้วยการทำร้ายตนเอง   บางคนลงเอยด้วยการทำร้ายคนอื่น   บางคนหนีสถานการณ์นั้น   จนบางคนหลุดลอยออกจากสภาพความเป็นจริงในชีวิตของเขา  ไม่สามารถที่จะควบคุมได้  ไม่สามารถที่จะจัดการได้   ทั้งนี้เพราะ คิดและเข้าใจว่า ตนสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตด้วยตนเอง   แต่ความเป็นจริงคือ  ความสามารถของมนุษย์จำกัดเกินกว่าที่ตนจะจัดการด้วยตนเองได้

สัจจะความจริงในช่วงเวลาที่เราใคร่ครวญถึงการเสด็จมาการบังเกิดเป็นทารกน้อยที่อยู่ในการเลี้ยงดู ปกป้อง  บ่มเพาะ ฟูมฟักของมารีย์และโยเซฟก็คือ   เมื่อพระเจ้าทรงไว้ใจและมอบหมายพระราชกิจให้คนใดคนหนึ่งรับผิดชอบ   พระเจ้ามิได้ปล่อยให้คนๆ นั้นดิ้นรนรับใช้ตามยถากรรม หรือ ตามมีตามเกิด  หรือพึ่งแต่ตนเองเท่านั้น   แต่เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายทารกน้อยให้มารีย์และโยเซฟเลี้ยงดูปกป้องนั้น   ทารกน้อยมาพร้อมกับสัจจะความจริงคือ  มีชื่อว่า “อิมมานูเอล”  ซึ่งมีความหมายว่า พระเจ้าอยู่กับเรา  พระเจ้าอยู่เคียงข้างในการรับใช้ของเรา

เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายสิ่งหนึ่งประการใดให้ใครรับผิดชอบ พระเจ้าทรงอยู่ด้วย   พระองค์ทรงเคียงข้าง  แท้จริงแล้วพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจนั้นและทรงเรียกและมอบหมายงานบางส่วนให้เราร่วมรับผิดชอบในพระราชกิจของพระองค์   เพราะพระองค์ทรงรู้ว่า  เรามีความสามารถและสติปัญญาที่จำกัด   แต่พระองค์ประสงค์ให้เรามีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระองค์   เพื่อจะทรงเสริมสร้างให้เรามีความสามารถ มีสติปัญญา  และมีความมั่นใจเพิ่มพูนมากขึ้น   และที่สำคัญยิ่งคือเราจะได้เรียนรู้ถึงน้ำพระทัย และ พระประสงค์ของพระเจ้าจากการที่เราเข้าร่วมในพระราชกิจของพระองค์   ดังนั้น  พระราชกิจที่ทรงมอบหมายจึงไม่เกินกำลังความสามารถเพราะมีพระเจ้าทรงหนุนเสริม

ถ้าเช่นนั้น  ทำไมเราถึงยังวิตกกังวล   ทำไมเรายังเครียดแล้วเครียดอีก!

ให้เราเปลี่ยนมุมมองและความเข้าใจเสียใหม่ว่า  พระเจ้าไม่ได้ให้เราเลี้ยงลูกด้วยตนเองเท่านั้น   หรือให้เราทำงานในหน้าที่การงานนี้คนเดียว   ไม่ได้ทรงเรียกให้เรารับใช้อภิบาลคริสตจักรคนเดียว   แต่ในงานความรับผิดชอบนี้  พระองค์ทรงเรียกให้เราเข้าไปร่วมงานกับพระองค์ต่างหาก   แล้วเราจะเครียดไปทำไม   ทำไมไม่ทูลถามพระองค์เมื่อตนเองพบทางตันในชีวิตและการงาน   ทำไมไม่ทูลขอการทรงชี้นำจากพระองค์  ทำไมไม่รอเวลาของพระองค์สักนิด   หรือเพราะท่านคิดว่างานเลี้ยงลูก  งานรับใช้   งานอาชีพเป็นงานของท่านเองคนเดียวหรือ?   หรือท่านคิดว่า ไม่ใช่งานที่ได้รับมอบหมายจากการทรงเรียกของพระเจ้าหรือ?

มิคาเอล คาร์ด (Michael Card) ได้ประพันธ์เพลงบทหนึ่งที่ชื่อว่า “บทเพลงของโยเซฟ”   ในบทเพลงนั้นได้บรรยายถึงความรู้สึกที่โยเซฟได้รับมอบหมายงานดูแลปกป้องมารีย์และพระกุมารจากพระเจ้าผ่านทางทูตสวรรค์ของพระองค์   แต่ก็มีคำถามต่อพระเจ้าเช่นกันว่า  เขาจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้ได้อย่างไร   เพราะเขาเป็นเพียงช่างไม้ที่ต้องเลี้ยงดูทารกที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า   ในตอนท้ายของเพลงมีความว่า

...พระบิดาเจ้าข้า  
โปรดทรงสำแดงว่าข้าพระองค์จะทำหน้าที่นี้อย่างไรที่จะสอดคล้องกับแผนการของพระองค์
โปรดทรงสำแดงว่า พ่อที่เป็นมนุษย์ปุถุชนจะเป็นพ่อของพระบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร?
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ตลอดชีวิตของข้าพระองค์ก็เป็นเพียงช่างไม้ธรรมดาคนหนึ่ง
แล้วข้าพระองค์จะเลี้ยงดูฟูมฟักจอมกษัตริย์ได้อย่างไร?
..... 

ขอให้ประโยคที่ว่า “โปรดทรงสำแดงว่าข้าพระองค์จะทำหน้าที่นี้อย่างไรที่จะสอดคล้องกับแผนการของพระองค์”   เป็นคำอธิษฐานของเราในวันคริสตสมภพนี้  และตลอดปีใหม่ที่กำลังเข้ามา

เมื่อใดก็ตามที่ท่านเกิดความรู้สึกว่า  ชีวิตจนตรอกหาทางออกไม่ได้   ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับชีวิตหรือการงาน   โปรดระลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่ว่า

“...เราจะอยู่กับท่านเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20)

“...ไม่ใช่ด้วยกำลัง  ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ  แต่ด้วยวิญญาณของเรา...” (เศคาริยาห์ 4:6)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น