10 เมษายน 2556

อิทธิพลที่เปลี่ยนความคิดจิตใจและชีวิต [1]


ทุกคนย่อมมีอิทธิพลในการโน้มน้าว สร้างแรงจูงใจ  หรือ ชักจูงความคิดและชีวิตของผู้อื่น!
พ่อแม่มีอิทธิพลเหนือความคิดและชีวิตด้านต่างๆ ของลูก
ผู้จัดการมีอิทธิพลเหนือคนงาน  ลูกน้องของตน
ผู้นำคริสตจักรมีอิทธิพลต่อความคิด และ ชีวิตของสมาชิกในคริสตจักร
แต่ที่อันตรายอย่างยิ่งคือการใช้อิทธิพล หรือ อำนาจอย่างผิดๆ    ในความเป็นคนที่มีอำนาจมักใช้อิทธิพลในการบังคับ หรือ บงครั้งก็ขู่เข็ญให้คนอยู่ใต้อำนาจของตนต้องทำตาม

แต่นั่นเป็นการใช้อำนาจขู่เข็ญ  มิใช่การมีอิทธิพลโน้มน้าวเหนือความคิด จิตใจ และชีวิตของผู้อื่น

การมีอิทธิพลโน้มน้าวเป็นการดำเนินการด้วยความสุภาพอ่อนโยน   และการมีอิทธิพลโน้มน้าวจูงในแบบนี้มิใช่การ “ครอบงำ”  เพราะการมีอิทธิพลโน้มน้าวที่แท้จริงมาจากเมล็ดแห่งความรักเมตตา   และความรักจะไม่แสดงออกถึงการครอบงำที่เย็นชาและเฉยเมย   ด้วยการใช้อำนาจหยาบ ต่ำช้า  และรุนแรง 

ในคืนที่ยูดาสทรยศพระเยซู  ได้ขายพระองค์และนำกำลังทหารมาจับพระองค์ในสวนเก็ธเสมนี   คนหนึ่งในพวกที่ติดตามพระองค์ชักดาบฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด   พระเยซูสั่งให้คนนั้น “เอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย” (มัทธิว 26:49-52)  แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า  “ท่านคิดว่าเราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ?   และพระองค์จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลในทันที” (ข้อ 53 ฉบับมาตรฐาน)   หลายคนก็ถามขึ้นมาในใจทันทีว่า   “แล้วทำไมพระองค์ไม่ทูลขอพระบิดาเช่นนั้นล่ะ   จะได้จัดการให้รู้แล้วรู้รอดไป?”   พระเยซูตรัสต่อไปว่า  “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่า  จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” (ข้อ 54)

สำหรับพระเยซูแล้ว  การใช้อิทธิพลเหนือความคิดและชีวิตของคนอื่นมิใช่เพื่อเอาแพ้เอาชนะผู้อื่น   ไม่ใช่พิสูจน์ว่าใครผิดใครถูก   มิใช่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตาม “ใจปรารถนา” ของเรา   แต่การใช้อิทธิพลเหนือคนอื่นนั้นต้องใช้ตามแผนการของพระเจ้า   เพราะสิ่งที่พระเยซูคริสต์กำลังทำอยู่นี้เป็นพระราชกิจของพระเจ้า   จึงต้องการทำตามแผนการ  วิธีการ  และพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า

ครั้งหนึ่ง  นักข่าวคนหนึ่งถามศิษยาภิบาลว่า  แล้วพระเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้เป็นที่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ไหม?   ศิษยาภิบาลตอบว่า  “ได้สิ  พระองค์สามารถเปลี่ยนได้ทั้งวิธีการตามธรรมชาติ และ วิธีการเหนือธรรมชาติ”

นักข่าวที่ไม่เชื่อวิธีการเหนือธรรมชาติ  เขามองว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ   เขาจึงลองถามไปก่อนว่า “ถ้าใช้วิธีการตามธรรมชาติพระเจ้าจะจัดการอย่างไร?”   ศิษยาภิบาลตอบว่า  “พระเจ้าสามารถส่งกองกำลังทูตสวรรค์ของพระองค์บังคับให้มนุษย์ทุกคนทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการ”

นักข่าวถามต่อด้วยความสับสนงุนงงว่า  “แล้วถ้าพระเจ้าจะใช้วิธีการเหนือธรรมชาติล่ะ  พระองค์จะทำอย่างไร?”      ศิษยาภิบาลตอบด้วยความสุภาพว่า  “เราสามารถเปิดชีวิตของเราให้พระองค์เปลี่ยนแปลงใจของเรา”

การที่เราจะมีอิทธิพลเหนือความนึกคิดและชีวิตของผู้อื่น  เริ่มต้นที่ตัวเรายอมเปิดชีวิตให้พระองค์เปลี่ยนจิตใจความคิดของเรา และ ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา  เพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจความคิดของผู้อื่น   กล่าวอีกนัยหนึ่ง  เราต้องให้พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์มีอิทธิพลเหนือความคิดชีวิตของเรา

กระบวนการนี้จำเป็นที่เราจะต้องมี “ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กลาลาเทีย 5:22-23)
กระบวนการนี้มิได้ขึ้นอยู่กับ คำนำหน้าชื่อของเรา (ดร. ผศ. รศ. ศ. ศบ. ศจ. ผป. มน. ฯลฯ)
หรือ ฐานะตำแหน่งเช่น   ผู้ชำนาญการพิเศษ  ที่ปรึกษา  ผู้อำนวยการ  ผู้จัดการ  หัวหน้า  พ่อ/แม่  อาจารย์  ศาสตราจารย์...

แต่อิทธิพลที่มีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นอยู่ที่คุณภาพจิตใจของเรา  ที่มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์  คือ  ความรัก  ความยินดี  สันติสุข  ความอดทน  ความกรุณา  ความดี  ความซื่อสัตย์  ความสุภาพอ่อนโยน  การรู้จักการบังคับตน (ฉบับมาตรฐาน)   สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจและชีวิตของผู้คนได้

การเปลี่ยนผู้อื่นคือการที่เราสำแดงชีวิตของเราที่แตกต่างจากที่เขาเป็น  และสิ่งแรกที่เราจะต้องใส่ลงไปคือการเปลี่ยนแปลงตัวเราก่อนด้วย ความรักเมตตา    มีผู้มาถามอับราฮัม ลินคอล์นว่า   ทำไมท่านยังทำดีต่อนักการเมืองคนนั้นที่คอยตั้งตัวเป็นศัตรูของท่าน   ลินคอล์นตอบคนถามว่า “ถ้าผมสามารถชนะเขาด้วยมิตรภาพ  ผมก็จะสามารถขจัดความเป็นศัตรูออกไป   และแน่นอนครับผมจะไม่ได้ทำลายตัวเขาเลย”

ชีวิตของผู้คนในสังคมโลกปัจจุบันตกลงในสถานการณ์ชีวิตที่ยุ่งยากลำบาก  ไม่ยั่งยืน  โหยหาถึงความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่กว่า   ควานหาที่พึ่งที่มั่นคงกว่าตัวเขาเอง   มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีจิตใจที่ “นิรันดร์กาล” (ปัญญาจารย์ 3:11)   มนุษย์รู้อยู่แก่ใจว่า  ชีวิตของตนเองเกิดมาด้วยความ “อัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” (สดุดี 139:14)   แม้เขาจะมิได้เห็นสิ่งเหล่านี้อย่างแจ้งชัด   แต่ลึกลงไปในก้นบึ้งแห่งจิตใจของเขารู้ว่า  เขาถูกสร้างขึ้น “ตามพระฉายาของพระเจ้า” (ปฐมกาล 1:27)   ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่มากกว่าที่เขาเองจะรู้จะทราบได้

ถ้าเราแสวงหาพระเจ้า และต้องการที่จะมีชีวิตที่รับใช้พระองค์และบริการรับใช้คนอื่น   ให้เริ่มต้นเปิดชีวิตจิตใจที่แสวงหาพระเจ้าของเรา   ให้พระองค์ทรงใส่ความรักเมตตาของพระองค์ลงในจิตใจของเรา   เพื่อชีวิตของเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์   จนถึงจุดหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราร่วมในพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ   เราจะเป็นคนหนึ่งที่ “ร่วมทำงาน” กับพระองค์ (1โครินธ์ 3:9)

ในเวลานั้นเราก็ไม่ต้องห่วงกังวลว่า  แล้วเรามีอิทธิพลโน้มน้าวความคิด จิตใจ และชีวิตของผู้คนหรือไม่

เราคงไม่สนใจแล้วว่า “เรามีภาวะผู้นำหรือไม่”!

แต่สิ่งที่น่าสนใจในเวลานั้นคือ   พระเจ้าทรงมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็น “ตัวแทน” และ “ช่องทาง” แห่งอิทธิพลที่รักเมตตาของพระองค์ให้ไปถึงคนอื่นๆ รอบข้าง

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

----------------------------
[1] ข้อเขียนนี้เขียนจากการอ่านบทความเรื่อง “How to Change Heart and Lives”  เขียนโดย Dr. Todd Lake.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น