ทุกคนย่อมมีอิทธิพลในการโน้มน้าว สร้างแรงจูงใจ หรือ ชักจูงความคิดและชีวิตของผู้อื่น!
พ่อแม่มีอิทธิพลเหนือความคิดและชีวิตด้านต่างๆ
ของลูก
ผู้จัดการมีอิทธิพลเหนือคนงาน ลูกน้องของตน
ผู้นำคริสตจักรมีอิทธิพลต่อความคิด
และ ชีวิตของสมาชิกในคริสตจักร
แต่ที่อันตรายอย่างยิ่งคือการใช้อิทธิพล หรือ
อำนาจอย่างผิดๆ ในความเป็นคนที่มีอำนาจมักใช้อิทธิพลในการบังคับ
หรือ บงครั้งก็ขู่เข็ญให้คนอยู่ใต้อำนาจของตนต้องทำตาม
แต่นั่นเป็นการใช้อำนาจขู่เข็ญ มิใช่การมีอิทธิพลโน้มน้าวเหนือความคิด จิตใจ
และชีวิตของผู้อื่น
การมีอิทธิพลโน้มน้าวเป็นการดำเนินการด้วยความสุภาพอ่อนโยน และการมีอิทธิพลโน้มน้าวจูงในแบบนี้มิใช่การ
“ครอบงำ”
เพราะการมีอิทธิพลโน้มน้าวที่แท้จริงมาจากเมล็ดแห่งความรักเมตตา
และความรักจะไม่แสดงออกถึงการครอบงำที่เย็นชาและเฉยเมย ด้วยการใช้อำนาจหยาบ
ต่ำช้า และรุนแรง
ในคืนที่ยูดาสทรยศพระเยซู
ได้ขายพระองค์และนำกำลังทหารมาจับพระองค์ในสวนเก็ธเสมนี
คนหนึ่งในพวกที่ติดตามพระองค์ชักดาบฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด พระเยซูสั่งให้คนนั้น “เอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย” (มัทธิว 26:49-52) แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “ท่านคิดว่าเราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ?
และพระองค์จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลในทันที” (ข้อ 53 ฉบับมาตรฐาน) หลายคนก็ถามขึ้นมาในใจทันทีว่า
“แล้วทำไมพระองค์ไม่ทูลขอพระบิดาเช่นนั้นล่ะ จะได้จัดการให้รู้แล้วรู้รอดไป?” พระเยซูตรัสต่อไปว่า “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่า จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” (ข้อ 54)
สำหรับพระเยซูแล้ว
การใช้อิทธิพลเหนือความคิดและชีวิตของคนอื่นมิใช่เพื่อเอาแพ้เอาชนะผู้อื่น ไม่ใช่พิสูจน์ว่าใครผิดใครถูก มิใช่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตาม “ใจปรารถนา”
ของเรา แต่การใช้อิทธิพลเหนือคนอื่นนั้นต้องใช้ตามแผนการของพระเจ้า เพราะสิ่งที่พระเยซูคริสต์กำลังทำอยู่นี้เป็นพระราชกิจของพระเจ้า จึงต้องการทำตามแผนการ วิธีการ
และพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า
ครั้งหนึ่ง นักข่าวคนหนึ่งถามศิษยาภิบาลว่า
แล้วพระเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้เป็นที่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ไหม? ศิษยาภิบาลตอบว่า “ได้สิ
พระองค์สามารถเปลี่ยนได้ทั้งวิธีการตามธรรมชาติ และ วิธีการเหนือธรรมชาติ”
นักข่าวที่ไม่เชื่อวิธีการเหนือธรรมชาติ เขามองว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เขาจึงลองถามไปก่อนว่า
“ถ้าใช้วิธีการตามธรรมชาติพระเจ้าจะจัดการอย่างไร?” ศิษยาภิบาลตอบว่า
“พระเจ้าสามารถส่งกองกำลังทูตสวรรค์ของพระองค์บังคับให้มนุษย์ทุกคนทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการ”
นักข่าวถามต่อด้วยความสับสนงุนงงว่า “แล้วถ้าพระเจ้าจะใช้วิธีการเหนือธรรมชาติล่ะ พระองค์จะทำอย่างไร?” ศิษยาภิบาลตอบด้วยความสุภาพว่า
“เราสามารถเปิดชีวิตของเราให้พระองค์เปลี่ยนแปลงใจของเรา”
การที่เราจะมีอิทธิพลเหนือความนึกคิดและชีวิตของผู้อื่น
เริ่มต้นที่ตัวเรายอมเปิดชีวิตให้พระองค์เปลี่ยนจิตใจความคิดของเรา และ
ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา
เพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจความคิดของผู้อื่น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เราต้องให้พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์มีอิทธิพลเหนือความคิดชีวิตของเรา
กระบวนการนี้จำเป็นที่เราจะต้องมี
“ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กลาลาเทีย 5:22-23)
กระบวนการนี้มิได้ขึ้นอยู่กับ
คำนำหน้าชื่อของเรา (ดร. ผศ. รศ. ศ. ศบ. ศจ. ผป. มน. ฯลฯ)
หรือ
ฐานะตำแหน่งเช่น ผู้ชำนาญการพิเศษ ที่ปรึกษา
ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ หัวหน้า
พ่อ/แม่ อาจารย์ ศาสตราจารย์...
แต่อิทธิพลที่มีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นอยู่ที่คุณภาพจิตใจของเรา ที่มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ความรัก
ความยินดี สันติสุข ความอดทน
ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์
ความสุภาพอ่อนโยน
การรู้จักการบังคับตน (ฉบับมาตรฐาน)
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจและชีวิตของผู้คนได้
การเปลี่ยนผู้อื่นคือการที่เราสำแดงชีวิตของเราที่แตกต่างจากที่เขาเป็น และสิ่งแรกที่เราจะต้องใส่ลงไปคือการเปลี่ยนแปลงตัวเราก่อนด้วย
ความรักเมตตา มีผู้มาถามอับราฮัม
ลินคอล์นว่า
ทำไมท่านยังทำดีต่อนักการเมืองคนนั้นที่คอยตั้งตัวเป็นศัตรูของท่าน ลินคอล์นตอบคนถามว่า
“ถ้าผมสามารถชนะเขาด้วยมิตรภาพ
ผมก็จะสามารถขจัดความเป็นศัตรูออกไป
และแน่นอนครับผมจะไม่ได้ทำลายตัวเขาเลย”
ชีวิตของผู้คนในสังคมโลกปัจจุบันตกลงในสถานการณ์ชีวิตที่ยุ่งยากลำบาก ไม่ยั่งยืน
โหยหาถึงความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่กว่า
ควานหาที่พึ่งที่มั่นคงกว่าตัวเขาเอง
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีจิตใจที่ “นิรันดร์กาล” (ปัญญาจารย์ 3:11) มนุษย์รู้อยู่แก่ใจว่า ชีวิตของตนเองเกิดมาด้วยความ
“อัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม” (สดุดี 139:14)
แม้เขาจะมิได้เห็นสิ่งเหล่านี้อย่างแจ้งชัด แต่ลึกลงไปในก้นบึ้งแห่งจิตใจของเขารู้ว่า เขาถูกสร้างขึ้น “ตามพระฉายาของพระเจ้า”
(ปฐมกาล 1:27)
ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่มากกว่าที่เขาเองจะรู้จะทราบได้
ถ้าเราแสวงหาพระเจ้า
และต้องการที่จะมีชีวิตที่รับใช้พระองค์และบริการรับใช้คนอื่น
ให้เริ่มต้นเปิดชีวิตจิตใจที่แสวงหาพระเจ้าของเรา
ให้พระองค์ทรงใส่ความรักเมตตาของพระองค์ลงในจิตใจของเรา
เพื่อชีวิตของเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ จนถึงจุดหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราร่วมในพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ เราจะเป็นคนหนึ่งที่ “ร่วมทำงาน” กับพระองค์ (1โครินธ์ 3:9)
ในเวลานั้นเราก็ไม่ต้องห่วงกังวลว่า แล้วเรามีอิทธิพลโน้มน้าวความคิด จิตใจ
และชีวิตของผู้คนหรือไม่
เราคงไม่สนใจแล้วว่า “เรามีภาวะผู้นำหรือไม่”!
แต่สิ่งที่น่าสนใจในเวลานั้นคือ
พระเจ้าทรงมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็น “ตัวแทน” และ “ช่องทาง”
แห่งอิทธิพลที่รักเมตตาของพระองค์ให้ไปถึงคนอื่นๆ รอบข้าง
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
----------------------------
[1] ข้อเขียนนี้เขียนจากการอ่านบทความเรื่อง
“How to Change Heart and Lives” เขียนโดย Dr. Todd Lake.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น