ในช่วงหนึ่งหนังสือของ
สตีเฟน โควี่ เป็นที่สนใจของผู้อ่าน
ประเด็นหนึ่งที่เขาเสนอให้กับผู้อ่านคือ
เราต้องเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ชีวิตของเรา
แทนที่เราต้องตกเป็นเบี้ยล่างของสถานการณ์
หรือต้องไล่ล่าตามสถานการณ์ที่บีบบังคับ เขาเปรียบการมีชีวิตที่สามารถควบคุมสถานการณ์
เช่นเดียวกับผู้ชมโทรทัศน์มีรีโมตคอนโทรลอยู่ในมือ สามารถสั่งเลือกช่องที่จะชมได้ตามใจ เป็นความจริงด้วยว่า...
ตราบใดที่เราต้องไล่ตามสถานการณ์
เมื่อนั้นเราก็ยังไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ชีวิต
เมื่อใดที่เรายังโลดแล่นไปตามสถานการณ์บังคับ
เมื่อนั้นเรายังไม่หลุดจากกับดักที่มีผู้ควบคุมกำกับอยู่
แต่ในความจริงอีกด้านหนึ่ง
สถานการณ์แต่ละสถานการณ์ที่เกิดกับชีวิตของเรา มันไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดดๆ ด้วยตัวของมันเองเท่านั้น แต่เป็นสถานการณ์ที่เป็นปฏิกิริยาที่ตอบสนองเหตุการณ์อื่น บุคคลอื่น หรือ สิ่งอื่นมาแล้ว และนี่จึงเป็นความซับซ้อนที่บ่อยครั้งเป็นการยากยิ่งที่เราพยายามจะเข้าไปควบคุม เข้าไปจับบังเหียนสถานการณ์นั้นไว้ให้อยู่ภายใต้การกำกับจัดการด้วยกำลังอำนาจของเรา
เราต้องรู้เท่าทันสถานการณ์แวดล้อมที่เราเข้าไปเผชิญหน้านั้นว่า สถานการณ์นั้นๆ เป็นสถานการณ์ที่เราสามารถเข้าไปควบคุมได้หรือไม่ หรือ ถามตรงว่า เหตุการณ์นี้อยู่ในการควบคุมจัดการของเราหรือไม่?
ถ้าเป็นเหตุการณ์สถานการณ์ที่อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมจัดการของเรา เราคงต้องถามตนเองว่า แล้วเราจะจัดการกับตนเองในเรื่องนี้อย่างไร? เพราะถ้าเรายังดื้อดึงไปจัดการในสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมจัดการของเราแล้ว สิ่งที่ได้รับคือ ความเครียด
ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง
ถึงแม้เรารู้เท่าทัน
ไม่ถลำตัวเข้าไปไล่ล่าจัดการหรือควบคุมสถานการณ์นั้นๆ แต่เราไม่ได้จัดการกับตนเองที่ต้องอยู่ท่ามกลางสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมแล้ว สิ่งที่ตามมารังควานคือ ความสับสนในตนเอง ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปทางไหนดี หนักกว่านั้นอาจนำไปสู่ความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง
หมดกำลัง แล้วก็หมดไฟในที่สุด
ในสถานการณ์ความจริงที่เกิดขึ้นแก่เราคือ
เมื่อมีเหตุการณ์ที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิตของเรา
โดยธรรมชาติเราจะพยายามตอบสนองต่อสถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นๆ ทันที ตอบสนองตามประสบการณ์เดิมๆ ที่เคยมีเคยได้รับ ตามสัญชาติญาณ ความจริงที่เราประสบมาตลอดคือ
การตอบสนองสถานการณ์ด้วยกระบวนการแบบนี้มันดูดดึงเอาพลังในชีวิตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเราไปอย่างมาก
ให้พระเจ้าควบคุมสถานการณ์ชีวิต...
ความจริงแท้ก็คือ
ผมไม่เคยสามารถเข้าไปควบคุมสถานการณ์ใดเลยในชีวิตนี้ แต่เมื่อใดที่ผมเลือกที่จะเป็น
“ผู้ไล่ล่าตอบสนอง” ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ผมกำลังแย่ง “สายบังเหียน” การควบคุมสถานการณ์ชีวิตจากพระหัตถ์ของพระเจ้า สิ่งที่ผมได้รับคือชีวิตพบแต่ความอ่อนเปลี้ยเพลียแรง และสิ้นแรงหมดไฟในที่สุด
ดังนั้น ในฐานะคริสตชน ผมคงไม่ยอมตนให้เป็นผู้ไล่ล่าตามติด
สนองตอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผมจะต้องเข้าไปสู่การควบคุมสถานการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้น แต่เป็นการควบคุมจัดการชีวิตที่ผม “ยอมมอบสายบังเหียนชีวิต”
กลับให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม
เพราะพระเจ้าคือผู้ควบคุมจัดการตัวจริงในชีวิตของเราแต่ละคนและชุมชน
แต่ในกระบวนการคืนบังเหียนชีวิตให้พระเจ้าทรงควบคุมกำกับนั้น เราต้องตระหนักชัดว่า ยังมีส่วนที่เราแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบบางอย่างในกระบวนการควบคุมกำกับของพระเจ้านั้นด้วย
ผมขอให้กำลังใจว่า เราควรกำหนดเวลาที่จะใคร่ครวญ เรียนรู้
และมีแผนการการขับเคลื่อนชีวิตและการงานของเรา
ด้วยการตระหนักชัดและยอมมอบการควบคุมสายบังเหียนชีวิตและการงานของตนคืนสู่พระหัตถ์ของพระเจ้า
แล้วมีกำลังที่จะกระทำในส่วนความรับผิดชอบของตนเองในกระบวนการการทำพระราชกิจของพระเจ้า
1. ให้เรายอมรับความจริงต่อพระเจ้าว่า
“เราพร่องขาด” “เราไม่สมบูรณ์” ในบางครั้งเราดันทุรังขับเคลื่อนชีวิตและการงานของเราไปด้วยการหลีกเลี่ยง
การยอมรับรู้ว่า เรากำลังตกอยู่ในภาวะความกลัว กลัวว่าเราจะสะดุดล้มลง เราจะล้มเหลว
เราจะไม่สำเร็จในชีวิต
ทั้งท่านและผมต่างรู้ว่า การที่เราจะออกจากภาวะเช่นนี้ได้ ก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลงคือ เราต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของเรา
2. อธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อรับการทรงรักษา
เติมเต็ม และเสริมสร้างเราขึ้นใหม่
3. วางแผนสำหรับสัปดาห์ข้างหน้า โดยให้กำหนดสิ่งที่สำคัญที่สุดไว้เป็นสิ่งแรกที่จะดำเนินการและจัดการ
4. รับประทานอาหารที่เสริมสร้างสุขภาพ เวลาใดที่ชีวิตของเราตกลงในฐานะผู้ไล่ล่าสนองตอบต่อสถานการณ์แวดล้อม ชีวิตเรารีบเร่ง รีบร้อน เครียด และสับสน เราคว้าทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวที่กินได้ใส่ปากของตนเอง
ซึ่งบ่อยครั้งเป็นอาหารที่ไม่เสริมสร้างสุขภาพของเรา
5. นอนหลับให้เพียงพอ เราสามารถเข้านอนและหลับได้ เราน่าจะได้นอนหลับ 8-10 ชั่วโมง
เพื่อเราจะสามารถกลับไปรับผิดชอบการงานของเราอย่างเต็มตื่นเต็มกำลัง
6. เรียนรู้และกล้าที่จะปฏิเสธ
“งานแทรกซ้อน” ในแผนงานสัปดาห์ที่วางไว้แล้ว
ให้เรามุ่งเน้นไปยังงานที่สำคัญที่สุดที่เราวางแผนไว้ให้มุ่งไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้แล้วในสัปดาห์นี้ ถ้ายากที่จะปฏิเสธได้ ให้ต่อรองขอเลื่อน ให้กลับมาปรึกษางานแทรกซ้อนนี้ในสัปดาห์หน้า เพื่อเราจะมีความชัดเจนที่เป็นจริงสำหรับงานที่แทรกซ้อนเข้ามานั้น
7. ขจัดสิ่งที่ทำให้เราไขว้เขวออกไป ให้เราขจัดตัดการงานที่ไม่ใช่เป้าหมายในสัปดาห์นี้ออกไปก่อน
เพราะสิ่งนี้ที่จะแย่งเวลาของเราไป เพื่อเราจะมีเวลามากขึ้นและมากพอที่จะลงมือทำงานที่สำคัญของสัปดาห์นี้
และการทำเช่นนี้ก็จะช่วยให้เรามีเวลาเพิ่มมากขึ้นในตารางงานและชีวิตของเราด้วย
8. อย่าปล่อยให้งานที่ทำค้างเติ่ง บ่อยครั้ง
เราชอบทำอะไร “ตามใจฉัน”
ไม่ต้องการมีรูปแบบมาบังคับกำกับชีวิตเรา
บ่อยครั้งเราอ้างว่า การทำงานของเรามุ่งความสำคัญที่คน เราไม่ชอบมุ่งการทำงานอย่างมีระบบระเบียบ แต่เมื่อเรามุ่งทำงานกับคน บางครั้งเราก็มักจะถูก “งานแทรกซ้อน” ที่ยากจะปฏิเสธได้
แท้จริงแล้วระบบระเบียบในการทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญมากแม้เราบางท่านอาจจะไม่คุ้นชินกันมันเท่าใดนัก ถ้ามีงานใดในสัปดาห์นี้ที่เราวางแผนไว้แล้วพบว่าท่านไม่สามารถที่จะทุ่มเทกับมันได้ ให้เราเอางานนั้นออกจากแผนงานนั้นก่อน จนกว่าถึงเวลาที่จะดำเนินการงานนั้นได้ และถ้ามีงานใดที่ทีมงานไม่มั่นใจว่าจะทำได้ในสัปดาห์นี้ให้เอางานนี้ออกไปจากแผนในสัปดาห์นี้เป็นการชั่วคราว เพราะการที่เรายังให้งานที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ค้างเติ่งในแผนงานสัปดาห์นี้ มันจะกลายเป็นตัวดูดดึงเอากำลัง ความตั้งใจ และเวลาในการทำงานของทีมไปจากงานที่สำคัญที่สุดของสัปดาห์นี้ได้
9. ยอมให้สิ่งต่างๆ ก้าวช้าลงบ้าง ให้เราขับเคลื่อนชีวิตและกิจการงานของเราด้วยท่าทีที่สุขุม
รอบคอบ สงบ เยือกเย็น มิใช่เร่งรีบ ร้อนแรง
ตามกระแสวัฒนธรรมในปัจจุบันนี้
จงยอมที่จะช้าลงนิด
และเรียนรู้ที่จะมีเวลาที่จะอยู่กับตนเอง
ที่จะอยู่กับพระเจ้า
ให้สบายใจกับการที่เราได้พักผ่อนอย่างมีเป้าหมายในชีวิต มีเวลาใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ธรรมดาๆ
มีเวลาที่ชีวิตอยู่ “ในมุมสงบ” แบบของเราเอง
10. อธิษฐาน
(อีกครั้งหนึ่ง) ให้ตลอดทั้งวันในชีวิตและการงานแต่ละวันของเราอยู่กับพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์โปรดเตือนเมื่อเรามุ่งแต่งานมากเกินไป ทุ่มเทมากเกินไป ทูลขอให้เรารู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตและการงานของเรา และโปรดนำทุกอย่างที่เราทำ
โปรดสังเกตว่ากระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน
และ จบลงด้วยการทูลขอต่อพระเจ้า
ทำไมต้องเป็นเช่นนั้นด้วยหรือ?
ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้น
แม้บ่อยครั้งในพฤติกรรมของเราจะไม่ค่อยยอมรับเช่นนั้นก็ตามเถิด
เพราะการกำกับควบคุมเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเราเอง
เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เยียวยารักษา
ทรงเป็นผู้เหนี่ยวนำ และทรงเป็นแหล่งพลังแห่งชีวิตของเรา
จากประสบการณ์ของผม บางครั้งสิ่งที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผน
สิ่งที่เราไม่ปรารถนามันถาโถมจู่โจมเข้ามาในชีวิตของเราในวันนั้นอย่างรุนแรง
ประสบการณ์สอนผมว่า ในสถานการณ์เช่นนั้นบางครั้งผมเองก็
“ลืมที่จะติดเบรก(ห้ามล้อ)”
ชีวิตของตน เพื่อที่จะมุ่งมองไปที่พระเจ้าในเวลาเช่นนั้น แล้วก็ “เสียบปลั๊ก” รับพลังชีวิตจากพระองค์ เพื่อที่จะรู้ว่าทิศทางไหนที่ผมควรจะเดินต่อไป
นี่คือทางลัดที่เราสามารถกลับสู่ภายใต้การกำกับควบคุมด้วยความเมตตาและพระคุณของพระองค์
แต่ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า ด้วยพระคุณและพระเมตตาของพระองค์ แม้ว่าเราจะดื้อดึงหลีกลี้หนีจากพระองค์ พระองค์จะทรงเตรียมที่ที่สำหรับเรา ทำให้จิตใจและชีวิตของเราสงบ เยือกเย็นลง และกลับมาติดต่อสัมผัสและสัมพันธ์กับพระองค์ กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมและครอบครองของพระองค์ เพื่อที่เราจะอยู่ในสภาพการณ์ที่สามารถควบคุมและจัดการสถานการณ์วิกฤตินั้นได้อีกครั้งนี้
ดังนั้น
จงมอบชีวิตและเส้นทางที่จะมุ่งไปไว้กับพระเจ้า
ให้การขับเคลื่อนชีวิตและการงานของเราเข้าสู่ระบบระเบียบตามแผนการของพระองค์
ยอมรับพระคุณของพระเจ้าและพระเมตตาของพระองค์ที่ให้เวลาสำหรับเราในการผ่อนพัก
จงอธิษฐาน ขอบพระคุณ
และติดตามพระองค์
ขอให้สัปดาห์นี้ของเรา
เป็นสัปดาห์ที่สงบศานติ เกิดผล และเปี่ยมด้วยความมุ่งหมาย
อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น